คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 258 ลำบาก
เมื่อฮ่องเต้เสด็จออกไป เผยกุ้ยเฟยก็ลืมตาขึ้นประตูห้องปิดลงเบาๆ เผยกุ้ยเฟยลุกขึ้นนั่งเงียบๆ ถึงนางจะไม่สนใจสิ่งต่างๆ แต่นางอยู่ข้างกายฮ่องเต้ตลอดทั้งวันมีหรือจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ที่อวี้หยางมารายงานนั้นนางเองก็รู้ ดูจากเนื้อหาและท่าทางของฮ่องเต้ในวันนี้ก็พอเดาได้ไม่ยาก ฮ่องเต้รู้สึกละอายใจต่อนางจึงทำตัวอ่อนโยนเป็นพิเศษ
จนถึงตอนนี้ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องให้พระองค์รู้สึกละอายใจต่อนางบ้างล่ะ นอกจากคนผู้หนึ่ง เผยกุ้ยเฟยรู้ดีว่าตนเองไม่สามารถพูดออกไปได้ ฮ่องเต้ไม่ชอบ นางก็ได้แต่แอบมองเท่านั้น
นางจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้และทำตัวอ่อนโยนกับเขามากขึ้นเช่นนี้ถึงจะทำให้ฮ่องเต้เห็นใจและมีที่ว่างให้นาง
ผ่านไปสักพักประตูถูกเปิดออกเบาๆ ฮ่องเต้เห็นนางลุกขึ้นนั่งจึงถามเสียงอ่อนโยน “ตื่นขึ้นมาทำไมหรือ”
เผยกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาทเสด็จไปที่ใดหรือเพคะ จู่ๆ ข้างกายก็ว่างเปล่าหม่อมฉันเลยตื่นขึ้นมา”
“รู้สึกอุดอู้นิดหน่อยเลยไปสูดอากาศข้างนอกมาน่ะ” ฮ่องเต้ถอดเสื้อคลุม จากนั้นนั่งลงบนเตียงและโอบไหล่นาง “เจิ้นผิดเองที่ทำให้เจ้าตื่น นอนต่อเถอะ”
เผยกุ้ยเฟยตอบรับแล้วทั้งสองก็เอนตัวลงนอนอีกครั้ง
“ฝ่าบาทมีเรื่องไม่สบายใจหรือเพคะ” เผยกุ้ยเฟยหันตัวมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย “เพราะดาวมารงั้นหรือ”
ฮ่องเต้ตอบ ‘อืม’ ไปแล้วพูดต่อว่า “ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเท่าไร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ให้เสวียนตูกวันจับตามองก็พอแล้ว”
เผยกุ้ยเฟยมองสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างละเอียดแล้วยิ้ม “ดูเหมือนฝ่าบาทจะแก้ปัญหาได้แล้ว ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันคงไม่พูดอะไรมาก”
ฮ่องเต้หันมาตบผ้าห่มเบาๆ “ให้สนมรักเป็นห่วงแล้ว นอนเถอะ”
“เพคะ” เผยกุ้ยเฟยหลับตาลงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนฝ่าบาทไม่คิดจะสืบหาความจริง เช่นนั้นก็ดีแล้ว…
…………
หมิงเวยกลับมาในเขตเสวียนตูกวัน แต่ยังไม่ทันเข้าไปในเรือนพักก็เห็นเงาของคนผู้หนึ่งซ่อนอยู่ในความมืด พอนางเดินเข้ามาอีกฝ่ายก็เคลื่อนไหวทันที
“เจ้ายังคิดจะกลับมาอีกหรือ!” กล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
หมิงเวยยิ้ม “พี่ห้ากำลังรอข้าอยู่หรือเจ้าคะ”
จี้เสียวอู่พูด “ข้าจะบอกว่าเจ้าไม่คิดว่าตนเองทำเกินไปงั้นหรือ ก่อนหน้านี้อยู่ที่จวนกลับมาสายบ้างไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เราอยู่ข้างนอกแล้วยังออกไปข้างนอกกลางดึกอีก คิดบ้างหรือไม่ว่าตนเองเป็นหญิงสาวในจวนคนหนึ่ง ท่านพ่อท่านแม่ถามหาอยู่หลายรอบ ข้าเลยต้องออกมารอ”
หมิงเวยไม่สนใจ “ไม่ใช่ว่าให้ตัวฝูกลับมารายงานแล้วหรือเจ้าคะ”
“เจ้าคิดว่ารายงานไปแล้วพวกเขาจะไม่กังวลงั้นหรือ ขอร้องเจ้าล่ะ เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา แต่พวกเขาเป็น!”
