คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 267 วางแผน
หนิงซิวรู้สึกสบายใจ เด็กสองคนนี้บางครั้งเขาไม่ได้ไม่ชอบขนาดนั้น รู้ดีว่าควรไว้หน้าเขาบ้าง ทั้งสามคนมองดูตราประทับบนกระดาษอย่างตั้งใจ
หมิงเวยมองไม่เห็นความแตกต่างนางจึงรู้สึกว่ามันเป็นตราประทับธรรมดา
แต่หยางชูกลับคิดอีกอย่าง “แปลกจริง ตราประทับรูปสัตว์เช่นนี้ควรเป็นของที่คนในราชวงศ์ใช้กัน หรือเขาจะเป็นสมาชิกในราชวงศ์”
“ราชวงศ์งั้นหรือ”
“ใช่ รูปแบบนี้ผู้อื่นไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้” หยางชูมองอย่างละเอียด “ดูจากขนาดที่ไม่เป็นไปตามระเบียบไม่ใช่ตราประทับขององค์ชายหรือฮ่องเต้ แต่เป็นตราประทับส่วนตัว”
“ตราประทับส่วนตัวของสมาชิกในราชวงศ์” หนิงซิวยิ่งแปลกใจ “ถ้าเป็นสมาชิกในราชวงศ์มาพบองค์หญิงเหตุใดต้องปกปิดตัวตนด้วยเล่า”
หมิงเวยมองพวกเขา “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งไม่รู้ว่าพวกท่านสังเกตเห็นหรือไม่ วงศ์ตระกูลของไท่จู่มีสมาชิกน้อยมาก ไร้พี่น้อง หลังก่อตั้งแคว้นสมาชิกในราชวงศ์ก็น้อยเกินไป เป็นเรื่องยากที่จะหาเครือญาติห่างๆ ที่ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่ชั่วอายุคนแล้ว คนพวกนี้กับองค์หญิงมีการติดต่อกันหรือไม่” เมื่อนางกล่าวเตือนหยางชูกับหนิงซิวก็นึกขึ้นได้
ใช่ ที่ตอนแรกจำคนเหล่านี้ได้เพราะสมาชิกในราชวงศ์มีน้อยมากซึ่งไม่เพียงพอจึงต้องไปตามหาเพื่อนำมาเติมเต็ม องค์หญิงใหญ่ที่ต่อสู้อย่างหนักในสนามรบจะมีมิตรภาพกับพวกเขาแบบไหนกันไม่มีอะไรมากไปกว่าสายสัมพันธ์ตามมารยาททั่วไป
สำหรับองค์หญิงใหญ่แล้วเครือญาติใกล้ชิดที่แท้จริงของนางมีเพียงพวกเขาเท่านั้น สี่พี่น้องร่วมมารดา และองค์ชายองค์หญิงที่เกิดจากสนมของไท่จู่
ในปัจจุบันโอรสที่เหลือของไท่จู่เชื่อฟังเป็นอย่างดีดำรงตำแหน่งเสียนอ๋องอย่างซื่อสัตย์สุจริต แต่สี่พี่น้องร่วมมารดาล้วนเสียชีวิตเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น
แขกลึกลับที่ไปพบองค์หญิงใหญ่เป็นผู้ใดกัน
ทั้งสามคนคิดไม่ออก ปรึกษากันไปสักพักก็ไม่ได้ผลลัพธ์
หยางชูพูด “เรายังต้องการหลักฐานข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ ผู้ใดก็ตามที่เคยเห็นตราประทับส่วนตัวนี้ให้ค้นหาตัวตนของคนผู้นั้นก่อน”
หนิงซิวพยักหน้า “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์เจ้าตรวจสอบคงสะดวกกว่า” แต่ก็ยังไม่วางใจจึงกำชับไปว่า “หากพบอะไรบางอย่างเจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน หากเกิดอะไรให้ศิษย์พี่จัดการ ข้าเป็นชาวยุทธภพไม่มีผู้ใดสังเกตตัวข้าหรอก เจ้าเป็นคนในราชสำนักต้องมีหลายคนจับตามองเป็นแน่”
“วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่เด็กนะ”
