คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 279 สมรสพระราชทาน
วันนี้ฮ่องเต้มีความสุขมาก พระองค์ประทานของรางวัลและเรียกขันทีมานับจำนวน บางครั้งก็มีคนวิ่งกลับมาตะโกนว่าได้เหยื่อกลับมาแล้ว เป็นบรรยากาศที่มีชีวิตชีวามาก
จนกระทั่งช่วงบ่ายได้มีการจัดลำดับก่อนหลัง อันดับที่หนึ่งคงไม่พ้นหยางชู
ฮ่องเต้ตรัสกับโป๋วหลิงโหวว่า “ดูเอาเถิด คุณชายสามจวนเจ้าไม่ใช่ว่าไม่มีดีเสียหน่อย”
โป๋วหลิงโหวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้ศิลปะการต่อสู้เป็นเลิศ เมื่อนึกถึงท่านแม่ก็นึกถึงสนามรบพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “พี่ใหญ่เป็นวีรสตรี พี่เขยเองก็เป็นบุรุษผู้กล้าหาญผู้หนึ่ง ช่างน่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถยกทัพไปทางใต้เลยไม่สามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้” ขุนนางทุกคนชื่นชม และยกย่ององค์หญิงหมิงเฉิงและโป๋วหลิงโหวมาก
ฮ่องเต้สังเกตเห็นชื่อที่ไม่คุ้นเคยอยู่ในลำดับสูงจึงเอ่ยถาม
“จี้หลิง คือบุตรตระกูลใดหรือ”
นายท่านจี้ที่กำลังต่อกลอนอยู่จู่ๆ ก็ถูกเพื่อนร่วมงานผลัก เขาจึงลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและตอบกลับว่า “ทูลฝ่าบาท เป็นบุตรชายของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จำเขาได้และถามด้วยความประหลาดใจ “จี้ชิงนี่เอง เป็นบุตรคนไหนหรือ”
นายท่านจี้ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “บุตรชายคนโตพ่ะย่ะค่ะ เขากำลังศึกษาอยู่ที่กั๋วจื่อเจียน”
ฮ่องเต้หัวเราะ “ก่อนหน้าเป็นจี้เหว่ย ตอนนี้มีจี้หลิงอีก ท่านมีบุตรกี่คนหรือ”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีบุตรชายสองคนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ลูบฝ่ามือพระองค์ดูมีความสุขมาก “บุตรชายสองคนมีความสามารถ ดี! ความสามารถในการสั่งสอนบุตรของจี้ชิงเจิ้นควรเรียนรู้เอาไว้ หากบุตรของเจิ้นแต่ละคนประสบความสำเร็จก็ถือว่าไม่ทำให้ฮ่องเต้ไท่จู่ผิดหวังแล้ว”
พระองค์ตรัสอีกว่า “กลับไปเจิ้นอยากพูดคุยกับจี้ชิงเกี่ยวกับการอบรมสั่งสอนบุตรเสียหน่อย”
แน่นอนว่านายท่านจี้ตอบรับคำ รอเขานั่งลงเพื่อนร่วมงานที่กั๋วจื่อเจียนต่างมองเขาด้วยความอิจฉา
โชคดีอะไรอย่างนี้! หลานสาวหนึ่งคน บุตรชายสองคน ฮ่องเต้ล้วนจำได้หมดทุกคน! จี้หลิงเป็นคนที่โดดเด่นอย่างแท้จริง เขามีชื่อเสียงในกั๋วจื่อเจียน จี้ชูผู้นี้เป็นคนซื่อสัตย์ แต่พวกเขาไม่ควรประเมินบุตรของอีกฝ่ายต่ำเกินไป
เฮ้อ โชคดีมาเยือน! ความสามารถในการมีลูกก็เป็นทักษะหนึ่งเช่นกัน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งในอนาคตก็เป็นได้
ฮ่องเต้รู้สึกคึกคักเป็นอย่างยิ่งพระองค์ส่งคนไปถามทางกุ้ยเฟยว่าทางฝั่งเหล่าคุณหนูเป็นอย่างไรบ้าง
กุ้ยเฟยได้รายงานกลับมา
