คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 337 เด็กหนุ่ม
“เจ้าทำอะไรน่ะ” คนผู้นั้นตกใจจากนั้นเขาก็โกรธจัด
ตัวฝูไม่ตอบได้ยินเสียงข้างนอกที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดว่าคุณหนูต้องรับมือกับคนจำนวนมากเพียงลำพังคงเป็นเรื่องยากมากนางจึงดึงโซ่เหล็กแรงๆ ดึงอยู่ไม่กี่ครั้งโซ่ก็หักลง เมื่ออีกฝ่ายพบว่าตนเองเป็นอิสระแล้วก็รู้สึกประหลาดใจจนลืมความโกรธ
“เจ้าแข็งแกร่งมาก!”
“ไปกันเถอะ!” ตัวฝูหันหลังและวิ่งไปที่ทางเข้าห้องใต้ดิน คนผู้นั้นไม่รอช้าและวิ่งตามนางไปทันที
ด้านนอกชาวเมืองที่ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มเพื่อไล่ล่าได้กลับมา และพวกเขาทั้งหมดก็เข้ามาช่วยล้อมไว้
“คุณหนู!” ตัวฝูตะโกนขึ้น คนข้างหลังนางอุทานขึ้น “เจ้าโง่หรืออย่างไร! พวกเราแอบ…” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบทางฝั่งชาวเมืองก็ได้พบพวกเขาแล้ว
ตัวฝูไม่ได้พูดอะไรนางคว้าตัวคนที่อยู่ข้างหลังแล้วขว้างใส่ฝูงชน
“เดี๋ยว! อา!” คนผู้นั้นตกใจจนลืมความโกรธ
เกิดอะไรขึ้นกับนางกัน มันคงเป็นการดีกว่าไม่ใช่หรือถ้าจะแอบหนีไปในขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อช่วยเขา แต่กลับโยนเขาออกไปเพื่อดึงดูดความสนใจ นางคิดได้อย่างไรคนจากตอนกลางเป็นเช่นนี้กันหมดเลยหรือ ชาวเมืองต่างตกตะลึงเมื่อเห็นคนที่ตัวฝูขว้างออกมา
เป็นผู้เฒ่าเถิงที่ตอบโต้และตะโกนว่า “นางพาคนออกมา! เร็วเข้าจับพวกเขาไว้!” ชาวเมืองทุกคนเคลื่อนไหวทันทีพวกเขาปล่อยหมิงเวย และรีบวิ่งไปหาเด็กคนนั้น
โอกาสที่หายวับไปอย่างรวดเร็วหมิงเวยกระโดดขึ้นวาดขาเตะ
“อา!” คนผู้นั้นรู้สึกเจ็บที่สะโพกแล้วเขาก็ลอยตัวขึ้นอีกครั้ง ตัวฝูวิ่งออกมาได้พักหนึ่งแล้ว แล้วตัวอีกฝ่ายก็ลอยมาทางนางพอดิบพอดี
ในช่วงเวลานั้นนางได้ถอดเสื้อนอกออกจากนั้นก็นำไปโอบรอบตัวอีกฝ่ายแล้วใช้แรงของตนพาคนผู้นี้ออกไปให้ไกล
เมื่อเท้าเหยียบพื้นคนผู้นั้นยังคงตกตะลึงและสับสนงุนงง
“เหม่ออะไรอยู่ไปเร็ว!” ตัวฝูดึงเสื้อตัวนอกกลับมา แต่จะกลับไปใส่ก็ไม่ทันจึงแขวนไว้บนไหล่จากนั้นก็วิ่งออกไป
“อ้อ!” เขาตอบรับแล้ววิ่งตามออกจากเมืองไป ภาพนั้นทำให้ชาวเมืองทุกคนตกตะลึง
จากนั้นพวกเขาก็ตะโกน “จับพวกเขาไว้!” ทั้งสองไม่สนใจสิ่งอื่นใดและวิ่งหนีออกไป ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดเสียงที่อยู่ข้างหลังก็ค่อยๆ จางหายไปและในที่สุดก็ไม่ได้ยิน
ทั้งสองคนหยุดวิ่ง ต่างคนต่างหายใจหอบเหนื่อย
“ปลอดภัยแล้วใช่หรือไม่” คนผู้นั้นถาม
ตัวฝูหายใจหอบแล้วหันกลับไปที่ทิศทางของเมือง “คิดว่านะ!”
