คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 309 จำไว้
ไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่หยางชูเกลียดชังความไร้ความสามารถของตนเองเท่าตอนนี้
เมื่อรู้ว่ามารดากำลังทุกข์ทรมาน แต่เขาไม่สามารถช่วยนางให้พ้นจากทะเลแห่งความทุกข์นี้ได้แล้วยังทำให้นางทำร้ายตัวเองเพื่อช่วยเขาด้วย!
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาไร้ความสามารถเกินไป!
“ขอโทษขอรับ…” เขาพึมพำ
เผยกุ้ยเฟยหัวเราะเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เด็กโง่ เจ้าโตเพียงนี้แล้วคิดอยากจะต่อสู้กับเจ้าแผ่นดินหรือ อย่าโทษตัวเองเลย แม้แต่สัตว์ร้ายยังรู้วิธีปกป้องลูก เมื่อลูกยังเล็กการที่แม่ปกป้องลูกก็เป็นเรื่องสมควรแล้วรอให้เจ้าเติบใหญ่มีความสามารถค่อยมาปกป้องแม่”
นางชะงักแล้วพูดว่า “หลังจากรอมานานหลายปีในที่สุดเจ้าก็เติบโตขึ้น แม่เองก็มีความหวัง ตอนนี้สำหรับพวกเราแม่ลูกแล้วเป็นช่วงเวลาสำคัญเจ้าต้องทำจิตใจให้สงบ อย่าปล่อยให้ความเกลียดชังมาทำลายสติปัญญาของเจ้า แต่จำไว้ว่าชีวิตของเจ้ามีค่าไม่ใช่เพื่อการแก้แค้น”
หยางชูพยักหน้าอย่างจริงจังจดจำทุกคำพูดของเผยกุ้ยเฟยอย่างระมัดระวัง
“ถึงแม้เจ้าจะจากไป แต่สิ่งที่เจ้ากำลังวิ่งไปหาคือความหวังของพวกเราสองแม่ลูก การอยู่ที่เมืองหลวงทำให้พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ชีวิตของเราจะอยู่ในมือของผู้อื่นเสมอ และเราทำได้เพียงรออย่างเฉยเมย
การจากไปเท่านั้นที่จะทำให้เจ้าสามารถกำหนดชะตากรรมของตัวเองได้ว่าจะอยู่หรือตาย จะขึ้นหรือลงล้วนอยู่ที่เจ้าเป็นคนเลือก ย่าของเจ้าสอนทักษะมากมายให้กับเจ้า และตอนนี้เจ้าก็มีพื้นที่ได้แสดงความสามารถแล้ว ไม่ต้องรีบกลับมา อย่าลงมือทำอะไรโดยที่ไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อน รอให้เจ้ามั่นใจค่อยกลับมาหาแม่”
เผยกุ้ยเฟยกล่าวโดยไม่มีความโศกเศร้าบนใบหน้างามมีเพียงแต่ความนิ่งสงบเท่านั้น หมิงเวยเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าทำไมนางถึงสามารถครองวังหลังได้เป็นเวลาสิบแปดปี
ไม่เพียงแค่ความงาม แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือสติปัญญา
นางนึกถึงชาติก่อนเกิดอะไรขึ้นกับเผยกุ้ยเฟยกันแน่
นางจำได้ว่าเหวินตี้ต้องการฝังร่างร่วมกับเผยกุ้ยเฟย แต่ก็ไม่สำเร็จ
ดูเหมือนว่าหยางชูในชาติก่อนคงไม่รอฟู่จิน และได้หนีจากการตามล่าไปได้ไกลแล้ว
เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก ทุ่มเทกับวิชากระบี่ ในไม่ช้าคงกลายเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งได้
ในเวลานั้นเขาจะยอมให้มารดาของตนคอยปรนนิบัติฮ่องเต้ได้อย่างไร
พูดถึงประวัติศาสตร์หลังการสิ้นพระชนม์ของเหวินตี้ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเผยกุ้ยเฟยอีกต่อไป นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหยางชูจะพามารดาไป
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ความคิดของหมิงเวยก็เปลี่ยนไป
วิชากระบี่ ปรมาจารย์อันดับหนึ่ง…หรือว่า…
