คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 369 ติดตาม
“องค์ชาย!” ในตอนที่ซูถูล้มลงเขาเห็นท้องฟ้าเป็นสีคราม
ท้องฟ้าในปลายฤดูใบไม้ร่วงนั้นสวยงามมากเป็นสีฟ้าที่ไม่มีร่องรอยของความแตกต่าง หากชีวิตนี้จบลงด้วยความงามเช่นนี้ได้มันก็เป็นการจบที่ดีเช่นกัน…
“องค์ชาย!” เหล่าทหารตะโกน
เสียงร้องดังกึกก้องทำลายจินตนาการของเขาเกี่ยวกับบทกวีซูถูถูกบังคับให้หลุดออกจากความเจ็บปวด และพูดออกมาอย่างอับจนว่า
“ข้ายังไม่ตาย…”
เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าเขาเห็นขลุ่ยห้อยอยู่บนยอดไม้ และยันต์สีเหลืองติดอยู่บนนั้นอย่างเห็นได้ชัด เงาสีขาวที่ดูเลือนรางล้อมรอบขลุ่ยนั้นมีลักษณะคล้ายกับงู
มันผละออกไปอย่างรวดเร็วกลายเป็นควันและหายวับไป ซูถูเข้าใจทันทีว่าเขาตกหลุมพรางของนางตั้งแต่แรก
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนที่เขาออกเดินทางจากเขาเทียนเสินและเดินไปรอบๆ ทะเลสาบนั่วเจีย เขาตามติดนางตลอดทางทุกครั้งที่ถูกนางทำให้รู้สึกสับสนเขาก็พบร่องรอยของนางครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งทำให้เขาติดอยู่ในกับดักที่คิดว่าตนเองกลายเป็นนักล่า ส่วนอีกฝ่ายเป็นภาพลวงตาของเหยื่อแล้วค่อยๆ สูญเสียความระมัดระวังในเรื่องที่นางจะโต้กลับ นางใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนในการพัฒนานิสัยของเขา
ที่ทะเลสาบนั่วเจียอันที่จริงนางไม่ได้คิดเพียงแค่วิ่งหนีตั้งแต่แรก ในตอนที่พบว่าเขาไล่ตามมาทันนางคงวางกับดักนี้ไว้แล้ว
การข่มขู่เขาที่ทะเลสาบนั่นเพื่อเป็นการยั่วยุเขาเมื่อรู้ว่านางอยู่ตรงหน้า เขาที่รอจนรุ่งสางซึ่งอยู่ห่างออกไปยี่สิบลี้โดยที่ยังไม่ได้พักผ่อนเลย
รุ่งเช้า เขารีบกลับไปที่ริมทะเลสาบและพบว่าถูกหลอกซึ่งทำให้ความโกรธของเขาถึงขีดสุด ความโกรธทำให้คนเสียสติ
หลังจากที่ไล่ตามนางไปจนสุดทางเป็นเพราะเขายังสงบไม่พอเมื่อถูกนางใช้เคล็ดวิชาทำให้สับสนอีกครั้งทำให้เขาสูญเสียตัวตนอย่างหนัก จนถึงตอนนี้ผู้ใดจะไปพิจารณาได้ถี่ถ้วนกัน
ในเมื่อนี่เป็นกับดักของนางจึงรอถูกจับอยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟัง เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้
เมื่อดึงลูกศรบนไหล่และกริชที่อยู่ด้านหลังออกใบหน้าของซูถูซีดอย่างน่ากลัวเพราะเสียเลือดมากเกินไป ทหารปีนขึ้นไปบนยอดไม้แล้วหยิบขลุ่ยและยันต์ออกมาตามคำสั่งของเขา
ขลุ่ยทำมาจากไผ่สีม่วงและมีร่องรอยของฟ้าผ่า ส่วนยันต์ได้รับความเสียหายจนเขามองไม่ออก
เมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุเรื่องนี้ก็เดาได้ไม่ยาก เหตุผลที่เขาเชื่อว่าหมิงเวยอยู่ในระยะสิบจั้งก็เพราะเสียงของนางอยู่ใกล้มาก
เขาไม่ค่อยเข้าใจวิธีการนี้ แต่ขลุ่ยที่แขวนอยู่บนยอดไม้และยันต์ที่ติดอยู่ด้านบนนั้น อีกทั้งงูที่กลายเป็นควันก็พอเดาคำตอบได้
นางเตรียมการเหล่านี้มาอย่างดี แต่สถานที่ที่นางเองซ่อนอยู่จริงๆ นั้นคือเนินเขา เสียงขลุ่ยยังคงก้องอยู่ในหูของเขา เขาคิดว่านางกำลังโจมตีด้วยคลื่นเสียง ผู้ใดจะไปรู้ว่านางกำลังเล็งเขาด้วยหน้าไม้
เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วพลังโจมตีของคลื่นเสียงในวันนี้รุนแรงไม่เท่าคืนนั้น แต่เขาถูกนางแกล้งครั้งแล้วครั้งเล่า ความโกรธที่พุ่งถึงขีดสุดทำให้เขาคิดไม่ถึงขั้นนั้น
“องค์ชาย” ทหารรายงานต่อเขา “บาดแผลของท่านไม่ควรเดินทางต่อพวกเราจะไล่ตามนางเองขอรับ!”
