คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 347 ทางเลือก
“ช้าก่อน!”
พระอาจารย์ช่างจื้อหันกลับไปมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ท่านต้องการอะไรอีก”
เป็นความจริงที่วันนี้เขาพ่ายแพ้ แต่ที่นี่คือเมืองหยุนไฉหากหมิงเวยไม่ยอมฟังสุดท้ายไม่แน่ใจว่าคนที่ลำบากจะเป็นผู้ใดกันแน่
หมิงเวยหยิบสร้อยลูกประคำขึ้นมาสีหน้าของพระอาจารย์ช่างจื้อเปลี่ยนไป เขาตะโกนกลับไปว่า
“ส่งคืนมาให้ข้า!” แต่หมิงเวยไม่เคลื่อนไหวนางก้มลงมองสร้อยลูกประคำแล้วหมุนทีละลูก
“ลูกประคำชั้นดีจากต่างแดน ช่วยกระตุ้นสมองมีกลิ่นระเหยของธูปเทียน” หมิงเวยเงยหน้าขึ้นถาม “พระอาจารย์ยอมตัดสินใจยอมตัดสิ่งที่รักไปเสียได้หรือไม่ ข้ายินดีที่จะแลกเปลี่ยนเห็ดหลินจือพันปี”
พระอาจารย์ช่างจื้อย่ำเท้าไปหานาง “ขออภัยด้วยข้าไม่แลก!”
หมิงเวยถอนหายใจ “น่าเสียดายจริงๆ!”
นางลูบไล้ด้วยความอาลัยอาวรณ์อยู่เป็นเวลานานเมื่อเห็นพระอาจารย์ช่างจื้อระงับอารมณ์ไม่ไหวจึงคืนสร้อยลูกประคำให้ และกล่าวเสริมไปว่า “หากพระอาจารย์รู้สึกเสียใจในภายหลังเมื่อไรให้มาหาข้าได้เสมอ เห็ดหลินจือพันปี ถังเช่า บัวหิมะขอเพียงพระอาจารย์เอ่ยปากขอข้ายกให้ได้” พระอาจารย์ช่างจื้อแค่นหัวเราะเขาแย่งสร้อยลูกประคำกลับมาแล้วเดินจากไป
เมื่อร่างของเขาหายไปในความมืดเสียงของซูถูก็ดังขึ้น “ท่านทำอะไรกับสร้อยลูกประคำงั้นหรือ”
หมิงเวยมองเขาแล้วตอบเสียงเนิบนาบ “ใช่เจ้าค่ะ!”
เมื่อพบว่าสร้อยลูกประคำนั้นต่างออกไปนางจะไม่ใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
ซูถูพยายามเข้าใจความหมายของการเคลื่อนไหวนั้นเขากำลังหยั่งเชิงทัศนคติของนาง แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากหมิงเวยก็พูดขัดเสียก่อน
“องค์ชายเจ็ดดูมีความสุขนะเจ้าคะ”
ซูถูยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา “ในเมื่อคลี่คลายปัญหาได้ข้าย่อมมีความสุขอยู่แล้ว”
ทันทีที่เขาพูดคำนี้ออกมารอยยิ้มบนใบหน้าของหมิงเวยก็หายไปทันที “น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ดีใจเจ้าค่ะ!”
