คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 298 โต๊ะกลม
ฟู่จินถูกลักพาตัวไปที่รถม้าแล้วพบว่านักเรียนของเขาที่ดำรงตำแหน่งจินจ้วอิ๋นก็อยู่ในรถด้วย เมื่อเห็นเขาขึ้นมาอีกฝ่ายก็ยิ้มและคารวะเขา “อาจารย์ พักที่จวนหลู่เซียงเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
ฟู่จินที่สะสมความไม่พอใจมานาน ในที่สุดก็ระเบิดขึ้นเมื่อมีเรื่องหนึ่งมาจุดชนวน
“เจ้ามีเรื่องอะไร ทำไมไม่พูดคุยกันดีๆ”
เจี่ยงเหวินเฟิงไหวไหล่ด้วยท่าทางไร้เดียงสา “ท่านหนิงไม่ได้พูดกับท่านดีๆ หรอกหรือ”
หนิงซิวที่อยู่นอกรถตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “อืม…ข้าบอกว่าใต้เท้าเจี่ยงทราบเรียบร้อยแล้ว”
“…” ฟู่จินลูบแขนเสื้อที่ฉีกขาดแล้วยิ้ม “ข้าประมาทเลินเล่อเอง พวกเจ้าบอกว่ามีเรื่อง เรื่องอะไรงั้นหรือ”
“ศิษย์ไม่ได้จะพูด เป็นผู้อื่นพูด” เจี่ยงเหวินเฟิงกล่าวจบ หนิงซิวก็ตวัดแส้และรถม้าก็พุ่งไปข้างหน้า
หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดพูดอะไรอีก พวกเขาออกจากประตูเมืองอย่างราบรื่นและมุ่งหน้าไปยังชานเมือง ฟู่จินมองดูทิวทัศน์ที่ส่องประกาย และค่อยๆ เข้าสู่ถนนบนภูเขาที่กว้างใหญ่
“เสวียนตูกวัน” เขาครุ่นคิด
ครึ่งชั่วยามต่อมารถม้าก็เลี้ยวเข้าทางเดินเล็กๆ เห็นได้ชัดว่าถนนทั้งแคบและมืด แต่ภายใต้การขับรถม้าของหนิงซิวนั้นกลับไม่มีสิ่งกีดขวาง
ในที่สุดหนิงซิวก็ดึงบังเหียน ม้าร้องพลางยกกีบเท้าขึ้นจากนั้นก็หยุดลง
เขายกม่านขึ้น “ถึงแล้วขอรับ เชิญ”
ฟู่จินลงจากรถม้าเขาเห็นเรือนเล็กๆ บนลานภูเขาเบื้องหน้า เรือนนั้นมีรั้วล้อมรอบถูกปกคลุมด้วยดอกไม้ป่าและวัชพืช ภายในเรือนมีไฟส่องสว่างเล็กน้อย
ทั้งสามคนเดินเข้าไปในเรือน จากนั้นหนิงซิวก็เคาะประตู
“เข้ามาได้” เสียงอ่อนโยนของสตรีดังขึ้นและประตูก็ถูกเปิดออก
ฟู่จินลูบเคราที่คางพลางคิดว่าคืนนี้เขาจะเล่นละครบทไหนดี
นิสัยของลูกศิษย์คนนี้เป็นอย่างไรเขารู้ดีมีเจี่ยงเหวินเฟิงอยู่ด้วยไม่ทำให้เขาเสียเปรียบอย่างแน่นอน แต่การใช้วิธีนี้ลักพาตัวเขามาให้ความรู้สึกเหมือนใช้อำนาจบารมีกดข่มคนที่เพิ่งลงจากหลังม้าอย่างอธิบายไม่ถูก…
แล้วความคิดของฟู่จินก็เปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของเสียงสตรีเมื่อครู่นี้
รอยยิ้มของเขาเลือนหายไป เด็กคนนั้นไม่เสียเปรียบเลยสักนิด สถานศึกษาซานไถถูกเขาหยอกมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้กำลังช่วยคนอื่นกดไม่ให้เขาออกนอกหน้า หืม…คิดว่านี่จะทำให้เขาถอยหลังหรือ ประเมินอาจารย์อย่างเขาต่ำเกินไปแล้ว
ส่วนแม่นางหมิงผู้นี้แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก! เขายังไม่ทันได้ตามหานางก็มาหาเขาเสียก่อนแล้ว อืม..รุกเช่นนี้เขาชอบนัก!
