คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 319 อยากรู้อยากเห็น
อาสวนและหนิงซิวเดินทางเข้าเมืองทำให้มีข่าวว่าคุณชายสามตระกูลหยางที่มาจากเมืองหลวงกำลังหาซื้อวัสดุก่อสร้าง และกำลังหาแรงงานถูกแพร่กระจายออกไป
หนิงซิวเป็นชาวยุทธภพ เขาไม่มีเงินมากมายเงินทองจึงไม่เคยอยู่ในสายตาของเขา
จากความสามารถของเขาแล้วยามเงินไม่พอ เขาสามารถหาคนโง่ที่ตามคนอื่นไม่ทันสักคนก็ได้รับการต้อนรับด้วยสุราอาหารเป็นอย่างดีอีกทั้งยังได้รับเงินก้อนใหญ่สำหรับการเดินทางอีกด้วย
หมิงเวยในชาติก่อนก็เป็นเช่นนั้น แต่นางไม่ต้องการทำในชีวิตนี้
เพราะนางไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน แค่เขียนประกาศไม่กี่แผ่นแล้วนำไปติดในเมือง โดยระบุชัดเจนว่าไม่เพียงแต่ได้ในราคาที่สูง แต่คนกลางที่นำกองคาราวานมาแนะนำก็จะได้รับค่าตอบแทนด้วย
และข้อสุดท้ายที่เพิ่มเข้ามาเพราะที่เกาถางนอกจากสนามเลี้ยงม้าแล้วไม่มีสิ่งใดคู่ควรกับการมาของกองคาราวานแล้ว พวกเขาจึงต้องกระจายข่าวก่อนเพื่อดึงดูดพ่อค้าให้สนใจได้
เมื่อได้รับข่าวนายอำเภอเฝิงอี้กำลังนั่งฟังเพลงอยู่ที่สวนหลังจวน
เจ้าหน้าที่เข้ามารายงานเขา เฝิงอี้ยิ้ม “คุณชายจากเมืองหลวงนี่ร่ำรวยเสียจริง!”
แขกของเขาซึ่งเป็นนักกวีผู้สง่างามวัยกลางคนถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายจากเมืองหลวงงั้นหรือ ไม่ทราบว่าคุณชายหยางผู้นั้นมีที่มาอย่างไรหรือ”
เฝิงอี้ตอบ “เขาเป็นคุณชายสามจากตระกูลโป๋วหลิงโหว องค์หญิงหมิงเฉิงเป็นย่าของเขา มีสายเลือดของราชวงศ์ว่ากันว่าชีวิตในเมืองหลวงนั้นสวยงามมาก เผยกุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานในวังหลังเป็นน้าของเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทยังต้องเห็นแก่หน้าเขามากกว่าองค์ชายเสียอีก”
นักกวีวัยกลางคนสงสัย “คนเช่นนั้นเหตุใดถึงมาอยู่ในเมืองเล็กๆ ในซีเป่ยอย่างเกาถางด้วยดูไม่เป็นธรรมเท่าไรนัก”
“ได้ยินว่าเขาพังงานเทศกาลชิวเลี่ยที่จัดขึ้นในรอบสิบปี อีกทั้งยังทะเลาะกับองค์ชายสามฝ่าบาทจึงเนรเทศเขาออกจากเมืองหลวง” เฝิงอี้ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ “เขามีท่านน้าผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นคงอยู่ที่นี่ได้ไม่นานหรอก”
“แต่เขายังคิดจะสร้างเรือนอีกหรือ”
เฝิงอี้หัวเราะ “คุณชายผู้สูงศักดิ์จะมาลำบากได้อย่างไรไม่ง่ายเลยที่จะอยู่รอดจนถึงตอนนี้ ฤดูหนาวที่แล้วหิมะตกหนักมากเรือนที่สนามเลี้ยงม้าก็ทรุดโทรม ได้ยินมาว่าเขาพาคนมาสร้างเรือนใหม่จัดการสนามเลี้ยงม้าใหม่อีกครั้งดูเป็นผลงานที่ไม่เลวเลยทีเดียว”
ปากพูดเช่นนั้น แต่น้ำเสียงของเขาไม่เห็นด้วย
ตามความเห็นของเขาคุณชายผู้สูงศักดิ์เช่นนั้นคงมามั่วไปวันๆ แค่พอเอาตัวรอด สร้างเรือน จัดการสนามเลี้ยงม้าล้วนเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว สำหรับเขาแล้วคุณชายผู้นั้นก็คงต้องการคุยโวโอ้อ้วดเพียงเท่านั้น
เขาไม่มีอะไรจะพูดอย่างไรเสียขุนนางเหล่านี้ไม่ได้เดินบนเส้นทางเดียวกับเขา เขาเพียงต้องการดูแลหน้าที่ของตนให้ดีเมื่อถึงเวลาได้รับการเลื่อนขั้นก็จะจากไป
นักกวีวัยกลางคนพยักหน้า “ก็จริง” แล้วทั้งสองก็ดื่มด้วยกันต่อ
……….