หมิงเวยขอโทษ “ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าคิดไม่รอบคอบเอง”
จี้เสียวอู่เม้มปาก “ยังจะเสแสร้งอีก ขอโทษเร็วกว่าใครเช่นนี้ครั้งหน้าเจ้าก็ไม่สำนึกผิดอีกคิดว่าข้าไม่รู้งั้นหรือ”
หมิงเวยได้แต่ยิ้ม “พี่ห้าเข้าใจข้าดีเสียจริง”
จี้เสียวอู่แค่นหัวเราะ “หน้าหนาจริงๆ!”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหมิงเวยก็ถามว่า “พี่ห้าไม่กลับเข้าไปหรือ”
จี้เสียวอู่ยังคงพิงกำแพงไม่ขยับไปไหน เขามองหมิงเวยตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “เจ้ายังไม่พูดข้าจะไปไหนได้”
“ท่านอยากรู้งั้นหรือ”
จี้เสียวอู่หันหน้าไปมองดอกไม้บนถนน “สัญชาตญาณบอกข้าว่าเจ้ากำลังทำเรื่องลับบางอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเจ้าหลอกใช้ เข้าใจแผนการของเจ้าก่อนจะเป็นการดีกว่า”
หมิงเวยอยากจะหัวเราะ “พี่ห้าอย่าบอกนะว่า…ข้าก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เช่นกัน”
“เจ้าคงกำลังคิดว่าจะหลอกพวกเราอย่างไรล่ะสิ”
“ใช่! เรื่องนี้หากจะต้องทำจริงๆ ไม่ใช่แค่ท่าน แต่ท่านลุง พี่ใหญ่ต้องกระโดดลงหลุมด้วยกันเจ้าค่ะ”
จี้เสียวอู่หันกลับมามองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าหลอกใช้ข้าไม่เป็นไร แต่พวกเขาเป็นคนธรรมดาที่แค่ต้องการใช้ชีวิตธรรมดา”
หมิงเวยประหลาดใจ “พูดเช่นนี้หมายความว่าพี่ห้าเต็มใจเอาตัวเข้าแลกเพื่อแลกกับอิสรภาพของท่านลุงกับพี่ใหญ่หรือ” จี้เสียวอู่แค่นหัวเราะไม่ตอบอะไร
“ก็ได้เจ้าค่ะ” หมิงเวยครุ่นคิด “หากพี่ห้าเต็มใจช่วยข้าด้วยความจริงใจ ถ้าเช่นนั้นข้าก็จำใจยินดีรับไว้”
“เหอะ!” จี้เสียวอู่ทนไม่ไหว “เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังหลอกใช้คนอยู่ พูดเหมือนว่าข้าต้องขอบคุณเจ้าด้วยเช่นนั้นแหละ”
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเจ้าค่ะ!” หมิงเวยตอบได้หน้าหนามาก นางเดินผ่านจี้เสียวอู่เข้าไปในเรือนพัก
“เดี๋ยว! เจ้ายังอธิบายไม่ชัดเจนเลยนะ!” จี้เสียวอู่จำเป็นต้องตามเข้ามา
หมิงเวยผลักประตูห้องเข้าไปแล้วหันกลับมา “ทำไมเจ้าคะ พี่ห้าอยากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับข้าหรือ”
จี้เสียวอู่มองห้องของนายท่านจี้แล้วพูดเสียงต่ำ “เจ้ารอก่อนเถอะ เร็วๆ นี้ต้องอธิบายให้ข้าอย่างชัดเจนด้วย”
วันนี้ช่างมันเถอะหากถูกท่านพ่อท่านแม่พบว่าเขาอยู่ในห้องกับนางกลางดึก สถานการณ์พลิกแน่ คงต้องปล่อยนางไปก่อน
พอไล่จี้เสียวอู่ออกไปแล้วหมิงเวยก็ปิดกระตู
“คุณหนู” ตัวฝูที่กำลังรอนางเมื่อเห็นนางเข้ามาก็รีบเตรียมน้ำร้อน ปรนนิบัติล้างตัวให้อีกฝ่าย หลังอาบน้ำเสร็จแล้วหมิงเวยก็นั่งลงข้างหน้าต่างเพื่อเป่าผมให้แห้ง
ข้างนอกปรากฏพระจันทร์เสี้ยวแสงจันทร์สาดส่องอยู่นอกหน้าต่าง
หลังจากพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาแล้วหนิงซิวก็ถามว่า “เรื่องนี้ต้องบอกเขาด้วยหรือไม่”