ฟู่จินคิดอย่างมีความสุข และเดินตามหนิงซิวเข้าไปด้านใน ภายใต้แสงสลัว สิ่งแรกที่เขาเห็นคือเด็กสาวที่มีใบหน้างดงามราวกับภาพวาด
ฟู่จินทำแค่เพียงชำเลืองดูและชื่นชมในใจ แต่ไม่ช้าเขาก็เลิกคิ้ว
รูปลักษณ์นี้ดูมีรังสีสังหารมากเกินไปสำหรับคนรุ่นเยาว์ อาจส่งผล…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฟู่จินก็เงยหน้าขึ้น และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวก้าวไปด้านข้างเผยให้เห็นโต๊ะกลมที่เรียบง่าย
มีบุรุษสองคนนั่งที่โต๊ะ คนหนึ่งสวมชุดนักพรตแค่ดูก็รู้ว่าเขาเป็นคนจากเสวียนตูกวัน ส่วนบุรุษอีกคนอยู่ในชุดฮั่นฝูสวมกวานสีทองเป็นคุณชายรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง
คุณชายผู้นั้นได้ยินเสียงจึงมองมาทางนี้
ภายใต้แสงนั้นใบหน้างดงามราวกับหยก ไฝชาดที่กึ่งกลางคิ้วนั้นดูโอ้อวดเป็นพิเศษ
ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายความคิดทั้งหมดของเขาก็หายไปจากใจ ฟู่จินเดินตรงไปข้างหน้าอีกฝ่าย จ้องใบหน้านั้นอย่างระมัดระวัง และเฝ้าดูซ้ำแล้วซ้ำอีก
ผ่านไปนานเขาก็พูดกับเจี่ยงเหวินเฟิง “เจ้าควรพูดก่อนตั้งแต่แรกข้าจะได้เตรียมใจเอาไว้”
ปฏิกิริยานี้ทำให้เจี่ยงเหวินเฟิงประหลาดใจและตอบว่า “อาจารย์ต้องเตรียมตัวอะไรหรือ”
ฟู่จินส่ายหน้าไม่ตอบคำถามนี้จากนั้นก็โค้งคำนับอย่างเคร่งขรึม และเป็นทางการ
ในตอนนี้เขาไม่ได้พูดอะไร และดูเหมือนว่าไม่สมควรจะพูดอะไร หยางชูตกตะลึงพอคิดจะลุกไปประคองเขา อีกฝ่ายก็คำนับเสร็จแล้ว
“ท่าน…”
ฟู่จินยิ้มเขาในตอนนี้ดูเป็นผู้มีความรู้ที่แสนสุภาพ แต่คราวนี้เหตุผลที่เขาเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อแสร้งทำ แต่เขาคิดว่ามันจำเป็น
“คุณชายรู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด” หยางชูพยักหน้าเงียบๆ
ฟู่จินหัวเราะ “เช่นนั้นก็ดีประหยัดเวลาอธิบาย”
ในที่นี้มีเพียงเจี่ยงเหวินเฟิงที่รู้จักทั้งสองฝ่ายจึงแนะนำอีกฝ่ายให้แก่กัน
เมื่อทักทายกันเสร็จหมิงเวยก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์ฟู่เชิญนั่งเจ้าค่ะ เหตุผลที่เชิญท่านมาในวันนี้ท่านคงรู้อยู่แล้ว เวลามีไม่มากพวกเราอย่าใส่ใจเรื่องมารยาทเลย เข้าเรื่องกันดีกว่าเจ้าค่ะ”
เรื่องความเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ในตอนนี้พักไว้ก่อน และทั้งหกคนก็นั่งล้อมเป็นวงกลม
ฟู่จินมองเหล่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขา คนหนึ่งอายุน้อยกว่าอีกคนหนึ่ง ผู้ที่มีอายุมากที่สุดคือเจี่ยงเหวินเฟิงลูกศิษย์ของเขาซึ่งมีอายุเพียงสามสิบปีเท่านั้น
เขาหัวเราะในใจต้องมาพูดเรื่องชีวิตคนกับเด็กกลุ่มนี้แอบรู้สึกผิดจริงๆ แต่ถ้าลองคิดดูดีๆ คนกลุ่มนี้ละเลยไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ
ลูกศิษย์ของตนเขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ได้เป็นถึงจินจ้าวอิ๋น และจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเมื่อวาระการดำรงตำแหน่งนี้สิ้นสุดลง หากได้เข้าสู่ราชสำนักในไม่กี่ปีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เจ้าสำนักเสวียนเฟยเพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชครูหลังกลับจากเทศกาลชิวเลี่ย เสวียนตูกวันมักจะไม่มีความรู้สึกถึงการดำรงอยู่ แต่เมื่อถึงเวลาใช้งานเขาคือเครื่องมือที่สำคัญ
ส่วนหนิงซิว เขาดูเหมือนชาวยุทธภพธรรมดาทั่วไป แต่ฟู่จินรู้ว่าอาจารย์ของอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือที่ไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นองค์หญิงใหญ่คงไม่ขอร้องให้ช่วยชีวิตหยางชูหรอก
สุดท้าย…สายตาของเขาหันไปมองหมิงเวย
คนผู้นี้ดูเหมือนมีที่มาที่ธรรมดา แต่กลับเป็นตัวละครที่ลึกลับที่สุด
“คุณชายรู้เรื่องทุกอย่างหรือยัง” ฟู่จินเปิดประเด็น
หมิงเวยพยักหน้า “เขารู้เบาะแสทั้งหมดแล้ว แต่เป็นเพียงแค่ข้อสรุปเท่านั้น สุดท้ายก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของพวกเรา แต่อาจารย์ฟู่เป็นคนเดียวที่รู้คำตอบจริงๆ ดังนั้นเราจึงเชิญอาจารย์ฟู่มาที่นี่ และหวังว่าท่านจะให้คำตอบที่แน่นอนแก่พวกเราได้เจ้าค่ะ”
หยางชูยังคงนิ่งเงียบ เขาคิดมาเยอะแยะมากมาย แต่เขาไม่มีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เขาไม่ใช่บุตรนอกสมรสของฮ่องเต้แล้วก็ไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของนายท่านสองตระกูลหยางด้วย
ฟู่จินจ้องมองไปที่หยางชูแล้วถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ถ้าเช่นนั้นคุณชายล่ะ ท่านพร้อมที่จะฟังคำตอบนี้หรือไม่” หยางชูเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย
“เชิญอาจารย์ชี้แจงมาได้เลย”
ฟู่จินยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นคุณชายจงฟังให้ดี เรื่องราวเหล่านี้ข้าจะไม่พูดซ้ำเป็นครั้งที่สอง”
…………
นี่ก็ดึกมากแล้วจี้ฮูหยินไม่รู้ว่าตนเองมองไปที่ประตูเรือนกี่รอบแล้ว
“ดึกดื่นเช่นนี้เหตุใดยังไม่กลับมาอีก เป็นสตรีตัวเล็กๆ ผู้หนึ่งแต่กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ยังไม่กลับไม่เข้าท่าเลย!”
เมื่อได้ยินนางบ่นจี้หลิงซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องโถงไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นมอง “ท่านแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องนางหรอกนางไม่ใช่คนธรรมดา”
“แต่อย่างไรนางก็เป็นคนในครอบครัวจะให้ไม่ห่วงได้อย่างไรเล่า” จี้ฮูหยินเย็บแขนเสื้อนางมัดปมแล้วเอามาเทียบ “ไม่ง่ายเลยที่เสียวอู่จะได้เข้าเสวียนตูกวัน เพราะมีคนจัดการให้ ส่วนเรือนเรามีคนไม่กลับมาตอนกลางคืนเพิ่มอีกคน แม่ไม่สบายใจจริงๆ”
หลังจากที่จี้หลิงทบทวนบทเรียนเสร็จเขาก็ปิดหนังสือแล้วมองแขนเสื้อที่อยู่ในมือของจี้ฮูหยิน หลังจากที่จี้หลิงทบทวน “ท่านแม่ มันไม่เล็กไปหรือขอรับ”
จี้ฮูหยินเหล่มองเขา “แม่ไม่ได้ทำให้ลูก ในเรือนนี้ไม่ได้มีแค่ลูกผู้เดียวที่เรียนหนังสือเสียหน่อย”
อ้อ ที่แท้ก็ทำให้น้องหญิงนี่เอง