คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 388 ระบายอากาศ
คิดน้อย…
หยางชูแทบหลั่งน้ำตา คิดน้อย คำว่าคิดนี้ไม่ได้หมายถึงคิดพิจารณา แต่หมายถึงความคิดถึง ความคิดถึงสำหรับพวกเขาแล้วเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่สุด หมิงเวยตบไหล่เขาเบาๆ
หยางชูระงับอารมณ์และถามต่อไปว่า “สุขภาพของเหนียงเหนียงดีขึ้นแล้วหรือยัง”
“คุณชายสามไม่ต้องกังวลตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วขอรับ…”
ทั้งสองถามตอบกันไปมา แลกเปลี่ยนข่าวสารอย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ไม่สะดวกสำหรับฟู่จินที่จะสอบถามมันไม่ง่ายเลยที่จะสอดมือเข้าไปในวัง ข่าวลือที่กระจายออกมาเป็นครั้งคราวเมื่อผ่านประตูวังมันก็บิดเบือนไปจากเดิมได้ ข่าวจากหลิวกงกงถือเป็นข่าวมือหนึ่ง
หลังจากพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเผยกุ้ยเฟยหลิวกงกงก็ถามขึ้นว่า “ทางด้านคุณชายสามเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ ข้าน้อยปรนนิบัติข้างกายฝ่าบาทได้ยินข่าวลือว่าจู่ๆ ก็เกิดการสังหารครั้งใหญ่ระหว่างแปดเผ่าในเป่ยหู” เขาพูดพลางมองหมิงเวย
หยางชูยิ้มแล้วถามว่า “พูดเช่นนี้หมายความว่าฝ่าบาททรงทราบแล้วใช่หรือไม่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง”
“แน่นอนขอรับ”
นกอินทรีของหวงเฉิงซือไม่ใช่เครื่องตกแต่ง เกิดความวุ่นวายในหูตี้ หมิงเวยหนีออกจากเขาเทียนเสิน หยางชูรีบออกไปรับนาง…สิ่งเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงเป็นเส้นเดียวกันได้อย่างชัดเจน
หลิวกงกงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “บ่าวคิดว่าฝ่าบาทสงสัยในตัวแม่นางหมิงแล้ว อีกทั้งยังมีพระประสงค์ที่จะสืบหาความจริงด้วย จากนี้ไปต้องระวังให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้สงสัยในตัวคุณชายขอรับ”
หยางชูยิ้มเยาะตนเอง “ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ดีสำหรับข้าเลยสักนิด นางทำให้หูตี้เกิดความวุ่นวาย ผู้นำหูเหรินคนใหม่มองพวกเราเป็นหนามยอกอกไม่ส่งคนมาลอบสังหารก็ถือว่าดีแล้ว ทางฝั่งกองทัพซีเป่ยข้าก็ทำให้เหลียงจางขุ่นเคือง ในอนาคตคงถูกเขาใช้อำนาจกลั่นแกล้งไม่น้อยเขาคงสบายใจมากกว่า”
หลิวกงกงส่ายหน้า “คุณชายพลาดเรื่องหนึ่งไปขอรับ”
“หืม…”
“ท่านกับแม่นางหมิงไม่ใช่คนคนเดียวกัน” หยางชูตกตะลึง
หลิวกงกงพูดต่อว่า “ตอนนี้พวกท่านอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ใช่สามีภรรยากัน ถึงแม้ฝ่าบาทไม่สงสัยในตัวท่าน แต่เป็นไปได้ว่าพระองค์สนใจในตัวแม่นางหมิงหากฝ่าบาทเคลื่อนไหวจริงๆ…”
หยางชูคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเหงื่อเย็นเยียบก็ผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา
เขาเพิกเฉยต่อความเป็นไปได้นี้ได้อย่างไร ในฐานะฮ่องเต้แน่นอนว่าต้องการนำผู้ที่มีพรสวรรค์ไปไว้ข้างกาย หมิงเวยแค่นำกองคาราวานเข้าไปในหูตี้ แต่กลับทำให้หูตี้เกิดเหตุการณ์นองเลือดไปได้ อีกทั้งการแสดงความสามารถพยากรณ์โชคชะตาแผ่นดินของนางที่เสวียนตูกวันอีก…เพียงแค่เขาออกพระราชโองการเรียกหมิงเวยกลับเมืองหลวงแล้วเขาจะทำอย่างไร
หลิวกงกงเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้นก็รีบปลอบโยน “คุณชายสามอย่าเพิ่งตระหนกไป บ่าวแค่มาเตือนท่าน เรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อยมากเพราะยังมีเหนียงเหนียงอยู่!”
หยางชูสงบอารมณ์และพยักหน้า “ที่ท่านพูดมาก็ถูก”
ตอนนี้อีกฝ่ายโปรดปรานกุ้ยเฟยถึงเพียงนั้น แน่นอนว่าคงไม่มีทางขัดน้ำใจของนางได้ แต่ในฐานะบุตรเหตุผลนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ
เขาสูดลมหายใจแล้วพูดว่า “ขอบคุณกงกงมากที่เตือนหลังจากนี้ข้าจะระวังให้มากขึ้น”
หลิวกงกงพยักหน้าทั้งรอยยิ้มจากนั้นก็พูดอีกเรื่องหนึ่ง “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คุณชายอาจไม่ทราบ”
“ท่านพูดมาได้เลย”
หลิวกงกงลดเสียงลง “ฝ่าบาทมีความคิดที่จะปลดไท่จื่อ”
หยางชูตกใจ “เหตุใดถึงเร็วเพียงนี้กัน”
เขารู้ว่าเจียงเชิ่งไม่มีความสามารถที่จะเป็นฮ่องเต้ได้ แต่นั่นน่าจะอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ เจียงเฉิงวางแผนโจมตีเขาอย่างลับๆ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้เป็นไท่จื่อองค์ใหม่ ฮ่องเต้ก็ล้มป่วยและสิ้นพระชนม์ลงซึ่งยังเหลือเวลาอีกสองสามปี!