หลังจากคุยกันอยู่พักหนึ่งเมื่อเห็นว่าข้างนอกใกล้จะรุ่งสางแล้วหนิงซิวจึงพูดว่า “ไม่มีเวลาแล้ว ข้าต้องกลับไปสอน”
หมิงเวยตอบ “ข้าเองก็ต้องกลับแล้ว”
หยางชูมีตำแหน่งพิเศษจึงไม่ต้องออกว่าราชการ แต่ต้องไปทำงานที่สำนักงาน ทั้งสามจึงแยกย้ายกันไป
แต่ก่อนจากไปหยางชูตะโกนขึ้นว่า “เดี๋ยว!” หมิงเวยและหนิงซิวหยุดและหันไปมองเขาพร้อมกัน
เขาขยับริมฝีปาก “…หากมีเรื่องอะไรให้มาที่นี่ อย่าไปที่จวนที่นั่นพวกหูตาเยอะเกินไป” หนิงซิวสงสัยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าตกลงกันแล้วหรอกหรือ ต้องพูดย้ำอีกรอบทำไม
แต่เขาก็ตอบรับไป “เข้าใจแล้ว” ทั้งสองคนกระโดดข้ามกำแพงออกไป
ท้องฟ้าข้างนอกสว่างไสว แสงยามเช้าจางๆ ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง หยางชูนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งเขาเอื้อมมือไปแตะริมฝีปากของตนเอง
“ข้าทำอะไรอยู่เนี่ย” จู่ๆ เขาก็ตบตัวเองแรงๆ แล้วก้มหัวลงบนโต๊ะอย่างสิ้นหวัง
อาสวนเดินเข้ามาจากด้านนอกเห็นเขามีท่าทางเช่นนั้นก็ตกใจ “คุณชาย ท่านตีตนเองทำไมขอรับ”
“….” สีหน้าหยางชูไร้อารมณ์ “อ้อ เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยต้องทำให้ตนเองตื่น อีกสักครู่ข้าจะไปศาลาว่าการ”
…………
อีกด้านหนึ่งหมิงเวยเดินออกไปไม่ไกลก็พบว่าหนิงซิวกำลังรอนางอยู่
“อาจารย์” นางทำความเคารพ
หนิงซิวพูดอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้ข้ายิ่งสงสัยมากขึ้นแล้ว คิดว่าการคาดเดาของเจ้าน่าจะถูกต้อง”
เขาหมายถึงหยางชูคือดาวตี้ชิงเขาเป็นสมาชิกในราชวงศ์
หมิงเวยพยักหน้า “เจ้ายังคิดปิดบังเขาอยู่หรือไม่”
หมิงเวยถอนหายใจ “อาจารย์ ไม่ใช่ว่าข้าอยากปิดบังเขา แต่ตอนนี้เวลายังไม่สมควรยังเร็วเกินไปที่จะบอก หากเป็นเรื่องจริงสถานการณ์ของเขาอันตรายเกินไป การบอกเขาเท่ากับเป็นการเปิดเผยร่องรอย ท่านคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ฮ่องเต้ไม่ทราบถึงชาติกำเนิดของเขา”
หนิงซิวเลิกคิ้วและตอบไปว่า “หากฮ่องเต้ทราบถึงชาติกำเนิดของเขา เหตุใดพระองค์ต้องโปรดปรานเขาล่ะ แล้วยังยกหวงเฉิงซือให้อยู่ในมือเขาอีก”
“เรื่องนี้ข้าเองก็กลับไปคิด” นางพูด “ข้าคิดว่าพวกเราเข้าใจผิดทุกอย่าง พวกเราคิดว่าให้เขาอยู่ในหวงเฉิงซือ การเชื่อใจเขาเพราะหวงเฉิงซือเป็นหูตาของฮ่องเต้ แต่ถ้าเราคิดไปอีกแง่หนึ่งล่ะวางเขาในตำแหน่งที่น่าเชื่อถือที่สุดซึ่งถูกห้อมล้อมด้วยหูตาของพระองค์ นี่คือการเฝ้าระวังหรือไม่”
“….” หนิงซิวหวาดหวั่น “แล้วเจ้าให้เขาไปหาข้อมูลทุกการเคลื่อนไหวของเขาในหวงเฉิงซือไม่ใช่ว่าถูกจับตาอยู่ตลอดหรอกหรือ”
หมิงเวยยิ้ม “อาจารย์เคยคิดหรือไม่ว่า การที่คนผู้หนึ่งไม่เคยทำเรื่องนอกกรอบจะน่ากลัวเพียงใด ตอนที่ท่านเรียนศิลปะแล้วมักไม่มีสมาธิจดจ่อ ท่านถูกลงโทษหรือไม่”
“ไม่เคย”
