คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 268 ตราประทับ
เมื่อแยกตัวกับหนิงซิวหมิงเวยก็ไปที่ศาลาว่าการ ฟ้าเพิ่งสว่างนางจึงรออยู่ด้านนอกสักพักก่อนจะเห็นคนที่คุ้นเคย
“ใต้เท้าเหลย!” เมื่อเหลยหงเห็นนาง เขาก็ทั้งตกใจและประหลาดใจ
“แม่นางหมิง ท่าน…”
หมิงเวยย่อกายคารวะเขา “ข้ามาขอพบใต้เท้าเจี่ยงเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงตื่นนานแล้วเมื่อได้รับตำแหน่งจิงจ้าวอิ๋นเขาก็ค่อนข้างขยัน เขาตื่นนอนก่อนรุ่งสางเพื่อทำงานและกว่าจะได้พักผ่อนก็เที่ยงคืน เขามีเรือนในเมืองหลวง แต่ตอนนี้เขานอนที่ศาลาว่าการจึงไม่จำเป็นต้องกลับไป
“แม่นางหมิงเช้าขนาดนี้มีเรื่องสำคัญงั้นหรือ” หมิงเวยพยักหน้า
เจี่ยงเหวินเฟิงพานางไปที่ห้องทำงานของเขาและบอกให้เหลยหงคอยคุ้มกันข้างนอก หมิงเวยขอยืมพู่กันและปากกาจากนั้นก็วาดรูปตราประทับแล้วส่งให้เขา “ข้าต้องการตามหาเจ้าของตราประทับอันนี้ใต้เท้าช่วยข้าคิดหาวิธีได้หรือไม่เจ้าคะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงรับมามองและมองอย่างละเอียด “ตราประทับนี้ข้ารู้สึกคุ้นอยู่เล็กน้อย…”
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจหมิงเวยรีบถาม “ท่านเคยเห็นหรือเจ้าคะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วตอบว่า “อาจารย์ผู้มีพระคุณของข้าชอบสะสมแร่หินมาก ตอนที่ข้ายังศึกษาอยู่ที่นั่นเหมือนเคยเห็นหินหน้าตาแบบนี้มาก่อน แต่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ข้าไม่รับประกันว่าความจำจะถูกต้องและไม่แน่ใจว่าเป็นตราประทับนี้หรือไม่”
“อาจารย์ของท่านคือ…”
“อาจารย์ของข้าสอนอยู่ที่สถานศึกษาซานไถนามฟู่จิน”
ฟู่จิน! เป็นผู้ที่มีความรู้มากแม้จะไม่ได้รับราชการ แต่ชื่อเสียงของเขาดังมาก เขามีลูกศิษย์และสหายมากมายอยู่ทั่วทั้งในราชสำนักและตามเมืองต่างๆ สถานศึกษาซานไถอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงใช้เวลาเดินทางเพียงหนึ่งถึงสองวันเท่านั้น
“ใต้เท้าเห็นเมื่อไรหรือเจ้าคะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงนึกย้อน “ข้าเข้าเรียนที่สถานศึกษาซานไถตอนอายุสิบสามจนกระทั่งสอบเข้ารับราชการหากนับดูแล้วน่าจะเป็นสิบสามหรือสิบสี่ปีที่แล้วได้”
หมิงเวยคิดว่าจะต้องไปพบอาจาร์ฟู่ผู้นี้ให้ได้ หยางชูเคยบอกว่าตราประทับนี้มีข้อกำหนด ดังนั้นจึงไม่น่าเป็นไปได้ที่ตราประทับนี้จะอยู่ในมือของคนที่ไม่ใช่สมาชิกราชวงศ์ หากมีหนึ่งอันอยู่ในมือของอาจารย์ฟู่ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่เพียงพอที่จะได้รับความไว้วางใจ
นางยังครุ่นคิดว่าจะพบอาจารย์ฟู่ผู้นี้ได้อย่างไร เจี่ยงเหวินเฟิงที่ตระหนักได้ทันทีจึงถามออกไป “แม่นางหมิง ตราประทับนี้มีปัญหาอะไรหรือหากข้าสามารถช่วยอะไรได้แม่นางอย่าได้ลังเลที่จะขอ”
ให้หยางชูไปคงไม่เหมาะสมหนิงซิวเป็นชาวยุทธภพ ตนมีพี่ชายสองคน จี้เสียวอู่อยู่ในเสวียนตูกวัน จี้หลิงกำลังเตรียมตัวสอบเข้ารับราชการ แต่จะให้นางไปพบคนเดียวมีความเป็นไปได้สูงที่อาจารย์ฟู่จะไม่มาพบนางยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นคนแปลกหน้า หากต้องการสอบถามเรื่องนี้คงไม่มีทางได้เริ่มต้นถามหรอก