ฮ่องเต้ทรงประหลาดใจ “มีกลุ่มหนึ่งล่าสัตว์มาได้จำนวนไม่น้อย! เป็นคุณหนูจากตระกูลใดหรือ” ขันทีรายงานชื่อ
ฮ่องเต้ได้ยินชื่อที่คุ้นเคยก็ถามออกไป “หมิงเวย หลานสาวของจี้ชิงใช่หรือไม่”
นายท่านจี้ตอบรับอีกครั้ง
ฮ่องเต้ได้ยินเขาตอบรับก็แย้มสรวลด้วยความสนใจ “ครอบครัวเจ้าไม่เพียงอบรมสั่งสอนบุตรเป็นอย่างดี แม้แต่หลานสาวก็อบรมนางจนมีความสามารถโดดเด่นไม่แพ้บุรุษเลย”
นายท่านจี้เป็นคนซื่อสัตย์เขาตอบไปตามตรงว่า “หลานสาวของกระหม่อมคนนี้เก่งกว่าบุตรชายของกระหม่อมอีกพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ”
เขาบอกว่า “บุตรของกระหม่อมเป็นคนดื้อรั้น ไม่ชอบศึกษาเล่าเรียน โชคดีที่หลานสาวมาอยู่ด้วยกันทำให้เขามีแรงใจในการเรียนไม่น้อย”
ฮ่องเต้ถาม “ได้ยินมาว่าบุตรชายคนเล็กของเจ้าได้หมั้นหมายกับหลานสาวเจ้างั้นหรือ”
นายท่านจี้ตอบรับ
ฮ่องเต้ทรงพระสรวล “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเขาเข้ากันได้ดีเหตุใดไม่ให้เจิ้นเป็นพ่อสื่อให้พวกเขาล่ะ”
นายท่านจี้ประหลาดใจ พ่อสื่อ หมายถึงพระราชทานสมรสงั้นหรือ
เมื่อเห็นเขามึนงงเพื่อนร่วมงานก็เตือนเขาอย่างขมขื่นว่า “ใต้เท้าจี้ ฝ่าบาทให้เกียรติท่านขนาดนี้ทำไมไม่กล่าวขอบพระทัยเล่า” นายท่านจี้ถูกเขากล่าวเตือนก็ได้สติจึงรีบกล่าวขอบพระทัยฝ่าบาท
ฮ่องเต้โบกมือ “เจิ้นแค่อยากให้ครอบครัวของเจ้าประทับใจ บางทีสวรรค์อาจจะมอบสะใภ้ที่ดีให้เจิ้นด้วย”
เหล่าขุนนางยิ้มอย่างรู้ทันเทศกาลชิวเลี่ยในปีนี้ยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งไม่ใช่หรือ ไท่จื่อที่อยู่ข้างกายรู้สึกประหลาดใจในตอนแรกจากนั้นก็แอบลอบยิ้ม
ช่างน่าประหลาดใจ เด็กนั่น คงไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นหรอกนะ
พระราชโองการของฮ่องเต้ยากที่จะละเมิด เมื่อเอ่ยออกไปแล้วก็ไม่สามารถหาเหตุผลกลับคืนมาได้ หากเขารู้ว่าความปรารถนาของตนเองล้มเหลวจะเป็นอย่างไรนะ
ไท่จื่อแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะเห็นผลลัพธ์นี้แล้ว
…………
เมื่อเจี่ยงเหวินเฟิงได้สติเขาพบว่ามือและเท้าของเขาถูกมัด ดวงตาของเขาถูกปกคลุมด้วยผ้า
หลังจากดิ้นรนอยู่พักหนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงของเชี่ยนเหนียงดังก้องอยู่ในหัว
“ท่านพี่อย่าขยับ มีคนอยู่ในห้องนี้เจ้าค่ะ” เจี่ยงเหวินเฟิงไม่เปิดปากพูดอะไร
เป็นสามีภรรยากันมาหลายปีเชี่ยนเหนียงเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อจึงอธิบายสถานการณ์ข้างหูของเขา “ตอนนี้ท่านอยู่ในห้องลับ สภาพแวดล้อมว่างเปล่าและเล็กมาก อาจารย์ฟู่คงไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายท่าน แต่เขาไม่สามารถปล่อยท่านไปได้ ท่านทำตัวว่าง่ายให้เขาคลายความระมัดระวังแล้วพวกเราค่อยหาโอกาสหนีกันเจ้าค่ะ” เจี่ยงเหวินเฟิงสงบลง