คนผู้นั้นพึมพำเป็นภาษาหูจากนั้นนั่งบนก้อนหินแล้วถามนางว่า “หญิงสาวที่อยู่กับเจ้าล่ะ อ้อ เจ้าเรียกนางว่าคุณหนูใช่หรือไม่”
ตัวฝูปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก “เดี๋ยวคุณหนูก็หาวิธีออกมาได้”
“งั้นหรือ นางคงแข็งแกร่งมาก แปลกจริง…สตรีจากจงหยวนไม่ได้อ่อนแอหรอกหรือแล้วเหตุใดพวกเจ้าช่าง…” เขาครุ่นคิดอยู่นาน และนึกออกแค่คำเดียว “โหดร้าย”
ตัวฝูขี้เกียจสนใจเขานางจึงหาก้อนหินสะอาดๆ เพื่อนั่งพักหายใจ
ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงเกือกม้าก็ดังขึ้นในคืนอันเงียบสงบ ตัวฝูมองทิศทางของเสียงนั้นอย่างดีใจเป็นดังที่คาดไว้ไม่นานหมิงเวยก็ปรากฏตัวบนหลังม้า
“คุณหนู!”
หมิงเวยยิ้มแล้วลูบหัวนางจากนั้นนางก็ลงจากหลังม้า “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“อืม! พวกเราหนีออกมาได้ไม่ได้บาดเจ็บอะไรเจ้าค่ะ”
หมิงเวยโยนถุงน้ำให้นาง และจ้องไปที่คนที่ได้รับการช่วยเหลือ
เขาเป็นเด็กหนุ่มจากชนเผ่าอื่น ผมของเขาถักเป็นเปียหลายเส้น เสื้อผ้าที่เขาสวมขาดรุ่งริ่ง แต่ก็ยังเห็นว่าเป็นชุดของหูเหริน
“เจ้าเป็นคนหูเหรินงั้นหรือ”
เด็กหนุ่มได้ยินนางถามเช่นนั้นก็ระวังตัวทันที “พวกเจ้าคงไม่ได้แค้นอะไรคนหูเหรินใช่หรือไม่”
หมิงเวยหัวเราะ “ทำไม กลัวพวกข้าจะส่งเจ้ากลับไปหรือ”
เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะ “หากส่งข้ากลับไปพวกเจ้าก็หนีไปไม่รอดเช่นกัน”
เขาค่อนข้างฉลาด หมิงเวยสังเกตอีกฝ่ายอย่างละเอียด แต่น่าเสียดายที่แสงจันทร์สลัวเกินจึงมองเห็นได้ไม่ชัดนัก
“ภาษาจงหยวนของเจ้าดีมากไม่เหมือนคนที่เพิ่งเรียนรู้เลย!”
“แน่นอน!” เด็กหนุ่มดูท่าทางภูมิใจ “ข้าเรียนกับท่านยายตั้งแต่เด็ก”
“ยายของเจ้าเป็นคนจงหยวนหรือ”
เด็กหนุ่มไม่ตอบคำถามแต่กลับพูดว่า “อย่าคิดหลอกถามข้อมูลข้าเลย!”
พูดจบเขาก็มองไปที่ถุงน้ำที่ตัวฝูกำลังดื่มตาละห้อย และทนไม่ไหวที่จะร้องขอออกไปว่า “ขอดื่มสักสองจิบได้หรือไม่”
ตัวฝูเหลือบมองเขาอย่างระมัดระวัง และยื่นถุงน้ำให้หมิงเวย “เจ้าไม่ตอบคำถามของคุณหนูทำไมข้าต้องให้น้ำเจ้าด้วย”
เด็กหนุ่มอึกอัก เขาเกาหัว
ก็สมเหตุสมผลอยู่!