“ไม่” ซูถูพูดอย่างอ่อนแรง “นางวางอุบายไว้มากมายส่งพวกเจ้าไปอาจไม่ได้กลับมาอีก”
“องค์ชาย!” ทหารคนสนิททั้งเศร้าทั้งขุ่นเคือง ไม่สามารถล้างแค้นให้องค์ชายได้ถือเป็นความอัปยศของทหาร!
ในตอนนั้นเสียงนกอินทรีจากบนฟ้าก็ดังขึ้น หัวหน้าทหารเงยหน้าขึ้นมองด้วยความยินดี “องค์ชายน่าซูติดต่อพวกเราขอรับ!”
พูดจบเขาก็เป่านกหวีดเสียงแหลมคมก็กระจายไปทั่วทุ่ง
นกอินทรีผู้ยิ่งใหญ่ในท้องฟ้าได้ยินเสียงนกหวีดก็โฉบลงมาตกลงบนไหล่ของทหารคนสนิท
หัวหน้าทหารหยิบกระดาษมาแล้วยื่นให้ซูถู หลังจากอ่านข้อความแล้ว ดวงตาของซูถูก็จุดประกายจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อีกครั้ง
“ปาตง เหมิงตัว…” เขาเรียกชื่อทหารทั้งสอง “พวกเจ้าไล่ตามนางไป แต่อย่าทำให้นางตกใจ แค่ติดตามตำแหน่งของนางแล้วรายงานให้ข้าฟัง เข้าใจหรือไม่”
“ขอรับ” ทหารที่ไม่ได้รับบาดเจ็บตอบรับเสียงดัง ซูถูขยำกระดาษเป็นชิ้นๆ แล้วยิ้มหยัน นางได้รับบาดเจ็บสาหัส และต้องการกลับไปที่เป่ยเทียนเหมิน แต่นางไม่สามารถเดินทางไปถึงในเจ็ดแปดวันแน่ ตนยังมีโอกาสที่รั้งให้นางอยู่ในทุ่งหญ้า!
………..
อาสวนกังวลไปตลอดทาง คุณชายบอกให้ออกเดินทาง และพาคนไปที่เป่ยเทียนเหมิน จำนวนคนไม่มากนักรวมแล้วประมาณสามสิบกว่าคน
เนื่องจากคุณชายบอกว่าสถานที่ที่พวกเขากำลังเดินทางไปคือเป่ยเทียนเหมิน แม่ทัพเหลียงจางจะไม่อนุญาตให้ทหารม้าต่างถิ่นเข้าออกตามความต้องการ คนจำนวนมากเช่นนี้ถึงขีดจำกัดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นกองทัพฝ่ายขวามีกองกำลังมากเช่นนี้ หากต้องการจริงๆ ก็คิดหาวิธียืมได้!
อาสวนไม่กลัวที่จะต่อสู้ แต่เขากลัวเหลียงจาง
ไม่สิ…ที่เขากลัวก็คือเหลียงจางจะรายงานต่อฝ่าบาท!
ผู้บัญชาการสองคนของกองทัพซีเป่ย ตระกูลของจงซู่ได้ปกป้องช่องแคบไป๋เหมินมาหลายชั่วอายุคน นับตั้งแต่ไท่จู่ก่อตั้งอาณาจักรก็ผ่านมาสามชั่วอายุคนแล้ว
ปัจจุบันเหลียงจางได้รับการเลื่อนตำแหน่ง และทั้งสองก็มีมิตรภาพที่ดีเมื่อครั้นที่พวกเขายังเด็ก หยางชูพากองกำลังไปที่เป่ยเทียนเหมินเช่นนี้ หากเขาไม่ร้องเรียนสิถึงจะแปลก!