“….” หมิงเวยต้องเปลี่ยนวิธีพูด “ตัวอย่างเช่น ข้ามักจะทำตามกฎทุกอย่างในสถาบันการศึกษา แต่เรื่องที่ข้าทำเป็นการส่วนตัว ท่านสามารถมองเห็นได้”
หนิงซิวพยักหน้า “สตรีจากตระกูลใหญ่พวกนั้นไม่ว่ากฎจะเป็นอย่างไรก็มีบางครั้งที่พวกนางออกนอกกรอบ”
“เป็นเช่นนั้นมนุษย์นั้นแปลกมาก พวกเราอยู่กันเป็นกลุ่มและถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ แต่ในใจเรามักปรารถนาที่จะไม่ถูกผูกมัด แต่การไม่สนใจกฎเกณฑ์อย่างสิ้นเชิงนั้น ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรือต้องจ่ายในราคาที่สูงเพียงใด คนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถทำได้ ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้พวกเขาจะหาโอกาสออกนอกกรอบเล็กน้อยและสนุกกับการเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์”
หนิงซิวเข้าใจแล้ว “เจ้าหมายถึงการที่เขาทำผิดแต่ไม่ถูกลงโทษเป็นเรื่องน่ากลัวงั้นหรือ”
“ใช่ หากฮ่องเต้กำลังเฝ้าดูเขาอยู่จริงๆ พระองค์จะต้องวางขอบเขตไว้ในพระทัย เมื่อข้ามขอบเขตนี้ไปเขาจะโชคร้าย แต่ขอบเขตของฮ่องเต้กับกฎเกณฑ์ไม่ได้ตรงกันทั้งหมด ตามหนังสือประวัติศาสตร์ขุนนางทุจริตบางคนเห็นได้ชัดว่าน่ารังเกียจมาก แต่ทำไมฮ่องเต้ไม่โง่พอที่จะใช้พวกเขาเพราะสิ่งที่พวกเขาทำนั้นไม่ได้กระทบกระเทือนจิตใจของฮ่องเต้ ตราบใดที่พวกเขาเข้าใจสิ่งนี้แม้ว่าพวกเขาจะก่ออาชญากรรมก็ไม่เป็นปัญหาเจ้าค่ะ”
“เพราะฉะนั้นเจ้าเลยคิดว่าเขาควรจะทำผิดพลาดเล็กน้อยใช่หรือไม่”
หมิงเวยยิ้ม “เขาเพิ่งอายุสิบเก้ายังเป็นหนุ่มน้อย เขาจะไม่ทำผิดพลาดได้อย่างไร เขารักท่านปู่ท่านย่าของเขามาก หากเขาต้องการดูข้อมูลของพวกเขาถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ฮ่องเต้อาจไม่พอใจแต่ก็ถือว่าไม่ล้ำเส้นที่พระองค์วาดไว้ ในทางตรงกันข้ามเราสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อสำรวจทัศนคติของฮ่องเต้ที่มีต่อเขาได้”
หนิงซิวมองนาง ในที่สุดเขาก็เข้าใจความตั้งใจของนางที่พูดเรื่องเหล่านั้นก่อนหน้านี้ ต้องการให้หยางชูดูข้อมูลแต่จงใจห้ามปราม ด้วยวิธีนี้หยางชูจะต้องรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในใจและต้องการค้นหาเอง
หมิงเวยเลิกคิ้ว “อาจารย์มองข้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
หนิงซิวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าหลอกใช้เขา”
“หลอกใช้อย่างไรเจ้าคะ” หมิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อเขางั้นหรือ เขาไปหาข้อมูลพวกเราจะได้รู้ว่าฝ่าบาทใส่ใจเขาหรือไม่ หากพระองค์ไม่ใส่ใจ เป็นไปได้ว่าพระองค์ไม่ทราบชาติกำเนิดของเขา แต่หากเขาใส่ใจ พวกเราเองก็ต้องใส่ใจเช่นกัน”
นั่นหมายความว่าฮ่องเต้ทราบถึงชาติกำเนิดของเขา
…………..