คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 330 ญาติพี่น้อง
หยางชูรู้สึกกระตือรือร้นกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ในการกำจัดพวกโจร
ก่อนอื่นพวกเขาไม่สามารถบุกเข้าไปจัดการโดยตรงได้ โจรเหล่านี้ฉลาด ทันทีที่กองทหารมาถึงพวกเขาก็จะเข้าไปในภูเขา และแบ่งกลุ่มกระจัดกระจายเพื่อซุ่มยิงลับหลัง กองทัพซีเป่ยถึงได้ไม่ประสบความสำเร็จในการปราบปรามพวกเขาหลายครั้ง คราวนี้พวกเขาจัดการพวกโจรได้สำเร็จเพราะพวกเขาไม่โง่ที่จะไปหาพวกมันถึงหน้าประตู หากเป็นเหมือนกองทัพซีเป่ยเข้าไปในภูเขาเพื่อปราบโจร ผลที่ได้จะยิ่งแย่ลงเพราะมีจำนวนคนที่น้อยลง
หยางชูคิดถ้าเช่นนั้นพวกเขาควรทำตัวเป็นโจรแล้วโจมตีจากภายในไม่ดีกว่าหรือ
อืม…เอาตามนี้เนี่ยแหละ!
………….
เงาโดดเดี่ยวใต้แสงจันทร์เสียงกู่ฉินดังขึ้นแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความเหงา ช่างทำให้ผู้ฟังรู้สึกเศร้าใจผู้พบเห็นน้ำตาคลอ
ทันใดนั้นก็มีเสียงขลุ่ยดังขึ้นราวกับห่านป่าที่บินข้ามผืนน้ำกระพือปีกรอบสายน้ำในสระใสทำให้บรรยากาศไปในทิศทางที่มีชีวิตชีวาขึ้น หลายครั้งที่ไม่สามารถดึงเสียงกู่ฉินกลับมาได้ นิ้วดีดหนึ่งครั้งเสียงก็ก้องไปไกล จากนั้นก็หยุดลง
หลังจากนั้นไม่นานเสียงขลุ่ยก็หยุดตามหมิงเวยกระโดดขึ้นไปบนหลังคา มองหนิงซิวที่นั่งบรรเลงกู่ฉินอยู่
“อาจารย์อารมณ์ไม่ดีหรือเจ้าคะ” หนิงซิวนั่งปรับสายไม่พูดอะไร หากนางไม่เป่าขลุ่ยรบกวนเขาจะอารมณ์ดีมาก!
หมิงเวยพูด “อาจารย์โกรธข้าจริงๆ ด้วย!”
หนิงซิวเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองนางอย่างเย็นชา “รู้อยู่แล้วจะถามทำไมกัน”
หมิงเวยยิ้มบางๆ “ข้าคิดว่าอาจารย์ไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนเสียอีก”
“หึ!” ครั้งนี้เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองนาง
หมิงเวยนั่งลงที่อีกฝั่งหนึ่งแล้วพูดว่า “อาจารย์ไม่คิดบ้างหรือว่าการชี้สถานการณ์ให้เขาจะเป็นการดีกว่า” มือที่กำลังปรับสายของหนิงซิวชะงัก
“ท่านก็เห็นว่าหลายวันมานี้เขายิ้มได้มากขึ้น แต่ท่านไม่คิดหรือว่ารอยยิ้มของเขามีอะไรมากกว่าเมื่อก่อน” กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหยางชูโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกทั้งเขายังเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก
พอมาลองคิดดูเมื่อรู้ว่ามารดาของตนอดทนกับความอัปยศเพื่อให้เขาเป็นอิสระจนถึงตอนนี้ก็ยังเอาตนเองผูกมัดกับผู้อื่น ในฐานะมนุษย์นางจะทนได้แค่ไหนกันคำพูดเหล่านี้ถึงเขาไม่เอ่ยออกมาแต่ก็ยังติดอยู่ในใจ
หนิงซิวก้มหน้าไม่พูดอะไร
“ข้าไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้นเพราะความเกลียดชัง แทนที่จะทำเช่นนั้นสู้ให้เขาไม่ต้องคิดอะไร และก้าวไปข้างหน้าทีละขั้นไม่ดีกว่าหรือ เขาต้องการกำจัดโจรก็ให้เขาไป บนเขาเหยียนซานมีโจรมากมายให้เขาวุ่นวายสักปีสองปี เมื่อถึงเวลานั้นกระแสประวัติศาสตร์จะค่อยๆ มา เขาทำได้เพียงจดจ่อกับมันเท่านั้น และอุปสรรคนี้จะผ่านไปโดยธรรมชาติเจ้าค่ะ”
ในที่สุดหนิงซิวก็เงยหน้าขึ้นมองนางตรงๆ “เขาได้เดินไปในเส้นทางนี้แล้ว เจ้าไม่คิดจะอธิบายให้ข้าฟังเลยหรือ”