เขาคิดอยู่สักพัก “เจ้าเปลี่ยนคำถามได้หรือไม่”
“ได้” หมิงเวยหยิบแผ่นไม้เล็กๆ ออกมา “ของสิ่งนี้เป็นของเจ้าใช่หรือไม่”
ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายเขาแย่งแผ่นไม้มาด้วยความประหลาดใจ “ที่แท้พวกเจ้าเป็นคนค้นพบ อย่าเข้าใจผิดล่ะ! ข้ากำลังชี้ทางให้ผู้อื่นเห็น แต่กลับกลายเป็นพวกเจ้าที่ถูกชี้นำมา”
หมิงเวยพยักหน้าที่พูดมาก็สมเหตุสมผลคนที่ใช้เส้นทางเก่าบนเขาเหยียนซานมีน้อยมากทำไมถึงพบกองคาราวานของพวกเขาโดยบังเอิญ
“ในเมื่อเจ้าชี้ทางไว้ล่วงหน้าเจ้าตั้งใจมาที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้หรือ” เด็กหนุ่มกลอกตาไม่ตอบอะไร
หมิงเวยถามต่อว่า “เจ้ามาที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ทำไม เกิดอะไรขึ้นกับชาวเมืองพวกนั้นเห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากจงหยวนไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนหูเหรินอย่างเจ้าใช่หรือไม่” เด็กหนุ่มยังคงไม่ตอบ
หมิงเวยเก็บถุงน้ำ “ช่างเถอะ หาที่พักกันเถอะ”
“เดี๋ยว! ให้ข้าได้ดื่มน้ำหน่อยเถิด!” เด็กหนุ่มตะโกน “ข้าตอบคำถามไปหนึ่งข้อแล้วนะ!” หมิงเวยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เด็กหนุ่มเลียริมฝีปากที่แห้งผากเมื่อคิดถึงแหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุดดูเหมือนจะ…เขายอมแล้ว “เอาล่ะๆ ข้าบอกพวกเจ้าแล้วข้ามาเพื่อเอาของบางอย่าง แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะฟังข้าด้วยซ้ำแล้วยังจับข้าขังไว้อีก”
เขาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ข้ารู้ว่าข้าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวคิดว่าเช่นนี้ดูจริงใจ คนจงหยวนอย่างพวกเจ้าไม่เห็นคุณค่าของความจริงใจหรือ”
“แค่นั้นหรือ”
เด็กหนุ่มพูด “เจ้าอยากให้ข้าตอบข้าก็ตอบแล้วไม่พอใจอีกหรือ”
ตัวฝูขัดจังหวะ “เจ้าจะไปเอาของอะไร”
“เรื่องนี้ข้าบอกไม่ได้!” เด็กหนุ่มย้ำ “ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอกพวกเจ้า แต่ไม่สามารถพูดได้จริงๆ! ถึงแม้จะตายข้าก็บอกไม่ได้”
ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนคนโกหกหมิงเวยจึงยื่นถุงน้ำให้เขา
เด็กหนุ่มดีใจมาก “ขอบคุณมาก” เขารับถุงน้ำขึ้นมาดื่มอยู่หลายอึกกว่าจะหยุด เขาเอาจุกปิดแล้วยื่นกลับคืน
หมิงเวยไม่รับ “ข้าให้เจ้า!” เปื้อนน้ำลายผู้อื่นไปแล้วนางก็ไม่อยากได้อีก
เด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็ดึงถุงน้ำกลับไปด้วยท่าทางมีความสุข “อา ท่านเป็นคนดีจริงๆ!” เขาพูดโดยที่ไม่รู้ว่านางรังเกียจ
หมิงเวยจูงม้าแล้วหันกลับเพื่อหาที่พักผ่อน
“คุณหนู บ่าวเองเจ้าค่ะ” ตัวฝูรับสายบังเหียนด้วยท่าทางแข็งขัน
เด็กหนุ่มเดินตามพวกเขาไปแล้วพูดพล่ามว่า “จริงสิ ข้าชื่อน่าซู พวกเจ้าชื่ออะไรกัน วรยุทธ์ของพวกเจ้ายอดเยี่ยมมาก เรียนมาจากที่ใดงั้นหรือที่จงหยวนมีคนอย่างพวกเจ้าเยอะหรือไม่”
เขาถามทีละคำถามหมิงเวยก็ถามกลับทีละคำถาม “เจ้ามาจากเผ่าไหน คนหูเหรินพูดมากเหมือนเจ้าทุกคนหรือไม่ คนที่เจ้าต้องการนำทางคือผู้ใด หมายความว่าเจ้ามีสหายมาด้วยใช่หรือไม่”