คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 264 พระจันทร์ในอดีต
กลางดึกที่เงียบสงบ หมิงเวยนั่งอยู่บนเตียงและเปิดกล่องออกมา หมอกจางๆ ที่ปกคลุมรอบดอกถานเชิงแผ่ไอเย็นออกมา หมิงเวยยื่นมือออกไปหยิบมันและถ่ายเทพลังเข้าไป
เมฆหมอกหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน นางเหยียดนิ้วออก และก็เห็นว่ากระแสน้ำวนนั้นแผ่ออกราวกับดอกไม้บานสะพรั่งในทันที
หมิงเวยจึงคว้าโอกาสนี้หยิบมันเข้าปาก ตัวฝูที่คอยปกป้องนางอยู่ตกใจ คิดจะอุทานออกมาแต่ก็กลืนกลับเข้าไปได้ทัน ลำคอของหมิงเวยขยับ ดอกถานเชิงถูกนางกลืนลงไป
จากนั้นก็เป็นการดูดซับที่ยาวนาน ตัวฝูรู้สึกว่ามีพลังหนึ่งกำลังกดขี่นางเพื่อปราบปรามพลังนี้นางจึงต้องจดจ่ออยู่กับมัน เหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผากซึ่งไม่รู้ว่าผ้าเช็ดหน้าเช็ดไปกี่ผืนแล้ว และเมื่อหมิงเวยลืมตาขึ้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีแล้ว
“ตัวฝู”
“เจ้าคะ”
หมิงเวยพูดเสียงเบา “ข้าอาจหลับไปหลายวัน เจ้าปกป้องข้าด้วย”
“เจ้าค่ะ” พูดจบหมิงเวยก็หลับตาลงและนอนลงบนเตียง
ตัวฝูร้องเรียก “คุณหนูเจ้าคะ”
ไม่มีเสียงตอบรับ นางบิดผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าผาก และลำคอของหมิงเวยเบาๆ หลังเช็ดตัวเรียบร้อยก็คลุมผ้าห่มให้อีกฝ่าย
ไม่นานเมื่อท้องฟ้าสว่างตระกูลจี้ก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
วันนี้เป็นวันที่นายท่านจี้จะพาจี้เสียวอู่ไปเสวียนตูกวันเพื่อกราบไหว้อาจารย์ จี้ฮูหยินเตรียมของขวัญเอาไว้หลายอย่างทั้งเนื้อแห้ง ผลไม้ ใบชา…บรรจุเต็มรถคันใหญ่
ทรัพย์สินตระกูลจี้เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่พวกเขาสามารถให้ได้ หลังจากตรวจสอบไปหลายรอบ จี้ฮูหยินก็กลับมาทำอาหารเช้าต่อ
นายท่านจี้บอกกับจี้เสียวอู่อยู่หลายรอบว่าให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน อย่าเล่นอะไรไม่เข้าท่า เคารพอาจารย์ รักมิตรสหาย…
หลังจากเกิดความวุ่นวายอยู่นานในที่สุดทุกคนก็มานั่งรับประทานอาหารเช้ากัน
จู่ๆ จี้ฮูหยินก็พบว่า “เสี่ยวชีล่ะ ยังไม่ตื่นอีกหรือ”
สะใภ้ใหญ่คิดจะลุกออกไปดู แต่ตัวฝูเดินเข้ามาเสียก่อน “คุณหนูบอกว่า นางอาจต้องนอนหลายวันเจ้าค่ะ”
“นอน…หลายวันงั้นหรือ” จี้ฮูหยินงงงวย “ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
จี้เสียวอู่คีบฮวาจ่วนขึ้นรับประทาน “ท่านแม่ ไม่ต้องสนใจนางหรอก กินของที่มีพลังมากไปก็เป็นเช่นนี้แหละ”
“กินของที่มีพลังมากไปงั้นหรือ”
“ใช่! แต่นางไม่เป็นอะไรหรอกเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