เผยกุ้ยเฟยเตือนบางเรื่องอย่างระมัดระวังเมื่อเห็นเวลาที่ล่วงเลยผ่านไป เสวียนเฟยอดไม่ได้ที่จะเตือนพวกเขา
“ท่านทั้งสองมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว”
เผยกุ้ยเฟยถอนหายใจนางหยิบแหวนหยกออกมาจากอ้อมแขนของตนแล้ววางบนฝ่ามือของเขา “ตอนที่แม่ท้องเจ้ามักจะตื่นจากฝันตอนกลางคืน บิดาของเจ้าจึงขอให้ฮ่องเต้ไท่จู่ประทานสิ่งนี้เพื่อกลบรัศมีมังกรที่แท้จริง พวกเราเคยปรึกษาเรื่องชื่อของเจ้าต่อมาก็สลักชื่อไว้บนสิ่งนี้ น่าเสียดายตอนที่จากเจ้าไปเจ้ายังเด็กมากจึงไม่กล้าทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้ ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถส่งมอบให้กับเจ้าได้แล้ว”
หยางชูรับแหวนหยกมาเขาใช้นิ้วถูเบาๆ ตรงปุ่มที่ซ่อนอยู่ตามที่เผยกุ้ยเฟยบอกจนได้พบคำนั้น
เหยี่ยน
นั่นคือนามที่แท้จริงของเขา เจียงเหยี่ยน
ชูคือตาย เหยี่ยนคือเกิดเป็นอย่างนี้นี่เอง…
เสียงของชุยชุ่นดังมาจากด้านนอก “เหนียงเหนียง ร่ายกายของท่านยังไม่หายดี ท่านต้องถนอมตนเองรีบเสด็จกลับกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เผยกุ้ยเฟยพูดขึ้นว่า “เปิ่นกงรู้แล้วอีกสักพักจะออกไป”
นางลุกขึ้นยืนกระชับเสื้อคลุมให้แน่นจากนั้นมองดูบุตรชายซึ่งสูงกว่านางแล้ว “จำคำพูดของแม่เมื่อครู่ให้ดี หากไม่มั่นใจมากพอก็ไม่ต้องกลับมาเมืองหลวง! ”
รอจนกระทั่งหยางชูพยักหน้านางถึงได้ยิ้มออกมา จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ต่อหน้าหมิงเวยแล้วโค้งกายให้
“เหนียงเหนียง!” หมิงเวยไม่กล้ารับความเคารพจากนางจึงรีบประคองเผยกุ้ยเฟย
เผยกุ้ยเฟยจับมืออีกฝ่ายแล้วพูดเสียงกระซิบ “ที่นี่ไม่มีเหนียงเหนียง มีแต่มารดาที่ไม่สามารถอยู่กับบุตรชายได้ ในฐานะมารดาเผยหรงขอร้องแม่นาง หากเป็นไปได้ละก็ช่วยเขา…”
หมิงเวยจะปฏิเสธได้อย่างไร นางทำได้เพียงพยักหน้าและตอบกลับด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า “ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เขาได้สมปรารถนา”
เผยกุ้ยเฟยยิ้มอย่างพอใจ “เจ้าช่างมีน้ำใจ ในอนาคตต้องตอบแทนเจ้าแน่”
พูดจบนางก็หันหลังและเดินไปที่ประตู
หยางชูถือแหวนหยกที่ยังคงหลงเหลืออุณหภูมิจากร่างกายของนางอยู่ เขาเฝ้าดูเผยกุ้ยเฟยก้าวต่อไปและห่างจากเขามากขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็ยกขาขึ้นแล้วรีบวิ่งเข้าไปกอดนางพร้อมเสียงเบาปนสะอื้นซึ่งดังก้องอยู่ในหูของเผยกุ้ยเฟย “ท่านแม่…”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกท่านแม่ไม่ใช่ท่านน้า แต่เป็นท่านแม่
เผยกุ้ยเฟยจับไหล่หนาของเขาแน่นแล้วร้องไห้ออกมาอีกครั้ง หลังปล่อยให้ตนร้องไห้อยู่พักหนึ่ง นางก็ผลักหยางชูออกไปและเช็ดน้ำตาบนใบหน้า
“กลับไปเถอะ อนาคตเจ้ายังมีโอกาสได้เรียกแม่อีก” พูดจบนางก็หันหลังกลับอย่างแน่วแน่และไม่มองหยางชูอีกต่อไป
ประตูเปิดออกเผยกุ้ยเฟยค่อยๆ เดินออกจากห้องสวดมนต์ ทั้งสามคนซ่อนตัวอยู่หลังประตู และได้ยินเสียงของนางดังขึ้นว่า
“เคลื่อนขบวนกลับวัง!”