เมื่อดื่มเสร็จนายอำเภอก็กลับไปพักผ่อนส่วนนักกวีวัยกลางคนก็เดินทางออกจากที่ว่าการอำเภอไปเดินเล่นในเมือง
เกาถางเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรมากกว่าหมื่นคน ในตัวเมืองจึงมีขนาดใหญ่เล็กน้อย ถนนสายยาวจากทางทิศใต้ของเมืองสู่ทิศเหนือสรุปได้ว่าเป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุด
นักกวีวัยกลางคนเดินไปที่หน้าป้ายประกาศเห็นประกาศจากไร่ม้าที่มีการประทับตราใหญ่ของเจ้าหน้าที่ดูแลสนามเลี้ยงม้าไว้
ประชาชนรายล้อมหน้าป้ายประกาศมีผู้มาใหม่ถามว่า “นั่นเขียนอะไรน่ะ ไม่ใช่ว่าต้องจ่ายภาษีหรอกนะ”
“ไม่ใช่เป็นข่าวดี” บุรุษที่พอรู้หนังสือพูดขึ้น
“ยังมีประกาศเรื่องดีๆ อยู่หรือ นายท่านช่วยบอกหน่อยเถิดว่าในประกาศเขียนว่าอะไร”
เมื่อได้ยินคำขอของผู้อื่นบุรุษผู้นั้นรู้สึกภาคภูมิใจเขาก็ส่ายหัวและพูดว่า
“เจ้าหน้าที่ดูแลสนามเลี้ยงม้าเกาถางต้องการซื้อสินค้าในราคาสูง ต้องการวัสดุหิน ไม้ ดินเหนียว อิฐ…”
ตอนแรกมีแค่วัสดุก่อสร้างทั้งหมด แต่ภายหลังมีผ้า เครื่องใช้ในครัว หรือแม้แต่วัตถุดิบทำอาหาร ในประกาศระบุชัดเจนว่าราคาต่ำสูงกว่าราคาตลาดสามส่วน หากมีราคาสินค้าหายากสามารถต่อรองได้ไม่ต้องกลัวมีสินค้ามากเกินไปมีเท่าไรเอาเท่านั้น
ผู้มาใหม่ตกใจมาก “นั่นไม่ใช่ทั้งหมดหรือ ผักที่บ้านข้าปลูก ไก่ที่เลี้ยงก็เอาด้วยหรือไม่”
ยังไม่ทันที่บุรุษผู้นั้นจะตอบเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งออกมาจากประตูเมือง และหัวเราะเสียงดัง “ท่านพ่อ รีบเอาเหยื่อล่าสัตว์ของพวกเราขนไปให้หมด พวกเขารับทุกอย่าง! สูงกว่าราคาตลาดสามส่วน!”
ประโยคเดียวทำให้ทุกคนฉุกคิดขึ้นมาได้หลายคนเข้าล้อมรอบพวกเขา “จริงหรือ แม้แต่เหยื่อล่าสัตว์ก็รับราคาสูงกว่าราคาตลาดสามส่วนจริงหรือ”
“จริง! เจ้าหน้าที่ท่านนั้นบอกว่าคุณชายชอบทานมีเท่าไรเอาเท่านั้น!”
ซีเป่ยไม่เจริญเท่าเมืองตอนกลางจึงมีแหล่งทำเงินไม่กี่แห่งเมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนก็รุมไปที่ประตูเมือง
ผู้คนที่นำผักที่ตนเองปลูก และสัตว์ปีกที่เลี้ยงไว้มาขายในเมืองต่างนำสินค้ามากมายของตนเองมามอบให้ต่อหน้าอาสวน พวกเขาต่างแย่งกันถามอาสวนจึงลากบ่าวรับใช้มาตอบ
“รับ ตราบใดที่เป็นสินค้าดี รับหมด! แต่พวกเราพาคนมาไม่มากพวกเจ้านำไปส่งที่สนามเลี้ยงม้าเถอะพวกเราจะจ่ายค่าเดินทางให้!”
ผู้คนต่างดีใจมากเนื่องจากตัวเมืองอยู่ไกลจากสนามเลี้ยงม้าที่พวกเขากลัวคือระยะทางหรือ แน่นอนว่าไม่ใช่ อย่างไรเดินทางไปก็ได้รับเงินอยู่แล้ว!
