คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 192 ตามหาคน
จี้เสียวอู่เดินไปพูดเรื่อยเปื่อยไปว่า “ข้าไม่ได้บอกไปหรือว่าวิธีนี้มันยากที่จะหาคนเจอหากถูกคนลักพาตัวไป พวกเราไม่ใช่มือปราบนะไม่สามารถค้นบ้านของผู้คนได้…”
สระฉางเล่อในวันนี้นอกจากจะมีการขายของมีคนออกมาเล่นแล้วยังมีเจ้าหน้าที่จำนวนไม่น้อยอยู่ด้วย
บนฝั่งริมทะเลสาบมีศพจำนวนมากดึงดูดผู้คนให้มาชมด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในบางครั้งสมาชิกในครอบครัวที่จำได้ว่าศพนั้นคือครอบครัวของตนเองก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง
หมิงเวยถอนหายใจถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทันทีหลังจากเข้ารับตำแหน่งใต้เท้าเจี่ยงงอาจจะมีปัญหาใช่หรือไม่ อย่างไรก็ตามเขาคงไม่สนใจอย่างแน่นอน
ในบรรดาเจ้าหน้าที่หมิงเวยจำเงาของคนคุ้นเคยได้และเข้าไปทักทาย “ใต้เท้าเหลย”
เหลยหงหันกลับมาแล้วเห็นว่าเป็นนางจึงคารวะ “แม่นางหมิงเหตุใดท่านถึงมาที่นี่งั้นหรือ”
หมิงเวยตอบ “เพื่อนร่วมชั้นของข้าหายตัวไปเจ้าค่ะข้าเลยออกมาตามหา”
เหลยหงถามทันที “เพื่อนของท่านมีนามว่าอะไรหรือไม่แน่ว่าอาจตามหาเจอแล้ว”
“นางมีนามว่าเว่ยเสี่ยวอัน” หมิงเวยคิดแล้วพูดต่ออีกว่า “ได้ยินว่าคุณหนูจากจวนเฉิงเอินโหวก็หายตัวไปด้วยจริงหรือไม่”
เหลยหงนึกอยู่สักพักแล้วตอบกลับไป “ศพที่พวกเราตรวจสอบเรียบร้อยแล้วไม่มีคนที่ท่านกล่าวถึงเลย ศพที่เหลือเป็นเพศและวัยที่ไม่สอดคล้องกัน ส่วนคุณหนูสี่ตระกูลเหวินนางหายตัวไปจริงๆ ขอรับ ตอนนี้ยังหาไม่พบเลย”
หมิงเวยมองไปที่ซากศพที่ถูกนำออกไปทีละศพ “คนที่ยังหาไม่เจอในตอนนี้ ความเป็นไปได้ที่จะจมน้ำตายมีน้อยใช่หรือไม่”
เหลยหงพยักหน้า “สระฉางเล่อมีขนาดใหญ่เช่นนี้ความเป็นไปได้ที่จะตกหล่นมีน้อยขอรับ”
“ข้าได้ยินว่าเมื่อคืนมีคนอาศัยโอกาสที่เกิดความวุ่นวายลักพาตัวคน…”
เหลยหงมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังและลดเสียงลง “แม่นางหมิง ข้าน้อยจะไม่ปิดบังท่านความเป็นไปได้ที่พวกนางจะถูกลักพาตัวมีสูงมาก ทุกๆ ปีในเมืองหลวงจะมีคนหายไปจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะเด็กสาว ในบรรดาผู้ที่สูญหายในครั้งนี้มีญาติของไท่จื่อด้วย เกาฮ่วนกำลังนำคนไปตรวจค้นทุกบ้าน แต่ท่านก็ทราบดี เมืองหลวงใหญ่เช่นนี้ยากที่จะหาเจอ”
หมิงเวยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วขอบคุณท่านมาก”
เหลยหงยิ้ม “แม่นางหมิงไม่ต้องเกรงใจหากมีเรื่องอะไรถามข้าน้อยได้เลยขอรับ” เมื่อบอกลาเหลยหงแล้วทั้งสามคนก็กลับมาที่ถนน
จี้เสียวอู่ตอบ “ในเมื่อทางการกำลังตรวจสอบอยู่ พวกเราก็ไม่จำเป็นแล้วใช่หรือไม่”
หมิงเวยซื้อถังเหรินให้คนละอันและทานไปพลางตอบไปว่า “เรื่องตรวจสอบพวกเราเทียบกับทางการไม่ได้หรอก แต่ลองทำเรื่องอื่นได้”
“ทำเรื่องอะไร” หมิงเวยหันหน้ามองไปที่ประตูเมืองที่สูงตระหง่านในระยะไกล “หากถูกลักพาตัวไปละก็คนพวกนั้นน่าจะยังไม่ออกไปจากเมืองหลวง” หมิงเวยมองเขาอย่างจริงจัง
จี้เสียวอู่ถูกนางจ้องก็รู้สึกอึดอัด “ทำไมหรือ”
หมิงเวยยิ้ม “พี่ห้าคงเข้าใจดี!”