…………
ระหว่างทางกลับหยางชูยังคงนิ่งเงียบ หมิงเวยจับมือเขาอย่างเงียบๆ และคลายกำปั้นของเขาช้าๆ
เขากำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดออกมา
เมื่อถูกนางลูบไล้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายลงสีหน้าของเขายังอยู่ในภวังค์แสดงให้เห็นถึงความเหนื่อยล้า
เมื่อกลับไปถึงเสวียนตูกวัน เสวียนเฟยเปิดประตูทางออกลับ และกำลังจะปีนออกไป แต่ก็ได้ยินเสียงหมิงเวยพูดขึ้นว่า “ท่านราชครู!”
เสวียนเฟยหันกลับมามองนางอย่างระมัดระวัง
หมิงเวยยิ้มหวาน “พวกเราจะขึ้นไปทีหลังท่านช่วยเฝ้าสักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
เสวียนเฟยเงียบเป็นเวลานานและพูดขึ้นว่า “นี่เป็นพื้นที่ต้องห้ามของเสวียนตูกวัน พวกท่านอย่าได้ทำอะไรแปลกๆ!”
“ท่านราชครูพูดอะไรกัน ข้าดูเป็นคนเช่นนั้นหรือ วางใจเถอะเจ้าค่ะ!”
เสวียนเฟยไม่ไว้วางใจเลยสักนิด! แต่หากไม่ตอบรับละก็ผู้ใดจะรู้ล่ะว่านางจะทำอะไรแปลกๆ หรือไม่!
ดังนั้นเขาจึงพ่นลมหายใจแล้วคลานออกไป ประตูลับถูกปิดมีเพียงแสงจากคบเพลิงในทางเดินลับ หยางชูปล่อยให้นางลากเขาไปอย่างเชื่อฟัง
“ท่านมานี่เถอะ” หมิงเวยกดเขาลงให้นอนลงบนตักของนาง “หลับตาซะ ไม่ต้องคิดอะไร ทำตามใจตัวเอง อยากร้องก็ร้องออกมา อยากหัวเราะก็หัวเราะออกมาเถอะเจ้าค่ะ”
หยางชูนอนลงเอนศีรษะลงบนตักของนาง จมูกได้กลิ่นยาสมุนไพรจากนางและจิตใจที่วุ่นวายของเขาก็ค่อยๆ สงบลง
เขาหลับตาลงอย่างผ่อนคลายและร้องไห้ออกมาเงียบๆ เปลี่ยนความเจ็บปวดและความเสียใจให้เป็นน้ำตา
และเมื่อน้ำตาหมดไปเขาจะไม่เป็นเด็กแสนหยิ่งทระนงเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว
…………
ด้านนอกทางลับทั้งสามคนเห็นเสวียนเฟยออกมาเพียงลำพังจึงเดินไปล้อมเขาไว้
“คุณชายของพวกเราล่ะ”
“เหตุใดท่านถึงปิดประตูทางออก”
“ท่านคิดจะขังคุณชายไว้ในนั้นหรือ!”
“แล้วคุณหนูของข้าน้อยล่ะเจ้าคะ ท่านทำอะไรนาง”
อาหว่านและตัวฝูแย่งกันพูดเสวียนเฟยที่ถูกพวกนางยิงคำถามจนปวดหัวก็ทนไม่ไหวตะโกนใส่พวกนางไปว่า “พวกเจ้ามีสมองหน่อยต่อให้ข้าทำอะไรจริงๆ ก็เอาชนะพวกเขาไม่ได้หรอก!”
ตัวฝูครุ่นคิด “จริงด้วย คุณหนูเก่งกาจมากจริงๆ”
อาหว่านพึมพำ “ที่พูดมาก็ถูกด้วยทักษะของคุณชายแค่เก็บกวาดมันง่ายมาก”
จากนั้นพวกนางก็แยกย้ายกันไป
เสวียนเฟย “….”
เขาที่เป็นเจ้าสำนักเสวียนตูกวันอย่างสง่างาม เป็นราชครูของแผ่นดินต้าฉี นี่เขาต้องลดระดับตัวเองเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่นจริงหรือนี่