ดังนั้นชาวเขาส่วนใหญ่ที่มาขายสินค้าในเมืองจึงนำของใส่ตะกร้ามุ่งหน้าไปยังสนามเลี้ยงม้าแทบจะทันที
ในชั่วพริบตาถนนสายยาวที่ไม่มีวันสิ้นสุดจึงเหลือร้านค้าขายของไม่กี่แห่ง
นักกวีวัยกลางคนเลิกคิ้วสายตาของเขาจับจ้องไปยังบุรุษที่แบกกู่ฉินข้างกาย เขาได้กลิ่นอายความไม่ธรรมดาคนผู้นี้เป็นเสวียนชื่อ…
คุณชายท่านนั้นมีฐานะสูงศักดิ์มีเสวียนชื่ออยู่ข้างกายไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงว่าพวกเขาร่ำรวย
เป็นแพะอ้วน[1]!
นักกวีวัยกลางคนยืนอยู่ข้างเขาครู่หนึ่งก็เห็นว่าอาสวนพูดออกไปว่าจะจ่ายราคาสินค้าหลายร้อยตำลึง ยังมีผู้ช่วยร้านค้าเข้ามาถามไถ่ว่าถ้าหากแนะนำพ่อค้าคาราวานมาได้จะได้ค่าแนะนำเท่าไร
อาสวนสะบัดพัดพลางตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “ต้องดูจากสินค้าที่ท่านแนะนำมาว่ามีเท่าไร น้อยสุดสินค้าราคาหนึ่งพันตำลึงขึ้นไป หนึ่งพันได้หนึ่งตำลึง สูงสุดหนึ่งร้อยตำลึง” ผู้ช่วยคนนั้นดีใจมาก
ค่าจ้างของเขาหนึ่งเดือนแค่ไม่กี่เหรียญหากเขาประสบความสำเร็จในงานเล็กๆ นี้ เงินที่ได้สูงกว่าค่าจ้างของตนที่ได้รับมากนัก
นักกวีวัยกลางคนเฝ้าดูอยู่ตลอดทั้งบ่าย หนิงซิวรู้สึกถึงการถูกจ้องพอเขาหันไปมองอีกฝ่ายก็ยิ้มกว้างกลับมาให้ และแสดงความเคารพจากที่ไกลราวกับคนว่างที่มาดูความคึกคัก
ในตอนเย็นเขากลับไปที่ว่าการอำเภอ รอจนนายอำเภอเฝิงอี้ว่าราชการเสร็จ อีกฝ่ายก็กลับมาคุยกับเขาอีกครั้ง
“ได้ยินมาว่าท่านไปดูความตื่นเต้นที่ถนนมา”
นักกวีวัยกลางคนยิ้ม “คนไม่มีอะไรทำอย่างข้าว่างนักก็เลยออกไปดูสักหน่อย คุณชายผู้นั้นร่ำรวยจริงๆ เงื่อนไขแต่ละรายการ…” เขาถามด้วยความสงสัย “ใช้เงินเหมือนน้ำเช่นนี้เขารับผิดชอบไหวหรือ”
เฝิงอี้ตอบ “เรื่องนี้สำหรับตระกูลชั้นสูงแล้วไม่เท่าไรหรอก คุณชายหยางผู้นั้นเป็นบุตรคนเดียวของนายท่านรองจากตระกูลโป๋วหลิงโหว องค์หญิงใหญ่ และโป๋วหลิงโหวไม่รู้ว่าเหลือทรัพย์สินเท่าไรไว้ให้เขา ขนาดอยู่เมืองหลวงผลาญเงินเหมือนผลาญดินแล้วเมืองเล็กๆ ของพวกเราในซีเป่ยล่ะ ถ้าจะซื้อทั้งเมืองคงไม่ต้องใช้เงินมากมายเท่าไร”
นักกวีวัยกลางคนกล่าวชมเชย “ข้าน้อยโง่เขลาเบาปัญญาจริงๆ ไม่เคยเห็นชนชั้นสูงจากเมืองหลวงมาก่อน”
เฝิงอี้ยิ้ม “มันก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรหรอกแม้ว่าพวกเขาจะร่ำรวยมั่งคั่ง แต่คงไม่มั่นคงไปตลอดชีวิต คุณชายหยางผู้นั้นชาติกำเนิดของเขายังเป็นความลับผู้ใดจะรู้ว่าอนาคตเขาอาจไม่ตายดีก็เป็นได้” นักกวีวัยกลางคนสงสัยมากจึงถามต่ออีก
…………..
[1] แพะอ้วน สื่อถึงผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาล