คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 218 ยอมรับความผิด
ตั้งแต่วินาทีที่เสวียนเฟยเอ่ยชื่อตนเองออกมาแววตาของหมิงเวยก็แข็งค้าง
เสวียนเฟย เขาคือเสวียนเฟย!
เช่นเดียวกับอวี้หยางที่เป็นนามแฝง เสวียนเฟยก็เป็นนามแฝงเช่นเดียวกันเพราะว่าเขาคือเจ้าสำนักคนต่อไปของเสวียนตูกวัน! และเขาก็เป็นราชครูคนต่อไปด้วย
เมื่อมองเสวียนเฟยที่ยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้า หมิงเวยก็ยิ่งรู้สึกสับสนในใจ
ปีศาจในตำนานตนนั้นปัจจุบันเขามีลักษณะเช่นนี้หรือ ตอนนี้เขายังไม่ได้ติดต่อกับหลิงตี้หรือก็คือองค์ชายสามใช่หรือไม่ ครั้งก่อนที่ได้ยินพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องคุยกันตอนนี้พวกเขาน่าจะกำลังลำบาก
“แม่นาง” เมื่อเห็นนางไม่ตอบอะไรเสวียนเฟยเลิกคิ้วด้วยความสงสัยจึงพูดย้ำไปอีกครั้ง
เสียงทุ้มทว่าสง่างามดังกระทบแก้วหูไพเราะเสียจนไม่อาจพรรณนาได้ยิ่งได้เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายแล้ว คิ้วเรียวขับใบหน้าหล่อเหลา สง่างามดั่งเทพบุตร เหมือนปีศาจตรงไหนกัน
หยางชูเห็นปฏิกิริยาของนางค่อนข้างแปลกจึงถามออกไป “เป็นอะไรหรือ”
หมิงเวยส่ายหน้าแล้วมองไปที่เสวียนเฟยนางตอบไปว่า “ท่านนักพรตกำลังหาเหตุผลให้ศิษย์น้องของท่านหลุดพ้นอยู่หรือ” เสวียนเฟยถูกนางถามประโยคนี้ไปเขาถึงกับเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
จริงอยู่ที่ตนกำลังแก้ตัวให้จวินโม่หลี อย่างไรเสียสถานการณ์เมื่อครู่ก็ไม่ควรกระทำอย่างเร่งรีบจริงๆ แต่ในเมื่อศิษย์น้องของตนลงมือไปแล้วย่อมต้องหาเหตุผลให้การกระทำของเขาดูสมเหตุสมผล
แม้ว่าผู้อื่นจะรู้เจตนาของตน แต่ก็สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้มิใช่หรือ ผู้ใดจะรู้ว่าแม่นางคนนี้ไม่หลงกลอุบายของเขา แต่กลับพูดออกมาตรงๆ แล้วจะให้เขาพูดอะไรต่อได้
จวินโม่หลีมองนางจากนั้นก็มองหยางชูแล้วเขาก็ต้องเลิกคิ้ว “เป็นพวกท่านนั่นเอง!”
แล้วเสวียนเฟยก็หาประโยคพูดต่อได้ “เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ”
หยางชูตอบ “ที่สระฉางเล่อในคืนเทศกาลซีซีมีอสูรน้ำปรากฏตัว นักพรตท่านนี้อยู่ที่นั่นพอดีจึงมาช่วยพวกเราจับอสูรน้ำด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง” เสวียนเฟยยิ้ม “ศิษย์น้องของข้าถึงแม้จะบ้าบิ่นไปบ้าง แต่มักกังวลในเรื่องคุณธรรม หากเกิดเหตุไม่ยุติธรรมขึ้นมาเขาก็มักจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ”
หยางชูแค่นหัวเราะ ศิษย์พี่ของจวินโม่หลีพยายามปกป้องศิษย์น้องเสียจริง พูดแก้ต่างแทนอีกฝ่ายทุกประโยค
จวินโม่หลีเห็นท่าทางของเขาก็ไม่พอใจ “ท่านหัวเราะแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ศิษย์พี่ของข้าพูดดีๆ เหตุใดท่านต้องทำท่าทางเยาะเย้ยเช่นนี้ด้วย”
หยางชูเหลือบมองเขาและพูดอย่างเกียจคร้าน “ทำไมข้าต้องทำท่าทางเยาะเย้ยหรือ เรื่องนี้ท่านย่อมรู้คำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว”
จวินโม่หลีชะงักไป เขามองหยางชูแล้วหันไปมองหมิงเวย เดี๋ยวนี้นิยมพูดจากันเช่นนี้หรือ ช่างไม่ไว้หน้ากันเลย
ดูเหมือนหยางชูจะยังพูดไม่หมดเขาพูดต่อว่า “พวกเราหวงเฉิงซือกำลังตามล่าหาผู้หลบหนี จู่ๆ ท่านทั้งสองก็ยื่นมือเข้ามาแทรกแซง พวกท่านเป็นพันธมิตรกับพวกเขาหรือ”
จวินโม่หลีได้ยินดังนั้นก็โกรธก่อนกล่าวว่า “พันธมิตรอะไรกัน ท่านอย่าพูดจาเหลวไหล! ข้าเห็นว่านางใช้วิญญาณงูกับมนุษย์ธรรมดาถึงได้เข้ามาห้ามนางต่างหาก!”