หมิงเวยพูดว่า “หากไม่เป็นการรบกวน เรื่องนี้ข้าคงต้องรบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “แม่นางหมิงมีปัญหา ข้าไม่สามารถปฏิเสธได้อยู่แล้ว แต่ข้าอยากให้แม่นางหมิงช่วยเล่าสาเหตุของเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยข้าจะได้ทราบว่าควรปฏิบัติอย่างไร”
สำหรับเจี่ยงเหวินเฟิงแล้วนี่เป็นการสละเวลาจากตารางงานอันยุ่งเหยิงของเขาเพื่อดูแลธุระของนางหมิงเวยจะไม่พูดอะไรได้อย่างไร นางโน้มตัวทำความเคารพทันที
“รบกวนใต้เท้าแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคดีลับเรื่องราวภายในและเบาะแสทั้งหมดในตอนนี้ยุ่งเหยิงจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ข้าสามารถบอกใต้เท้าได้เพียงว่าเจ้าของตราประทับนี้เคยไปสถานที่หนึ่งเมื่อสามปีที่แล้ว เป็นเหตุให้คนสองคนถึงแก่ความตาย ข้าต้องหาบุคคลนี้และสอบสวนความสัมพันธ์ของเขากับคดีฆาตกรรมนี้เจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจ “ท่านหมายความว่าถ้าตราประทับนี้เป็นของอาจารย์ เป็นไปได้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมงั้นหรือ”
“เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้นเจ้าค่ะ” หมิงเวยอธิบาย “เพราะเจ้าของตราประทับนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาวิกฤตพอดี”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าเงียบๆ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เช่นนั้นแม่นางหมิง ข้าสามารถตรวจสอบให้ท่านได้ แต่ถ้าตราประทับนี้เกี่ยวข้องกับอาจารย์ของข้า กรุณาบอกรายละเอียดของคดีให้ข้าทราบด้วย ในฐานะลูกศิษย์ข้าไม่ควรเพิกเฉยต่อเรื่องของอาจารย์หากเขาเกี่ยวข้องกับคดีนี้จริงๆ ข้าก็หวังจะตรวจสอบด้วยตัวเอง”
หมิงเวยรับปากอย่างง่ายดาย “ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบังเรื่องนี้จากใต้เท้า เพียงแต่ตอนนี้มีข้อมูลน้อยเกินไปพัวพันไปถึงผู้อื่นโดยกว้าง ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดีเจ้าค่ะ พูดไปมีแต่ทำให้ใต้เท้าลำบากใจ หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาจารย์ฟู่จริง ข้าจะแจ้งต้นสายปลายเหตุให้ใต้เท้าฟังแน่นอนเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงตอบรับนาง “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเตรียมตัวใช้ประโยชน์จากซิวมู่[1] เดินทางไปยังสถานศึกษาซานไถ เพียงแต่งานราชการยุ่งมากจำเป็นต้องหาเวลาคงต้องใช้เวลาสักครู่”
หมิงเวยพยักหน้า “ข้าอยากให้ใต้เท้าเจี่ยงทำความเข้าใจสองประเด็น หนึ่ง อาจารย์ฟู่เป็นเจ้าของตราประทับจริงหรือไม่ สองในวันที่สิบเดือนสามเมื่อสามปีที่แล้ว อาจารย์ฟู่ไม่ได้อยู่ในสถานศึกษาซานไถใช่หรือไม่ แต่สำหรับเวลานั้น อย่างไรก็รอมาหลายปีแล้ว และตอนนี้ข้าก็ไม่รีบร้อนอะไรเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดแล้วตอบรับ “ได้”