หมิงเวยครุ่นคิดอยู่นานนางรู้สึกลำบากใจเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญไม่บอกคงไม่ได้ แต่นางไม่สามารถคาดเดาปฏิกิริยาของหยางชูได้
จะให้พูดอย่างไรจะให้บอกว่าไม่ใช่แค่ดวงชะตาปาจื้อเท่านั้นที่ปลอม แต่สถานะของเขาก็ปลอมด้วย ให้บอกว่าเขาอาจเป็นสายเลือดที่แท้จริงของราชวงศ์ที่ถูกต้องเหมาะสมกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันงั้นหรือ มันง่ายที่จะพูดออกไป แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้เล่า
“ยังไม่บอกก่อนดีกว่า” หมิงเวยพูด “ตอนนี้พวกเราแค่คาดเดาเท่านั้น ต้องสืบหาความจริงถึงจะมีหลักฐาน”
หนิงซิวพยักหน้าและถามนางอีกว่า “เจ้าคิดจะช่วยให้เขามีโชคชะตาที่สูงส่งจริงหรือ”
หมิงเวยยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่มีทางเลือกมากนักหรอก สำหรับเขาแล้วนี่อาจเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”
หนิงซิวครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วพูดออกไปว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะทำอะไร แต่ข้าต้องการเตือนเจ้าเรื่องหนึ่ง นี่เป็นชีวิตของเขาควรให้เขาเลือกเองตอนนี้สามารถปิดบังไว้ได้แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าตัดสินใจแทนเขา”
หมิงเวยยิ้ม “อาจารย์วางใจเถอะ ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ”
“เจ้าเข้าใจแล้วก็ดี” หมิงเวยหลุดออกจากความคิดแล้วถอนหายใจ
หนิงซิวจะรู้ความลำบากใจของนางได้อย่างไร องค์ชายรองและองค์ชายสามไม่สามารถพึ่งพาได้ นางจึงฝากความหวังไว้ที่ไท่จื่อ ผู้ใดจะรู้ว่าไท่จื่อเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาเท่าไรนัก เพราะความอิจฉาจึงคิดทำลายหยางชูเช่นนี้ หากต้องให้เขานั่งบัลลังก์จริงๆ ก็ไม่รู้จะเกิดเรื่องอะไรตามมา
ไท่จื่อเป็นคนฉลาด แต่ถ้าหากบุคลิกส่วนตัวไม่ดีมีเหตุผลอะไรที่เขาจะนั่งในตำแหน่งสูงสุดได้ ฮ่องเต้มีเวลาไม่ถึงเจ็ดปีในการหารัชทายาทที่ไว้วางใจได้ไม่รู้ว่าจะสายเกินไปหรือเปล่า และหากสนับสนุนหยางชูล่ะ เส้นทางนี้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน ชาติกำเนิดของเขาในตอนนี้ยังไม่ชัดเจน ไม่ง่ายเลยที่จะให้เขามีคุณสมบัติในการรับสืบทอดตำแหน่ง
อีกอย่างเขาเต็มใจเดินไปในเส้นทางนี้หรือไม่เกรงว่าจะไม่ใช่เสมอไป…
“คุณหนู ยังไม่นอนหรือเจ้าคะ” เสียงของตัวฝูดังขึ้น
หมิงเวยตอบไปว่า “ตัวฝู หากเจ้ามีเรื่องที่ลำบากใจมาก เจ้าจะทำอย่างไร”
ตัวฝูกะพริบตา “บ่าวไม่มีเรื่องลำบากใจนะเจ้าคะ!”
“ข้าบอกว่าถ้าหาก”
ตัวฝูคิดอยู่พักหนึ่ง “บ่าวเองก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่แม่นมเคยบอกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออก เมื่อถึงเวลานั้นไม่แน่เราอาจจะรู้ว่าควรทำเช่นไร”
หมิงเวยตะลึงแล้วหัวเราะ “มีเหตุผลๆ ถ้าเช่นนั้นคอยดูกันดีกว่า”
……