ดวงตาของซูถูหรี่ลงเล็กน้อยรอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงเขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจเป็นพิเศษ “แม่นางหมิงไม่มีความสุขตรงไหนหรือ หากมีอะไรที่เผ่าหมาป่าหิมะทำไม่ถูกต้องท่านพูดออกมาได้เลย”
หมิงเวยยิ้มเยาะ “ตั้งแต่ข้ามาที่เมืองหยุนไฉ อ้อ ไม่สิไม่แน่อาจเริ่มตั้งแต่ข้าได้พบกับน่าซู ข้าก็ถูกพวกท่านใช้ประโยชน์มาตลอดท่านคิดว่าข้าจะมีความสุขหรือเจ้าคะ”
ประกายในดวงตาของซูถูหายไป เขาไม่ใช่ไม่เคยคิดว่าหมิงเวยจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่เมื่อนางรู้แล้วอีกทั้งยังพูดออกมาด้วยตนเองเช่นนี้ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาพของคนจงหยวนในใจเขาโดยสิ้นเชิง
พวกเขาควรเจ้าเล่ห์ควรสุขุมรอบคอบ แม้จะไม่มีปัญหาอะไรแต่ก็ควรทิ้งหนทางไว้ให้ตนเองด้วย คนจงหยวนทุกคนที่เขาพบก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้ แต่สตรีตรงหน้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น…
แม้ตัวจะอยู่หยุนไฉคนรอบกายเป็นชาวหูเหริน แต่นางก็พูดออกมาตรงๆ เช่นนี้โดยไม่กลัวว่าจะถูกโยนเข้าคุกเลย
ถึงแม้จะแข็งแกร่งเหนือผู้อื่น แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะหลบหนีออกจากเมืองหยุนไฉหากนางต้องการไปจริงๆ
นอกจากนี้กองคาราวานยังอยู่ในเมือง
“แม่นาง…” เขาพูดไปได้สองคำหมิงเวยก็พูดขัดอีกครั้ง
“ตอนนี้ข้ามีตัวเลือกอยู่สองทางเห็นแก่น่าซูที่พาเรามายังเมืองหยุนไฉนี้ ข้าจึงอยากคุยกับองค์ชายให้ชัดเจนเจ้าค่ะ”
ซูถูที่ถูกแย่งสิทธิ์ในการพูดก่อนอีกครั้งทำได้เพียงพยักหน้า “เชิญแม่นางพูดมาได้เลย”
“หนึ่ง ข้าติดตามพระอาจารย์ช่างจื้อไป และช่วยเขาเพื่อให้เผ่าฉีหูได้รับความประสงค์จากเหล่าทวยเทพอย่างราบรื่น”
เมื่อพูดถึงประโยคนี้ซูถูก็รู้แล้วว่าตัวเลือกที่สองคืออะไร พูดตามตรงเขารู้สึกไม่สบายใจ
ตั้งแต่เขาอายุสิบสองเขาเคยชินกับการใช้เล่ห์เหลี่ยมกำจัดตัวถ่วง และให้ผู้อื่นเดินไปตามความตั้งใจของตนเอง เขาต้องยอมรับว่าตนเองมีสายเลือดเจ้าเล่ห์ของคนจงหยวนอยู่ในกาย พวกลูกเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่เรียนรู้จากหนังสือเขานำมาทำได้อย่างราบรื่น แต่ในช่วงเวลาอันสั้นนี้เขาได้ลิ้มรสชาติที่ไม่คาดคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางไม่เคยเดินตามเส้นทางที่เขาวางไว้เลย หรือเป็นเพราะคนจงหยวนที่เขาพบก่อนหน้านี้อ่อนแอเกินไปหรือไม่ คนจงหยวนที่แข็งแกร่งจริงๆ ล้วนเป็นเช่นนี้หรือ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซูถูสงสัยในตัวเอง
เขาคิดว่าเขามีความกล้าหาญของชาวหูเหริน และสติปัญญาของคนจงหยวน หรือทั้งหมดเป็นแค่ภาพลวงตากัน
เขาโอบกอดความรู้สึกนี้ไว้แล้วถามออกไป “อย่างที่สองล่ะ”
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาก็อยากทำความเข้าใจ
หมิงเวยยิ้ม “สอง เล่าแผนการของพวกท่านออกมาให้หมดอย่าตกหล่นแม้แต่คำเดียว”
ซูถูเงียบไปครู่หนึ่ง และพูดเบาๆ ว่า “แม้ท่านจะไม่ได้ลงมือข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เจตจำนงของเหล่าทวยเทพเป็นเหตุผลที่ดี และแม้ว่าจะไม่มีเหตุผลเช่นนั้นพวกเขาต้องยอมจำนนต่อความแข็งแกร่ง”