เมื่อพูดคุยกับเจี่ยงเหวินเฟิงเสร็จหมิงเวยก็เดินออกไปทางประตูหลังอย่างเงียบๆ
เจี่ยงเหวินเฟิงนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบ “เชี่ยนเหนียง ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดีเรื่องนี้อาจจะยุ่งยากเป็นได้…เจ้าคิดว่าข้าควรสนใจหรือไม่”
ควันลอยออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วลูบใบหน้าของเขาเบาๆ มีเสียงดังขึ้นว่า “ท่านมีคำตอบในใจอยู่แล้วจะถามข้าทำไมกัน”
เจี่ยงเหวินเฟิงชะงักและหัวเราะเบาๆ “จริงด้วย ข้าจะถามให้มากความทำไมกัน ในเมื่อตัดสินใจที่จะไว้วางใจนางรับปากที่จะช่วยเหลือนางแล้วดังนั้นควรรักษาสัญญา”
สายตาของเขาจ้องมองไปที่ควันและพูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เพียงแต่หวังว่านางจะรักษาสัญญาให้พวกเราอยู่ด้วยกันไปนานๆ”
…………
เมื่อกลับไปถึงจวนตระกูลจี้ก็เป็นเวลาอาหารเช้าพอดี
หมิงเวยกระโดดข้ามกำแพงทันใดนั้นก็ได้ยินแม่นมถงบ่นกับปิงซิน “ข้าวต้มในครัวไม่มีแล้วไม่ใช่ว่าตัวฝูกินไปล่ะ เด็กคนนี้กินแล้วทำไมไม่ทำใหม่ ถ้าคุณหนูตื่นขึ้นมาแล้วจะทำทันได้อย่างไร”
เมื่อเห็นหมิงเวยเข้ามาจากด้านนอกนางก็กล่าวทักทาย “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” จากนั้นก็หันกลับไปพูดว่า “เจ้าให้พวกเขาไปทำมาใหม่เร็วอีกสักพักคุณหนูก็ตื่นแล้ว จะได้ทัน…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แม่นมถงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางจึงหันไปมองและรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก “คุณหนู!”
หมิงเวยยิ้มตาหยี “แม่นมทานข้าวแล้วหรือยัง ข้าวต้มนั้นข้าเป็นคนทานเอง ตัวฝูหลับอยู่”
“ทานแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะหลับไปเสียนานให้แม่นมดูหน่อยว่าผอมลงหรือเปล่า…”
หลังจากคุยกับแม่นมถงเสร็จแล้วหมิงเวยก็เดินไปที่ประตูถัดไป
ทุกคนในตระกูลจี้กำลังทานอาหารเช้า จี้ฮูหยินและแม่นมถงมีปฏิกิริยาเหมือนกันทุกประการ นางกล่าวทักทายก่อนจากนั้นถึงนึกขึ้นมาได้แล้วทุกคนก็ล้อมรอบถามไถ่อาการของหมิงเวย
สะใภ้ใหญ่พูดว่า “น้องหญิงหลับไปหลายวัน ดูไม่ผอมโซเลย กลับกันดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย ยิ่งเหมือนเทพธิดาเข้าไปอีกเป็นยาวิเศษอะไรกัน พวกเราทานได้หรือไม่”
หมิงเวยยิ้ม “ข้ามีใบสั่งยาสำหรับบำรุงความงามกลับไปจะให้ตัวฝูหามาให้ พวกเรามาทำเครื่องประทินผิวกันเถอะ ใช้ไปไม่กี่เดือนรับรองพี่สะใภ้เหมือนเทพธิดาแน่!”
สะใภ้ใหญ่หัวเราะ “ได้ๆๆ พวกเราเป็นเทพธิดาด้วยกัน”
“ลูกจะทำด้วยๆ!” จูเอ๋อร์ร้อง
หมิงเวยลูบหัวนาง “จูเอ๋อร์เป็นเทพธิดาน้อยอยู่แล้ว”
จากนั้นก็มองจี้ฮูหยิน “อืม…ท่านป้าเป็นเทพธิดาผู้ยิ่งใหญ่”
จี้ฮูหยินอยากจะหัวเราะแต่ก็เขินอาย นางกระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อย “เด็กคนนี้นี่ พูดอะไรไร้สาระป้าก็แค่หญิงแก่คนหนึ่งเท่านั้น”
……………
[1] ซิวมู่ :ทุกห้าวันจะมีวันหยุดพักงานได้เพียงหนึ่งวันเท่านั้น