จี้หลิงพยักหน้า “ท่านแม่ น้องหญิงรู้จักตนเองดี นางบอกหลายวันก็หลายวัน พวกเราอย่าไปรบกวนนางก็พอแล้วขอรับ”
เมื่อบุตรชายทั้งสองคนพูดเช่นนั้นจี้ฮูหยินจึงไม่ว่าอะไร แต่นางกังวลเรื่องอื่นแทน “ถ้าเช่นนั้นต้องทำเรื่องลาพักเรียนให้เสี่ยวชี ท่านพี่ ท่านเขียนจดหมายลาให้นางเถิดเจ้าค่ะ หลายวันนี้พวกเราก็ไม่ต้องพูดอะไรเดี๋ยวเรื่องลามออกไปนอกจวน”
“เข้าใจแล้ว” ทุกคนตอบรับ แม้แต่จูเอ๋อร์ยังตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง
หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างเงียบๆ ทุกคนก็ระมัดระวังในการทำความสะอาดจาน แม้แต่เสียงสัมผัสเครื่องเคลือบก็ยังเบา
หมิงเวยนอนหลับเป็นเวลาสามวัน ในวันที่สามกลางดึกในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้นมา
“คุณหนูเจ้าคะ!” ตัวฝูที่กำลังเอนกายลงนอนเห็นว่านางฟื้นขึ้นมาแล้วก็รีบลุกขึ้น
“คุณหนูตื่นแล้ว!” หมิงเวยพยักหน้าและลองใช้พลัง พลังอันทรงพลังพุ่งเข้ามาในร่างกาย และความรู้สึกคุ้นเคยนี้ทำให้หมิงเวยมีความสุข
ซูสิงเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในยุคอย่างแท้จริง พลังที่เขาทิ้งไว้ในดอกถานเชิงดอกนี้ผลักดันให้นางกลายเป็นยอดฝีมือระดับสูงในพริบตาเดียว
ทักษะปัจจุบันของนางไม่ได้เลวร้ายไปกว่าชีวิตในชาติก่อนมากนัก น่าเสียดายที่ร่างกายนี้อ่อนแอกว่าเล็กน้อย และไม่ได้รับการขัดเกลามาตั้งแต่เด็ก แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูหลับไปหลายวันหิวหรือไม่เจ้าคะ แม่นมอุ่นข้าวต้มไว้ในครัว บ่าวจะรีบเอามาให้เจ้าค่ะ” ตัวฝูพูดด้วยความดีใจ
หมิงเวยไม่รู้สึกหิว นางทานดอกถานเชิงไปทั้งดอกพลังในร่างกายที่พุ่งทะยานในเวลานี้ทำให้นางมีกำลังวังชามาก แต่หมิงเวยก็ไม่ปฏิเสธความหวังดีของพวกนางจึงตอบไปด้วยรอยยิ้ม
“ได้”
ตัวฝูรีบไปนำอาหารมาให้นางทานแล้วยังคอยปรนนิบัติชำระกายให้จนหมิงเวยตัวสะอาดแล้วก็เริ่มหาว หมิงเวยเห็นว่านางมีรอยคล้ำใต้ตา และรู้ว่านางหลายวันนี้หลับไม่เต็มอิ่ม
เด็กคนนี้ค่อนข้างหัวรั้นบอกให้อยู่คอยปกป้องนางก็ไม่ยอมปล่อยให้ตนเองหลับ และยังไม่กล้าให้ผู้อื่นมาทำหน้าที่แทน ตนเองจึงต้องมาคอยเฝ้าตลอดสามวันนี้
หมิงเวยพูดว่า “เจ้าเหนื่อยมาหลายวันแล้วนอนพักเถอะ”
ตัวฝูขยี้ตา “คุณหนูล่ะเจ้าคะ”
“วางใจเถอะ” นางยิ้ม “ถึงตอนนี้มีเสือโผล่มาข้าก็ฆ่าให้ตายได้”
จากนั้นตัวฝูก็นอนหลับราวกับคนหมดสติ หมิงเวยเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วเปิดประตูเบาๆ
ใกล้วันที่สิบห้าแล้ว แสงจันทร์ข้างนอกจึงสว่างไสว นางแหงนหน้ามองดวงจันทร์แล้วนึกถึงบทกวีหนึ่ง