จี้เสียวอู่หันหน้าไปทางอื่นแล้วพึมพำ “เจ้าเห็นข้าเป็นขยะจริงๆ สินะ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” หมิงเวยพูดเสียงอ่อนโยน “พี่ใหญ่เคยบอกว่าพี่ห้าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในบ้าน”
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้จี้เสียวอู่รู้สึกมีความสุข “พี่ใหญ่พูดเช่นนั้นหรือฮ่าๆๆ ที่แท้พี่ใหญ่ก็ชมคนอื่นเป็นด้วย”
หมิงเวยพูดอีกว่า “แต่จะมีประโยชน์อะไรล่ะพี่ใหญ่อยู่ที่กั๋วจื่อเจียน พี่ห้าอยู่สถานศึกษาซิ่วชาน ผู้อื่นย่อมต้องบอกว่าพี่ใหญ่เก่งกว่าอยู่แล้ว”
จี้เสียวอู่เบะปาก “เจ้าไม่ต้องจงใจกระตุ้นข้าเลย คิดจะให้ข้าก้าวหน้าใช่หรือไม่ จะบอกให้ถ้าอยากเป็นฮูหยินจื้นชื่อละก็รีบถอนหมั้นแล้วไปออกเรือนกับผู้อื่นซะ!”
หมิงเวยยิ้มตาหยี “เรื่องแต่งงานต้องยกเลิกอยู่แล้ว แต่ข้าไม่อยากเป็นฮูหยินจื้นชื่อ หากโดดเด่นด้วยบารมีของผู้อื่นมันก็ไร้ความหมาย”
จี้เสียวอู่เกาหัว “แล้วเจ้าอยากพูดว่าอะไร”
หมิงเวยกัดถังเหรินแล้วพูดว่า “อันที่จริงไม่ต้องมีชื่อเสียงในเส้นทางนี้ก็ได้ แค่พี่ห้าทำบางเรื่องให้โดดเด่นถึงแม้ท่านจะไม่เรียนท่านก็มีชื่อเสียงได้”
จี้เสียวอู่แทะถังเหรินเสร็จแล้วและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าจะหลอกให้ข้าทำอะไร” หมิงเวยหยุดที่หน้าร้านเครื่องดื่มแล้วสั่งน้ำบ๊วยเย็นเพื่อดับความร้อน
“ในเมื่อพี่ห้ารู้เส้นทางของโจรลักพาตัวเหตุใดถึงไม่ทำอะไรสักอย่างล่ะ”
จี้เสียวอู่เหล่มองนาง “ข้ารู้ว่าเจ้าหลอกข้าเรื่องนี้มันง่ายที่จะจัดการหรืออย่างไร ทุกปีมีคนหายไปกี่คนกัน โจรลักพาตัวต้องย้ายถิ่นฐานไม่ใช่หรือคิดจะส่งออกนอกเมืองหลวงจำเป็นต้องมีเส้นทางมีการค้าขายที่อยู่นอกตาผู้คนมากมายเท่าไรกันจะไม่มีคนอยู่เบื้องหลังได้อย่างไร เรื่องนี้เสมือนเชือกที่ยาวมากหนึ่งปมเชื่อมต่อกับอีกหนึ่งปมเพื่อมัดตั๊กแตนเข้าด้วยกัน จะพึ่งพาข้างั้นหรือสำหรับพวกเขาแล้วเราก็แค่มดตัวหนึ่งที่แค่เหยียบก็ตายแล้ว!”
หมิงเวยได้ฟังแล้วก็หัวเราะ “ข้ามองไม่ผิดจริงๆ พี่ห้ารู้เยอะมาก”
จี้เสียวอู่โบกมือ “เจ้าเลิกคิดไปเถอะ ท่านพ่อได้เลื่อนขั้นแล้วข้าก็แค่มีชีวิตอยู่เป็นคุณชายผู้ดีก็พอ!”