หากเขาร้องเรียนขึ้นมาจะไม่ยิ่งทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยหรอกหรือ ฮ่องเต้ขับไล่เขาออกจากเมืองหลวง หากทรงไม่พอพระทัยอีกคุณชายจะอยู่รอดผ่านไปด้วยดีหรือไม่ แต่ถึงจะกังวลแค่ไหนการเดินทางครั้งนี้ไม่ไปก็ไม่ได้
แม่นางหมิงตกอยู่ในอันตรายไม่ต้องพูดถึงว่าคุณชายไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆ ได้ แม้แต่อาสวนเองก็เพิกเฉยไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงเผชิญความยากลำบากเท่านั้น!
“คุณชาย ด้านหน้าคือเป่ยเทียนเหมินขอรับ”
หยางชูเงยหน้าขึ้น และเห็นว่าท่ามกลางภูเขาสูงตระหง่านมีประตูด่านตั้งตระหง่านอย่างสง่าผ่าเผย
ภูเขาสูงชัน ตรอกบนหน้าผา ประตูด่านนี้กันหมาป่าอันแสนดุร้ายบนทุ่งหญ้าไว้ด้านนอก
แม้จะเคยได้ฟังจากหมิงเวยแล้ว แต่ก็ยังยากสำหรับหยางชูที่จะจินตนาการว่าหูเหรินจะพังประตูนี้ได้อย่างไร เขาพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกซับซ้อนว่า “ข้าต้องการพบแม่ทัพเหลียงจาง”
หยางชูเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจต้องรอเป็นเวลานาน
เขาถูกตัดหางทิ้งแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่ เหลียงจางรู้ดีว่าหนังเสือนั้นทำได้แค่ทำให้ผู้อื่นกลัว แต่ไม่สามารถหลอกเขาได้
แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าเหลียงจางจะมาพบกับเขาในไม่ช้า ขุนศึกบอกชื่อไปแล้วก็มีเอกสารมาตรวจสอบตราประทับ
หลังจากนั้นไม่นานก็มีคำสั่งจากเหลียงจางว่าอนุญาตให้เดินผ่านได้
กลุ่มของพวกเขาได้รับการต้อนรับเข้าสู่เมืองเล็กๆ ในประตูด่าน จวนของผู้บัญชาการกองทัพขวา
เหลียงจางมีอายุประมาณสี่สิบปีซึ่งมีอายุพอๆ กับฮ่องเต้ แต่ไม่ได้ดูดุร้ายแต่อย่างใด อีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าธรรมดาไม่ต่างจากขุนนางผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง
หยางชูเคยพบเขาอยู่หลายครั้งในเวลานี้เห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่ในห้องโถง เขาจึงก้าวไปข้างหน้า และแสดงความเคารพ
“หยางชูคารวะแม่ทัพเหลียง”
เหลียงจางไม่ได้วางมาดเขาลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “สองปีแล้วที่ไม่ได้พบคุณชายสาม ข้าไม่ต้องการเป็นที่โดดเด่นเหมือนเมื่อก่อน คุณชายอย่ามากพิธีเลย เชิญนั่งเถอะ”
จากนั้นเขาก็สั่งให้คนมารินชาและพูดคุยกับหยางชู จางเหลียงเลือกที่จะไม่ถามจุดประสงค์ที่มาพบเขาของอีกฝ่าย และพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเมืองหลวงกับความเป็นอยู่ในซีเป่ยเท่านั้น อีกทั้งยังบอกอีกว่าตนเชิญพ่อครัวจากเมืองหลวงมาในราคาที่สูงและเชิญให้เขามาลองชิม เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ใจของหยางชูก็หล่นไปที่ตาตุ่ม
เขามาหาเช่นนี้จางเหลียงไม่คิดถามเกรงว่าอีกฝ่ายคงมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
รูปแบบการอยู่ที่เกาถางของตนเองนั้นเขาไม่ได้ปิดบังผู้ใดเลย ส่วนการมีอยู่ของหมิงเวย หากใส่ใจสอบถามสักนิดก็รับรู้แล้วเป็นไปได้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายซึ่งอยู่ที่นี่ได้รับข่าวแล้ว แต่เพราะกลัวจะมีปัญหาจึงปฏิเสธเขาด้วยวิธีนี้
…………..