หมิงเวยขี้เกียจเกินกว่าจะคุยกับเขาต่อจึงถามตรงๆ ไปว่า “เช่นนั้นองค์ชายหวังให้ข้าเลือกข้อแรกอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
เมื่อเห็นซูถูไม่ตอบหมิงเวยก็พยักหน้า “ช่างเถอะ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนักที่จะร่วมมือกับเผ่าฉีหู แต่ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะเต็มใจที่จะร่วมมือเมื่อทราบเรื่องสำคัญเช่นนี้” พูดจบนางก็สะบัดแขนเสื้อแล้วกระโดดลงจากกำแพงเมือง
“ช้าก่อน!” หมิงเวยหยุดนางยืนบนหลังคาแล้วมองหันกลับไป
ซูถูเงียบอยู่นาน และในที่สุดก็พูดว่า “เหตุใดแม่นางหมิงต้องใจร้อนด้วย พวกเราค่อยๆ คุยกันก็ได้”
หมิงเวยยิ้ม “องค์ชายน่าจะบอกกันตั้งแต่แรกมิใช่หรือเจ้าคะ”
…………
ทั้งสองกลับไปที่ที่พักชั่วคราวของกองคาราวาน ตัวฝูกำลังเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลใจ น่าซูพาทหารจากเผ่าหมาป่าหิมะมาเฝ้าประตู
ทุกคนในกองคาราวานถูกรบกวนจนตื่นเมื่อครู่เกิดเหตุการณ์ไม่สงบทำให้พวกเขารอคอยอย่างระแวดระวัง
เมื่อเห็นว่าหมิงเวยกลับมาโหวเหลียงก็กล่าวทักทายอย่างดีใจ “แม่นางหมิงกลับมาแล้วเรื่องนี้…มีทางแก้หรือไม่”
หมิงเวยปลอบตัวฝูแล้วพูดกับเขาว่า “วางใจเถอะข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ากลายเป็นคนเลวหรอก”
โหวเหลียงยิ้มอย่างละอายอันที่จริงเขาเคยคิดว่าหากเกิดเรื่องกับแม่นางหมิง ตนอาจจะขอพึ่งพาเผ่าหมาป่าหิมะหรือเผ่าฉีหู แต่ขุนศึกตระกูลหยางคอยจับตาดูเขาอยู่หากทำเช่นนั้นไปก็ไม่รู้ว่าจะรักษาชีวิตของตนเองได้หรือไม่
พอเห็นหมิงเวยกลับมาอย่างปลอดภัยเขาก็รู้สึกโล่งใจจริงๆ ที่ไม่ต้องตัดสินใจอะไรแย่ๆ เช่นนั้น
น่าซูเห็นพวกเขาก็ร้องเรียกอย่างดีใจ “พี่เจ็ด! พวกท่านกลับมาแล้ว แม่นางหมิงไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ซูถูพยักหน้าแล้วตอบเสียงเรียบไปว่า “ปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วให้พวกเขากลับไปพักเถอะ น่าซู เจ้าจัดทหารให้มาคุ้มครองแขกของพวกเราด้วย”
“ได้” น่าซูเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดชะงัก “พี่เจ็ดท่านไม่ไปด้วยหรือ”
ซูถูตอบ “ข้ากับแม่นางหมิงมีเรื่องต้องคุยกัน”
“อ้อ” น่าซูรู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติอย่างบอกไม่ถูก แต่สุดท้ายเขาก็เดินออกไปด้วยความสงสัย
หมิงเวยเปิดห้องของตัวฝู “ประตูห้องนั้นถูกพระอาจารย์ช่างจื้อทำลายไปแล้ว องค์ชายเข้ามาในห้องนี้เถิด” ซูถูพยักหน้าแล้วเดินตามนางเข้าไป
ตัวฝูมึนงงเล็กน้อย และกำลังจะเข้าไปรับใช้ แต่กลับได้ยินหมิงเวยพูดว่า
“ตัวฝู เจ้าคอยเฝ้าอยู่ข้างนอกเถอะ”
“ได้เจ้าค่ะ” ตัวฝูตอบรับอย่างเชื่อฟังนางมองบานประตูที่ถูกปิดลง
หลังจากนั้นไม่นานโหวเหลียงก็เข้ามาดู และถามนางว่า “แม่นางหมิงกับองค์ชายซูถูอยู่ในห้องหรือ”
“ใช่”
“ไม่มีผู้อื่นเลยหรือ”
“ไม่มี”
โหวเหลียงมีสีหน้าแปลกใจ “กลับไปบอกเรื่องนี้กับคุณชายไม่ได้นะ” จากนั้นก็เดินจากไป
ตัวฝูยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ได้สติ
“เดี๋ยว…” เขาพูดไร้สาระอะไรกัน คุณหนูไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นสักหน่อย!