เชี่ยนเหนียงในร่างวิญญาณติดตามเขามาหลายปี นางมีประสบการณ์หลายสิ่งหลายอย่างจึงมีความสามารถมากพอที่จะตัดสินใจได้ สักพักก็มีเสียงดังขึ้นในหูเขา เชี่ยนเหนียงพูดว่า “เขามาแล้วเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่าเจี่ยงเหวินเฟิงได้ยินเสียง “เจ้าออกไปก่อน”
“ขอรับ” เป็นบ่าวรับใช้เฒ่าคนนั้น ประตูห้องลับปิดลงอีกครั้งเจี่ยงเหวินเฟิงก็พูดขึ้นในที่สุด “อาจารย์…”
ฟู่จินไม่พูดอะไรอีกฝ่ายเดินเข้ามาช้าๆ จุดเทียนแล้วนั่งลงตรงข้ามเขา
“อาจารย์” เจี่ยงเหวินเฟิงเรียกอีกครั้ง แต่กลับได้รับเสียงถอนหายใจกลับมา
“เหวินเฟิง เจ้าเป็นศิษย์ที่ข้าภูมิใจมาก”
เจี่ยงเหวินเฟิงรู้สึกละอายใจ “ขออภัยด้วยขอรับ”
ฟู่จินเคาะนิ้วของตนกับโต๊ะพลางมองอีกฝ่าย “เจ้าได้รับคำสั่งจากผู้ใดมางั้นหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหน้า “ศิษย์ไม่ได้รับคำสั่งจากผู้ใดขอรับ”
“แล้วเจ้ามาตรวจสอบของใช้ส่วนตัวของข้าทำไม เพื่ออะไร คงไม่ใช่เพื่อการตรวจสอบคดีใช่หรือไม่”
ประโยคที่ฟู่จินเอ่ยฟังดูเหมือนเหน็บแนม แต่ไม่คาดคิดว่าเจี่ยงเหวินเฟิงจะตอบกลับว่า “ใช่ขอรับ”
เขาตอบอย่างจริงจัง ฟู่จินก็รู้ว่าลูกศิษย์คนนี้ไม่เคยโกหก ดังนั้นเขาจึงหยุดและถามว่า “โอ้ ข้าเกี่ยวข้องกับคดีอะไรหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูดออกมาสามคำ “ฆาตกรรมขอรับ”
ฟู่จินแค่นหัวเราะ “เหวินเฟิง เจ้าอย่าพูดไร้สาระ ครึ่งชีวิตของข้าอยู่กับการเรียน ข้าเริ่มสอนที่สถานศึกษาซานไถเมื่อยี่สิบปีก่อนจะไปฆ่าผู้ใดได้ เจ้ายังไม่บอกมาตรงๆ อีก!”
เจี่ยงเหวินเฟิงถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อาจารย์แน่ใจหรือว่าไม่เคยทำเรื่องแบบนี้”
ฟู่จินตอบอย่างเย็นชา “แน่นอนว่าไม่เคย!”
“แล้วห้องลับนี้ของท่านคืออะไรกัน ดูไม่เหมือนคนไม่มีการเตรียมตัว ท่านคงคิดว่าสักวันหนึ่งจะมีคนมาตรวจสอบท่านใช่หรือไม่ขอรับ”
ฟู่จินหรี่ตาไม่ตอบอะไร
เจี่ยงเหวินเฟิงได้ยินเชี่ยนเหนียงพูดว่า “เขามีรังสีสังหาร ท่านอย่าไปกระตุ้นเขาเจ้าค่ะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจยาวและเปลี่ยนเรื่อง “ไม่พูดเรื่องห้องลับนี่ก็ได้ขอรับ ตราประทับนั่นของท่านคืออะไรกัน”
ฟู่จินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าชอบสะสมแร่หินเจ้าเองก็รู้”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูด “อาจารย์ ถึงศิษย์ผิดที่บุ่มบ่ามตรวจสอบห้องหนังสือของท่าน แต่ศิษย์ยังต้องการแก้ปัญหานี้ด้วยความจริงใจ ในเมื่อศิษย์สามารถมาได้ผู้อื่นก็มาได้ ของสิ่งนั้นของท่านไม่ช้าก็เร็วต้องมีคนรู้แน่ขอรับ”
ฟู่จินดูหมิ่น “ถึงถูกผู้อื่นรู้เข้าแล้วอย่างไร สิ่งที่คนผู้นั้นได้กลับมาคงมีไม่น้อย”
เจี่ยงเหวินเฟิงถามกลับทันที “ถ้าเป็นเช่นนั้นเหตุใดท่านถึงต้องมัดศิษย์ด้วย”
…………..