“แต่อาจารย์ดูไม่มีความสุข…” หมิงเวยพูดเสียงนุ่ม “ถึงแม้เขาไม่พูด แต่ข้ารู้ว่าตอนนี้เขามองท่านเป็นเสมือนญาติเพียงคนเดียวของเขาหากท่านไม่มีความสุข เขาก็ไม่มีความสุขเช่นกันเจ้าค่ะ” ญาติเพียงคนเดียว คำๆ นี้ทำให้อารมณ์ของหนิงซิวดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
หมิงเวยพูดต่อว่า “ท่านเองก็ทราบดีว่าเขารู้สึกเหงา และสับสนในใจอยู่เสมอเพราะกลัวว่าตนเองจะถูกทอดทิ้ง เขาไร้บิดามารดาตั้งแต่เด็ก สูญเสียปู่ย่าตั้งแต่ยังเยาว์ ดูเหมือนคนที่รักเขาทิ้งเขาไปทีละคน ในช่วงเวลาที่เหงาที่สุดท่านได้เดินทางมาหาเขาที่เมืองหลวงไม่ว่าเขาจะเย็นชากับท่านแค่ไหน ท่านก็คิดทำเพื่อเขาปกป้องเขาจริงๆ จนตอนที่เขาเรียกท่านว่าศิษย์พี่ด้วยความเต็มใจ มองท่านเสมือนว่าท่านเป็นญาติที่แท้จริง แม้แต่อาหว่านเขายังไม่ต้องการให้นางไม่มีความสุขนับประสาอะไรกับท่านเล่าเจ้าคะ” หนิงซิวกดสายค้างไว้ครู่ใหญ่ด้วยความตกใจ
ผ่านไปนานเขาเอ่ยขึ้นว่า “ข้างกายเขามีเจ้าคอยปกป้องอยู่แล้ว ขอเพียงแค่เขาปลอดภัยข้าก็จะจากไป”
หมิงเวยทั้งประหลาดใจและเสียใจ “อาจารย์จะไปจากที่นี่หรือเจ้าคะ เดิมทีข้าคิดว่ามีท่านอยู่ข้างกายเขา ข้าสามารถวางใจ และไปจัดการเรื่องของตนเองได้”
หนิงซิวเลิกคิ้วเขามองนางแล้วถามเสียงต่ำ “หมายความว่าอย่างไรเจ้าจะไปจากที่นี่หรือ”
หมิงเวยยิ้ม “ไม่ใช่จากไปเจ้าค่ะ เพียงแต่มีเรื่องที่ต้องไปจัดการ”
“เรื่องอะไร”
หมิงเวยพยักพเยิดหน้าไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป “ไปดินแดนของพวกหูเหรินเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!”
“ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องไปเพื่อความแน่ใจดังนั้นข้าเลยจะไม่อยู่ที่นี่สักพัก ความสามารถของเขาข้าไม่กังวล แต่หากมีคนที่คิดร้ายกับเขาหากมีโจรลอบทำร้ายเขาลับหลัง…” หมิงเวยยิ้มอย่างจริงใจ “ข้าจึงหวังว่าท่านจะอยู่ข้างกายเขาเพื่อปกป้องเขาจากอันตรายเจ้าค่ะ”
ผ่านไปสักพักหนิงซิวค่อยพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ความปรารถนาสุดท้ายของอาจารย์ข้าต้องทำตามอยู่แล้ว”
หมิงเวยลูบอกตนเอง “ท่านพูดเช่นนี้ข้าก็สบายใจเจ้าค่ะ”
หนิงซิวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าไม่จำเป็นต้องมาพูดเรื่องนี้ ต้องการช่วยเขาหรือไม่ ช่วยเขาอย่างไร ข้ารู้ดีว่าต้องทำอย่างไร”
หมิงเวยฟังความเห็นจากเขาก็ตอบกลับทันทีว่า “ท่านพูดถูกข้าพูดมากไปแล้ว ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่างไม่รบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ”
นางกระโดดลงจากหลังคา และได้ยินอาหว่านพูดว่า “สองคนนั้นบ้าหรือเปล่า มาเล่นกู่ฉินเป่าขลุ่ยกลางดึกเช่นนี้ผู้ใดจะไปหลับลงกัน” หมิงเวยยิ้มมุมปาก
อืม…มองเป็นญาติน่ะเรื่องจริง แต่ญาติเพียงคนเดียวนี่…ไม่ใช่ว่าเหลืออยู่อีกหนึ่งคนหรอกหรือ
วันต่อมาหนิงซิวรู้สึกอารมณ์ดี เขาไม่พูดอะไรเลยสักนิดเมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็ออกไปตรวจสิ่งของที่ได้จากการโจมตีหมู่บ้านโจร
หมิงเวยออกมาเดินเล่น และเห็นโหวเหลียงกำลังปลอมตัว เขาสวมชุดฉางซานเป็นระเบียบเรียบร้อย โพกผ้าบนหัว เคราตัดแต่งมาอย่างดี เขากำลังเดินอยู่บนสนามพลางพูดคุยกับคนเลี้ยงสัตว์เป็นครั้งคราวอีกทั้งยังกล่าวทักทายเหล่าขุนศึก
เมื่อเห็นหมิงเวยเขาก็เดินเข้าไปทักทายด้วยท่าทางที่เป็นทางการของนักกวี
“แม่นางหมิง”
หมิงเวยยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ท่านดูอารมณ์ดีนะ!”
โหวเหลียงลูบเคราพลางตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ต้องขอบคุณในความกรุณาของคุณชายที่ทำให้ข้าได้มีช่วงเวลาที่ดีเช่นนี้ขอรับ”
อืม…ไม่แทนตนเองว่าข้าน้อยแล้ว ดูเหมือนเขาจะรู้จุดยืนของตนเองแล้วสินะ ก็ดีตราบใดที่เขาแสดงละครได้ดีงั้นก็ให้ค่าตอบแทนที่สมควรแก่เขาก็แล้วกัน
ถ้ายังหลอกตนเองต่อไปก็มีคุณธรรมสูงส่งเกินไปแล้วไม่แน่ว่าในหนังสือประวัติศาสตร์อาจมีชื่อของเขาอยู่ในนั้นด้วย หากนำเขาไปเปรียบเทียบกับจางเหลียง[1] หรือเฉินผิง[2] เขามีทักษะเพียงพอที่จะไปถึงจุดนั้นได้
หมิงเวยถาม “คุณชายกำลังวางแผนที่จะโจมตีโจรบนเขาเหยียนซาน ท่านไม่ไปช่วยเขาหรือ”
โหวเหลียงโบกมือ “ข้ากำลังคิดเรื่องนี้อยู่ หากยังคิดหาวิธีที่ดีไม่ได้ก็จะไม่ไปรบกวนคุณชาย รอให้มีแผนการที่ดีก่อนค่อยเข้าไปช่วยคุณชาย”
หมิงเวยกล่าวชมเชย “ท่านทำหน้าที่ได้ดีจริงๆ!”
“ไม่หรอกๆ”
โหวเหลียงหันมามองและถามอย่างไม่แน่ใจ “คุณชายถูกลดตำแหน่งและให้มาอยู่ที่นี่ แม่นางก็ติดตามมาไม่หนีห่างไปไหนช่างเป็นความรักที่ลึกซึ้งยิ่งนัก เหลือเพียงแค่แต่งงานคงงดงามกว่านี้…”
หมิงเวยยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นั่นเป็นคำถามที่ท่านควรถามหรือ ท่านเป็นนักโทษมีความผิดคิดว่าตนเองเป็นโหม่วซื่อ[3]จริงๆ หรืออย่างไร”
“…. ” สีหน้าของโหวเหลียงดูขมขื่นเขาเอ่ยขอโทษอยู่หลายครั้ง “ขออภัยด้วย ข้าน้อยพูดมากเกินไป”
คนผู้นี้จะเปลี่ยนหน้าเร็วยิ่งกว่าพลิกหนังสืออีกหรือ ก่อนหน้านี้ยังเรียกเขาให้ทำตัวเป็นกิ้งก่าหากต้องการทำเรื่องทุกอย่างได้ดี ตอนนี้พอถามในเรื่องที่ตนเองไม่พอใจก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
หมิงเวยยังคงยิ้ม “ในเมื่อท่านไม่มีอะไรแล้วท่านไปคุมงานเถอะใกล้ถึงเวลากำหนดก่อสร้างแล้ว”
“ขอรับ” โหวเหลียงจะพูดอะไรได้อีกเขาทำได้เพียงไปสร้างเรือนก็เท่านั้น
อืม…ต้องประพฤติตัวให้ดีและได้รับความไว้วางใจก่อน!
……………
[1] จางเหลียง : เสนาบดีของหลิวปัง
[2] เฉินผิง : ขุนนางที่ปรึกษาในสมัยซีฮั่น
[3] โหม่วซื่อ : คนที่มีการศึกษามีสติปัญญาดี แต่ไม่สามารถเป็นขุนนางได้ คนเหล่านี้มักจะทำงานให้กับนายในฐานะกุนซือหรือที่ปรึกษา โดยมีหน้าวางแผนและแก้ปัญหา หรือกระทั่งตายแทน