คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 265 ฝูหรง
สภาพของพวกเขาในเวลานี้หากผู้อื่นมาเห็นเข้าต่อให้กระโดดลงแม่น้ำฮวงโหเพื่อล้างตัว ยังไงก็ล้างไม่เกลี้ยง[1]
หมิงเวยถูกเขากดทับกับกำแพง แม้ว่าจะมีขลุ่ยและพัดกั้นระหว่างทั้งสอง แต่เนื่องจากความสูงและรูปร่างต่างกันทำให้ดูเหมือนนางอยู่ในอ้อมกอดของหยางชู
เขาเอนตัวลงอีกครั้งหมิงเวยเงยหน้าขึ้น ระยะห่างของทั้งสองไม่เกินนิ้ว ลมหายใจกระทบบนใบหน้าของกันและกัน
ไม่มีใครพูดอะไร
ในเงามืดหยางชูรู้สึกว่าดวงตาของนางสว่างอย่างน่าประหลาดใจ บริเวณรอบตัวพวกเขามืดมาก แต่ดูเหมือนเขาจะเห็นหน้าแดงๆ ของนาง เขาขยับสายตาเล็กน้อย และหยุดลงที่ริมฝีปากบางอันบอบบางของนาง
ทั้งอวบอิ่มและนุ่มนวล…หยางชูอดนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกับนางไม่ได้
นางนั่งอยู่ที่ที่นั่งในโรงน้ำชาดวงตาของนางกวาดไปทางโถงใหญ่
แววตาคู่นั้นช่างน่าอัศจรรย์ สีหน้าและแววตาของนางดูคล้ายไม่ใส่ใจ ริมฝีปากที่เพิ่งดื่มชาไปนั้นชุ่มฉ่ำ…
ทุกอย่างในอดีตยังคงเด่นชัดในความทรงจำ และค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา
เขาในตอนนั้นนั่งอยู่ตรงที่นั่งตรงข้ามเดิมทีเขาไม่คิดสนใจ แต่กลับถูกสายตาคู่นั้นตรึงเอาไว้
ดอกฝูหรงแรกแย้มฤดูใบไม้ผลิกำลังมาเยือน หลังจากนั้นเขาก็ได้พบนางที่งานเลี้ยงในสวนซิ่น ในตอนที่เล่นการละเล่นเขาหยิบดอกฝูหรงขึ้นมา หลายครั้งเขาคิดว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกผิวเผินหรือแค่พฤติกรรมที่ไม่ได้สติ แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังมีเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่านั้น
เช่นดอกฝูหรงในวันนั้น จู่ๆ หัวใจของหยางชูก็เต้นรัวราวกับจังหวะกลอง
เขารู้จักอีกฝ่ายมานานอีกทั้งคุ้นเคยกับรูปลักษณ์ของนางตั้งนานแล้ว และเขาก็ไม่ใช่คนที่ใจเต้นกับสตรีที่เกิดมามีหน้าตางดงามด้วย แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะถูกมนต์สะกดบางอย่าง
เขาก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว…
ริมฝีปากของเขาสัมผัสสิ่งที่อ่อนนุ่มแต่ก็ไม่ได้นุ่มอย่างที่คิดเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และในวินาทีต่อมาเขาก็ถูกหมิงเวยผลักออกไป “ช่วงนี้ท่านไม่ได้ไปหอนางโลมหรือ”
บรรยากาศที่คลุมเครือหายไปเพราะประโยคนี้
เมื่อครู่ในขณะที่เกิดประกายบางอย่างระหว่างทั้งสอง นางยกมือขึ้นกันพวกเขาสองคนเอาไว้ สิ่งที่เขาสัมผัสคือฝ่ามือของนาง อย่างไรก็ตามท่าทางของนางกลับดูปกติเกินไป
หยางชูปล่อยมือ ตอนแรกเขารู้สึกเขินอายต่อมาก็รู้สึกโกรธโดยไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกร้อนจนหัวแทบระเบิด
“ไปไม่ไปเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธจากนั้นก็หันหลังและกระโดดขึ้นไปบนหลังคา
“เดี๋ยว…” หมิงเวยช้าไปหนึ่งก้าว เมื่อนางกระโดดตามไปเขาก็ไปไกลเสียแล้ว
นางมีบางอย่างอยากจะพูดจึงไล่ตามไปติดๆ “เดี๋ยวก่อน!”
หยางชูไม่หันกลับมาเขากลับเร่งรีบกว่าเดิม หลังวิ่งไปได้พักหนึ่งก็มีคนมุ่งมาทางนี้ หยางชูชนเข้าแต่ก็ถูกอีกฝ่ายจับไว้
“ศิษย์น้อง” เป็นหนิงซิวนี่เอง
หยางชูยิ่งหงุดหงิด เขาพ่นลมหายใจและดึงมืออกจากนั้นก็วิ่งหนีไปไกลอีกครั้ง
หนิงซิวรู้สึกสับสน เกิดอะไรขึ้นเขาโกรธอะไรอีก เมื่อหันไปอีกทางก็เห็นหมิงเวยที่วิ่งตามมา หนิงซิวจำได้ว่าเมื่อครู่นี้ดูเหมือนเขาจะเห็นแก้มของศิษย์น้องเป็นสีแดง เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
“เจ้าลวนลามเขาหรือ”
หมิงเวยกลอกตา “เขาลวนลามข้าต่างหากเจ้าค่ะ!”
หนิงซิวดูไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้อย่างไร” หากเขาแกล้งคนอื่นแล้วจะหน้าแดงได้อย่างไร ท่าทางดูโกรธเสียขนาดนั้น
หมิงเวยไม่คิดอธิบาย
นางเองก็สับสน! หลังจากประมือกันจู่ๆ แววตาของเขาก็เปลี่ยนไป นางเองจะไปคิดถึงได้อย่างไรแค่ผลักเขาออกจู่ๆ เขาก็โกรธและวิ่งหนีไป
สถานการณ์เมื่อครู่ดูเหมือนเขาถูกลวนลามเลย
ช่างเถอะ อย่างไรนางก็เอาเปรียบเขา ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ครั้งนี้ถือว่าตนปล่อยผ่านไปละกันหนิงซิวเห็นนางเลิกเถียงก็พยักหน้า “ที่แท้เจ้าก็ลวนลามเขา”
“….” อยากตีคนจะทำอย่างไรดี
หมิงเวยพยายามควบคุมไม่ให้มือขยับแล้วถามเขา “เหตุใดท่านถึงวิ่งอยู่บนหลังคาบ้านคนกลางดึกเช่นนี้เจ้าคะ”
หนิงซิวหันกลับมาและมองไปที่ทิศทางที่หยางชูวิ่งหนีไป “ข้ามาหาเขา”
“มีเรื่องอะไรถึงต้องรีบร้อนวิ่งมาหาเขาถึงเพียงนี้”
หนิงซิวพูด “ข้าตรวจสอบพบอะไรบางอย่าง”
เดิมทีหมิงเวยแค่ถามไปอย่างนั้นไม่คิดว่าจะมีจริงๆ นางพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านกับข้าไปหาเขากัน”
หนิงซิวมองนางอย่างสงสัย สายตาที่มองเหมือนนางเป็นคนมากตัณหาทำเอาหมิงเวยพูดไม่ออก “มีท่านอยู่ด้วยข้าจะไปเปลื้องผ้าเขาได้อย่างไร”
หนิงซิวคิดตามและพบว่าเป็นไปไม่ได้จึงตอบกลับไป “ได้”
หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็มาถึงเรือนส่วนตัวของหยางชู หนิงซิวคุ้นเคยกับที่นี่ดีจึงข้ามกำแพงเข้าไปและไปถึงประตูห้องของเขาโดยไม่มีอะไรขัดขวาง
เขาเคาะประตู “ศิษย์น้อง” ไม่มีเสียงตอบรับ
เขาเคาะอีกครั้ง “เจ้าอยู่หรือไม่” ยังไม่มีเสียงตอบรับอีก หนิงซิวเตะประตูไปตรงๆ
ภายในห้องไม่เปิดไฟหยางชูซึ่งนั่งอยู่ในความมืดก็ไม่ทันระวังและโกรธมาก “มีมารยาทกันหรือไม่ พอไม่เปิดประตูก็บุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต”
“ข้ากังวลว่าเจ้าจะเกิดเรื่อง” หนิงซิวพูด
หมิงเวยเดินตามหลังเขาเข้ามา หยางชูเงียบลงทันที
หนิงซิวมองเขาแล้วมองหมิงเวยจากนั้นก็พูดปลอบใจว่า “วางใจเถอะ ศิษย์พี่อยู่ที่นี่ด้วยไม่ยอมให้นางทำสำเร็จหรอก”
“หากนางกล้าแตะเจ้าแม้แต่ปลายเล็บข้าจะตัดแขนนางเอง”
พวกเขาเล่นอะไรกัน หมิงเวยหยิบฮว่าเจ๋อจึ[2]ขึ้นมาจุดไฟ
“อาจารย์ ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าท่านต้องการปลอบเขา แต่ข้าต้องการชี้แจงให้ชัดเจนว่าท่านตัดแขนข้าไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
หนิงซิวมองนางตอนนี้ใช่เวลามาโต้เถียงกันงั้นหรือ หมิงเวยยักไหล่ไม่พูดอะไร
ก็ได้ครั้งนี้นางเป็นสตรีชั่วร้ายก็ได้
“พวกท่านทำอะไรกัน” หยางชูดูขุ่นเคือง ตอนนี้เขาโกรธมากถ้าไม่มีเหตุผลดีๆ ก็อย่าได้โทษเขาเลย…
“แน่นอนว่ามีเรื่องมาบอกเจ้า” หนิงซิวตอบ
อาจเป็นเพราะอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ดีเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นข้าให้เวลาเจ้าปรับอารมณ์ตนเองก่อน”
“….” ใบหน้าของหยางชูมืดครึ้ม “พูดมา!”
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ”
“ไม่เป็นไร!”
ทันทีที่พูดจบสายตาก็กวาดตามองหมิงเวยผ่านแสงสว่างโดยไม่ตั้งใจ
แสงเทียนนั้นอบอุ่นส่องแสงบนใบหน้าของนางดูเหมือนว่าริมฝีปากของนางงามขึ้นกว่าเดิม หยางชูรู้สึกร้อนในใจมันเป็นเพียงเปลวไฟเล็กๆ แต่ตอนนี้กลับยิ่งร้อนขึ้น
เมื่อครู่หากนางไม่ยกมือขึ้นห้ามได้ทันเวลา เขาคง…เหตุใดตอนนั้นเขาถึงไม่มีสตินะ เขาคิดอะไรอยู่กันแน่ หากเกิดขึ้นมาจริงๆ ละก็…เขาคิดฟุ้งซ่านไม่หยุดและจิตใจของเขาก็กระสับกระส่าย
หนิงซิวสงสัย เขาถามหมิงเวย “เจ้าไม่ได้ทำอะไรเขาจริงๆ ใช่หรือไม่”
“ไม่ได้…” พอเห็นท่าทางไม่เชื่อของเขาจึงตอบไปว่า “ก็ได้ ข้าทำเจ้าค่ะ”
“ทำอะไร”
หมิงเวยเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แล้วส่งสายตาให้หยางชู “ท่านแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าพูด”
ก่อนที่หนิงซิวจะพูดอะไรหยางชูที่ได้สติก็แทบจะกระโดดขึ้นพูดว่า “ผู้ใดทำอะไร ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็หยุดสร้างปัญหาได้หรือไม่ดึกขนาดนี้ข้าต้องการนอน”
หนิงซิวที่ถูกบ่นยื่นมือออกและแตะหน้าผากของเขา “เจ้าไม่สบายหรือไม่”
“ข้า…ออกไปๆ!” หยางชูไล่ทุกคนออกไป
“เอาล่ะ ข้าไม่พูดแล้วท่านอย่าดื้อนักเลย” หนิงซิวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าพบเบาะแสแล้ว เจ้าต้องการฟังหรือไม่”
……………
[1] กระโดดลงแม่น้ำฮวงโหเพื่อล้างตัว ยังไงก็ล้างไม่เกลี้ยง : ไม่ว่าจะแก้ต่างอย่างไร ก็ฟังไม่ขึ้น
[2] ฮว่าเจ๋อจึ : พับไฟหรือตะบันไฟ เป็นเครื่องมือจุดของชาวจีนโบราณ