“มนุษย์ธรรมดาหรือ…” หยางชูหัวเราะเสียงเย็น “ใช่ที่ไหนกันเล่า ฆาตกรที่เข่นฆ่าชีวิตคนยังนับเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่อีกหรือ พวกเราหวงเฉิงซือใช้วิธีใดไล่ล่านักโทษคงไม่จำเป็นต้องขอคำแนะนำจากเสวียนตูกวันหรอก”
“ท่าน…” เสวียนเฟยถอนหายใจในใจเรื่องตีฝีปากนั้นศิษย์น้องของตนไม่ค่อยถนัดเท่าไรนัก เมื่อเห็นว่าจวินโม่หลีพูดไม่ออกเขาจึงต้องพูดแทรกไปว่า “หมายความว่าแม่นางเป็นคนของหวงเฉิงซือหรือ”
“เรื่องนี้จำเป็นต้องอธิบายให้ท่านฟังด้วยหรือ” หยางชูตอบอย่างไม่เกรงใจ
เสวียนเฟยอดไม่ได้ที่จะยิ้มเขาหันไปหาหนิงซิว “พี่หนิง อารมณ์ของศิษย์น้องกับท่านต่างกันราวฟ้ากับดินเลย”
หนิงซิวได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เขามาจากตระกูลที่สูงส่ง ถูกตามใจมาตั้งแต่ยังเล็กจึงกลายเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เขาก็แยกแยะถูกผิดชัดเจน มีความคิดที่แน่นอนเป็นของตนเอง ข้ากับท่านอาจารย์เห็นว่าไม่มีอะไรต้องแก้ไข”
หมิงเวยเกือบจะหัวเราะออกมา หนิงซิวผู้นี้ดูเงียบๆ ที่แท้เป็นคนโหดร้ายเช่นนี้ คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับการบอกว่าพวกเขาทำผิดก่อนที่ทำให้ศิษย์น้องของเขาอารมณ์เสีย
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเสวียนเฟยก็ถอนหายใจยาวๆ แล้วประสานมือทำความเคารพพวกตน “เป็นเพราะศิษย์น้องของข้าบ้าบิ่นเกินไปจึงไปล่วงเกินท่านทั้งสอง ต้องขออภัยด้วย”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ได้หลีกเลี่ยง แต่กลับพูดออกมาตรงๆ สีหน้าของหยางชูจึงดีขึ้น แต่แค่ขอโทษอย่างเป็นทางการมันจะจบหรือ ช่างน่าอดสูจริงๆ ที่ต้องรั้งอีกฝ่ายด้วยคำพูด
“รู้ก็ดีแล้ว โชคดีที่นักโทษในคืนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไร หากถูกพวกท่านเข้ามาร่วมขวางจนต้องปล่อยพวกมันไป แล้วพวกมันไปก่อเหตุร้ายอีกล่ะก็ถือว่าเป็นความผิดของพวกท่าน”
“ขอรับ” เสวียนเฟยยิ้ม “พวกเราทำตัวไม่ดีเองทำให้พวกท่านต้องลำบากแล้ว”
“ศิษย์พี่!” เขาพูดเช่นนั้นทำให้จวินโม่หลีไม่พอใจ “ถึงแม้ข้าไม่ควรโจมตีพวกเขาเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ทำตัวไม่ดีก่อน”
พูดแล้วเขาก็พยักเพยิดหน้าไปทางหมิงเวย “วิญญาณงูตัวนั้นเป็นของท่านใช่หรือไม่ มันเคยเป็นปีศาจมาก่อนเหตุใดถึงกลายเป็นวิญญาณไปได้ท่านเป็นคนฆ่ามันหรือ”
หมิงเวยยิ้มแล้วตอบไปว่า “ใช่!”