หมิงเวยดื่มน้ำบ๊วยเสร็จก็วางชามลงแล้วถอนหายใจ “ในเมื่อพี่ห้าไม่เต็มใจข้าก็ไม่บังคับ ไม่มีทางเลือกข้าคงต้องจัดการเอง”
จี้เสียวอู่มองนาง “เจ้าจะจัดการอย่างไร”
หมิงเวยหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหน้าตนเอง “ไม่รู้ว่าใบหน้านี้จะโดดเด่นพอให้พวกเขามองเห็นหรือไม่”
!!!
“เดี๋ยว! เจ้าอย่าหาเรื่องเลย!”
หมิงเวยลุกขึ้น “ตัวฝูพวกเราไปกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” ตัวฝูจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยก็เดินตามออกจากร้านไป
จี้เสียวอู่ลังเลอยู่พักหนึ่งท้ายที่สุดเขาก็ตามออกไปแล้วพูดกับนางว่า “ข้าจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าก็ได้ แต่ต้องตอบรับเงื่อนไขของข้าก่อน”
“พูดมาเถิด”
“สอนเคล็ดวิชาให้ข้า”
“จะยากอะไร ข้าไม่โยนพี่ห้าเข้าถ้ำหมาป่าหรอก อย่างไรก็ต้องมีความสามารถของตนเองด้วยถึงจะทำออกมาได้ดี”
ความปรารถนาอันยาวนานหลายปีของเขาเป็นจริงแล้ว จี้เสียวอู่ตาลายเล็กน้อยก่อนกล่าว “เจ้าพูดจริงนะไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่”
หมิงเวยหัวเราะ “ข้าหลอกใครก็ได้แต่หลอกญาติตนเองไม่ได้! ท่านวางใจเถอะ หากทำไม่ได้ข้าไม่ปล่อยท่านไปแน่” ได้ยินเช่นนั้นจี้เสียวอู่ก็วางใจแล้วทั้งสามคนก็เดินทางกลับจวน
เมื่อกลับมาถึงจวนก็เห็นรถม้าคันใหญ่จอดอยู่ตรงซอยทางเข้า ตัวฝูเมื่อเห็นเข้าก็ดีใจ นางวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “แม่นม! พวกท่านมาถึงแล้ว”
ม่านถูกเปิดออกหากไม่ใช่พวกแม่นมถงแล้วจะเป็นผู้ใดได้
“ตัวฝู!” เมื่อเห็นหมิงเวยแม่นมถงก็น้ำตาไหล “คุณหนูในที่สุดก็ได้พบท่าน!”
หมิงเวยดีใจมากนางเดินมารับแม่นมถงและคนอื่นๆ กลับจวน แม่นมถงและคนอื่นๆ เดินทางช้ากว่าหมิงเวยหนึ่งเดือน
หมิงเวยบอกกับปิงซินและซู่เจี๋ยไปแล้วว่าสัมภาระขนมาไม่ต้องเยอะที่สำคัญต้องเดินทางช้าๆ ไม่ให้แม่นมถงต้องเหนื่อย แต่แม่นมถงกลับเสียดายทิ้งไม่ลง อันนี้ก็อยากเอาไปอันนู้นก็อยากเอาไปเก็บไปเก็บมาสุดท้ายต้องใช้รถม้าหลายคัน
หากสัมภาระเยอะจำนวนคนต้องมากตาม ดังนั้นจึงเลือกสาวใช้ที่น่าเชื่อถือในสวนอวี๋ฟางและส่วนคนที่เหลือก็เลิกจ้างไป งานนี้ค่อนข้างซับซ้อนกว่าจะจัดการเสร็จก็ใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน ซู่เจี๋ยกับปิงซินจำคำพูดของหมิงเวยได้ว่าให้ค่อยๆ เดินทางเลยเพิ่งมาถึงเอาตอนนี้
“แม่นม ห้องของพวกท่านจัดเสร็จเรียบร้อยแล้วอาจเก่ากว่าจวนของข้าสักหน่อย แต่สะดวกสบายแน่นอนท่านเข้ามาดูสิว่าชอบหรือไม่”
แม่นมถงยิ้ม “ขอแค่ได้อยู่กับคุณหนูไม่ว่าที่ไหนบ่าวก็ชอบหมดเจ้าค่ะ”
เมื่อเข้าไปในจวนตระกูลจี้แล้วได้พบกับจี้ฮูหยินน้ำตาของแม่นมถงก็ไหลออกมานางกราบไปร้องไห้ไป “ฮูหยิน บ่าวทำหน้าที่ของตนเองได้ไม่ดีไม่สามารถปกป้องคุณหนูได้!”
คุณหนูที่นางพูดถึงหมายถึงฮูหยินสามแห่งตระกูลหมิงนั่นเอง
……………