คนวันนี้มิเคยยลจันทร์กาลก่อน จันทร์นี้ก่อนเคยสาดส่องคนก่อนเก่า
และนางเดินทางผ่านเวลามาในช่วงเจ็ดสิบปีก่อนได้เห็นจันทร์กาลก่อนด้วยตาตนเอง แล้วยังเห็นคนในอดีตที่ที่จันทร์เก่าสาดส่องอีกด้วย
เสียงลมพัดเข้าหู นางกะพริบตาแล้วหันข้างจากนั้นก็ยกแขนขวาขึ้น ลูกศรขนาดเล็กพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ มีคนบินผ่านนางไปในระดับความเร็วที่เร็วมากจนเกิดเสียงแหลมเล็ก
หมิงเวยกระโดดตามไป เงาทั้งสองร่างประมือกันสิบกระบวนท่าราวกับเมฆเหินน้ำไหล ต่อสู้กันอย่างเต็มที่
หมิงเวยยกขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้นสกัดพัดแล้วหัวเราะ “ตอนนี้ท่านอยู่ตรงหน้าข้า คงไม่สามารถเอาเปรียบอะไรได้นะเจ้าคะ”
ใบหน้าภายใต้แสงจันทร์ หากไม่ใช่หยางชูแล้วจะเป็นผู้ใดได้
“จริงหรือ” หยางชูเลิกคิ้วและก้าวไปข้างหน้าทันที
หมิงเวยก้าวขึ้นไม่กี่ก้าว และเกือบตกลงมาจากหลังคา นางจึงต้องใช้วิชาตัวเบาพลิกตัวกลับ หยางชูกลับกัดไม่ปล่อยรีบวิ่งไปข้างหน้าทันที
แผ่นหลังชิดกำแพงแสงจันทร์ถูกเงาบดบัง
หมิงเวยรู้สึกเพียงว่ามีแรงกดทับนางแน่นจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และเสียงหัวเราะอย่างมีชัยดังขึ้นข้างหูของนาง “นี่เป็นจุดอ่อนธรรมชาติของท่าน อย่างไรพละกำลังก็ไม่แข็งแกร่งเท่าข้าหรอก”
“….” นางกลอกตา “ก็ได้ ข้าแพ้เจ้าค่ะ”
หากเป็นการดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด นางคงโจมตีลับหลังไปแล้วจะปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสต่อสู้ได้อย่างไร ความเหลื่อมล้ำในความแข็งแกร่งระหว่างชายหญิงนั้นไม่มีทางที่จะชดเชยได้
แต่ถ้าใช้แต่พละกำลังนางก็ต้องยอมรับจุดอ่อนของตนเองจริงๆ
พละกำลังในร่างกายหายไปแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดถอยออกไป
หมิงเวยถาม “ดึกดื่นป่านนี้ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ”
หยางชูตอบ “ถ้าย่องมาตอนกลางวันจะไม่แปลกไปหน่อยหรือไง”
“….” วันนี้ปากจัดจนนางไม่รู้จะพูดอะไรกลับไปเลย
โชคดีที่หยางชูไม่เถียงอะไรต่อเขาพูดว่า “วันก่อนข้ามาหาท่านแล้วพบว่าอาการท่านไม่ปกติจึงกลับไปถามหนิงซิว เขาบอกว่าท่านน่าจะกลืนดอกถานเชิงเข้าไปอาจจะหลับไปสองวัน วันนี้เห็นว่าได้เวลาแล้วจึงลองมาเสี่ยงโชคดู”
หมิงเวยพูดอย่างเกียจคร้าน “ยินดีด้วย ท่านเป็นคนแรกที่เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของข้า”
“ข้าต้องรู้สึกเป็นเกียรติด้วยหรือไม่”
“แน่นอน” นางเงยหน้าขึ้นแล้วหน้าผากนางชนกับแก้มของเขา
ทั้งสองคนเพิ่งตระหนักได้ว่าระยะห่างของพวกเขาใกล้กันเล็กน้อยเท่านั้น!
…………