จวินโม่หลีไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบตรงไปตรงมาเช่นนี้ เขาตกใจแล้วคว้าแขนเสื้อของศิษย์พี่ด้วยความตื่นเต้น “ศิษย์พี่ท่านได้ยินหรือไม่ นางยอมรับแล้ว! นางฆ่าปีศาจเพื่อทำวิญญาณเป็นเรื่องที่โลกยอมรับไม่ได้ อีกอย่างที่นี่อยู่ในเขตเมืองหลวงถึงจะเป็นการจับกุมนักโทษ แต่นางก็ไม่กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นเลยยิ่งฝูงชนมารวมตัวกันมากเท่าไร ยิ่งไม่สามารถใช้เคล็ดวิชาได้เพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่นางกลับฝ่าฝืนทุกข้อห้ามเหตุใดถึงไม่สามารถพูดออกมาได้”
เหตุผลนี้สมเหตุสมผลมากเสวียนเฟยเลิกคิ้วแล้วหันไปมองหมิงเวย “แม่นาง ท่านว่าอย่างไร”
หมิงเวยรู้สึกเป็นเรื่องตลกก่อนจะกล่าว “ขอถามท่านทั้งสอง ท่านถามข้าในฐานะใดหรือเจ้าคะ”
ไม่รอให้จวินโม่หลีตอบนางพูดต่อไปว่า “พวกท่านเสวียนตูกวันเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะสั่งการเสวียนชื่อในใต้หล้าได้ หากพวกท่านคนใดคนหนึ่งเป็นถึงราชครูด้วยความเคารพยังต้องไว้หน้ากันบ้าง แต่พวกท่านไม่ใช่มิใช่หรือ”
เสวียนเฟยเลิกคิ้ว “แน่นอนว่าพวกเราไม่ใช่ แต่พวกเราเสวียนเหมิน หากมีคนก่อกรรมทำชั่วก็จำเป็นต้องถาม”
“ในสายตาของท่านนักพรตข้าก่อกรรมทำชั่วงั้นหรือ” หมิงเวยพูดเสียงเรียบเฉย “วิญญาณงูของข้าแม้จะเคยเป็นปีศาจมาก่อน แต่มันก็ไม่มีความคับข้องใจอันใดเลย อีกทั้งยังเป็นกายวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าลงมือที่นี่เพื่อจัดการกับพวกโจรผู้ร้าย ข้ามาคิดๆ ดูแล้วไม่เห็นว่าตนเองจะทำผิดตรงไหนเลยเจ้าค่ะ”
จวินโม่หลีพูด “แต่ว่าข้อห้าม…”
“ข้อห้ามงั้นหรือ” หมิงเวยยิ่งรู้สึกขบขัน “ผู้ใดเป็นคนออกข้อห้ามนี้กัน มีข้อบังคับหรือไม่เจ้าคะ” จวินโม่หลีอึกอัก
ข้อห้ามเหล่านี้ได้รับการยอมรับเนื่องจากปฏิบัติกันมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งเสวียนเหมินแต่ละสำนักก็ปฏิบัติตามโดยปริยาย แต่หากนางไม่มีสำนักไม่อยู่ในสำนักใด ย่อมถือว่าไม่มีข้อบังคับ…
“การยอมรับว่าตนเองก่อเรื่องไร้เหตุผลไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย ท่านนักพรตจะแข่งกันกล่าวให้ลำบากทำไม” หมิงเวยมองพวกเขาแล้วยิ้ม “ในเมื่อพวกท่านกล่าวขอโทษแล้วพวกเราจะไม่ให้อภัยก็ไม่ได้ ตอนนี้เวลายังไม่เช้าพวกเราต้องพานักโทษกลับไปที่ศาลาว่าการก่อน เชิญท่านทั้งสองตามสบายเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยว ท่าน…”
หมิงเวยไม่สนใจอีกฝ่ายนางพยักหน้าให้หยางชู “ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ”
เมื่อเห็นนางกลับไปที่รถม้าแล้วหยางชูก็พูดว่า “ท่านทั้งสองมีคำแนะนำอะไรอีกหรือไม่ หากไม่มีล่ะก็ พวกข้ายังมีเรื่องที่ต้องสะสางอยู่”
เสวียนเฟยคว้าตัวจวินโม่หลีที่กำลังโกรธเอาไว้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราย่อมไม่ขัดขวางการทำงานของพวกท่านทั้งสองแล้ว” แล้วยังพูดกับหนิงซิวอีกว่า “พี่หนิง ข้าได้กลับไปยังเสวียนตูกวันแล้วไว้โอกาสหน้าขอเชิญท่านมาร่วมสนทนากัน”
………