หลิวกงกงพูดว่า “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับไท่จื่อและซิ่นอ๋อง ก่อนหน้านี้เห็นสนิทสนมกันดี แต่หลังจากที่ท่านออกจากเมืองหลวงไปพวกเขาก็ทะเลาะกัน ท่านเองก็รู้ว่าไท่จื่อมีจิตใจที่…”
หยางชูเข้าใจดีไท่จื่อผู้นี้มีจิตใจมืดมนไม่มีสติปัญญาที่สมน้ำสมเนื้อ แค่พูดในเรื่องของจิตใจจะไปเอาชนะซิ่นอ๋องได้อย่างไรกัน
“แต่มีคนที่มีความสามารถมากมายอยู่รอบๆ ตัวไท่จื่อ…”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคนมีความสามารถเหล่านี้ไท่จื่อคง…” หลิวกงกงละไว้ในฐานที่เข้าใจ
ฮ่องเต้อบรมสั่งสอนเขาให้เป็นรัชทายาทอย่างแท้จริงส่งบรรดาผู้ที่มีพรสวรรค์ที่หาตัวจับได้ยากทั้งหมดไปยังตำหนักตงกง
“แต่ซิ่นอ๋องก็ไม่ได้ได้เปรียบเลย” หลิวกงกงพูด “ฝ่าบาททรงทราบว่าซิ่นอ๋องเป็นก้างขวางคอพระองค์ก็ทราบและเบื่อหน่ายเขาเช่นกัน”
ขัดแย้งกันทั้งสองฝ่ายทำให้อันอ๋องได้เปรียบ…
หยางชูและหมิงเวยสบตากันประวัติศาสตร์ได้เปลี่ยนไปแล้วไท่จื่อและซิ่นอ๋องเริ่มต่อต้านกันตั้งแต่แรก แต่ผลลัพธ์ก็ดูไม่ต่างกัน
ประวัติศาสตร์ที่หมิงเวยรู้คือซิ่นอ๋องขึ้นครองราชย์ก่อน จากนั้นอันอ๋องก็แย่งชิงบัลลังก์ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าอันอ๋องได้บัลลังก์โดยตรงลดการเกิดสงครามดูเหมือนว่าจะเป็นการจบที่ดี
หากอันอ๋องไม่ใช่หลิงตี้ผู้มักมากในกามและไร้คุณธรรม…
หากอันอ๋องได้ขึ้นครองราชย์แม้จะช้าไปหลายปี แต่ประวัติศาสตร์ก็อาจยังคงอยู่บนเส้นทางการนองเลือดนั้น
“เรื่องนี้…ใกล้มาถึงหรือยัง”
หลิวกงกงส่ายหน้า “การปลดไท่จื่อเป็นเรื่องใหญ่ของแผ่นดินจะละเลยได้อย่างไร คุณชายสามสามารถวางใจได้ในขณะนี้”
หยางชูไม่สามารถวางใจได้พอส่งหลิวกงกงเสร็จเรียบร้อยเขาก็นั่งขมวดคิ้วไม่คลาย
หมิงเวยปลอบเขา “การปลดไท่จื่อไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับท่านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นไท่จื่อ ซิ่นอ๋อง หรืออันอ๋องล้วนเหมือนกัน ท่านไม่มีสิทธิ์รับสืบทอดต่อ พวกเขาสามคนผู้ใดได้บัลลังก์ไปผลลัพธ์ล้วนไม่ต่างกัน”
หยางชูยิ้มอย่างขมขื่น “พูดเช่นนี้หมายความว่าข้ากังวลไปประวัติศาสตร์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงสินะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ ท่านก็เห็นว่าพวกเราเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่หรือ หากท่านต้องการรับตำแหน่งนั้นจริงๆ ท่านต้องกำจัดพวกเขาทีละคน อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็สำเร็จไปสองในสามแล้วปล่อยให้อันอ๋องได้ประโยชน์ไป พวกเราจึงจะสามารถจดจ่อกับการจัดการเขาได้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้น้ำเสียงของหมิงเวยดูไม่พอใจเล็กน้อย “อันอ๋องในตอนนี้ไม่ใช่หลิงตี้ผู้นั้น ตอนนี้เขาเป็นเช่นนี้อาจารย์ฟู่สามารถเล่นงานเขาได้ ท่านมีอะไรต้องกลัวกัน”
ได้ยินนางพูดถึงฟู่จินหยางชูก็อดยิ้มไม่ได้ “ก็จริง”
เขายิ้ม หมิงเวยก็ถอนหายใจตามด้วยความโล่งอก “ท่านต้องมีความมั่นใจ ท่านเห็นพวกเราก้าวไปทีละขั้นสวรรค์แอบให้โอกาสพวกเรา ข้าคิดว่าตราบใดที่พวกเราพยายามมากพอก็จะสามารถผ่านการทดสอบได้อย่างแน่นอน”
“อืม…”
อีกด้านหนึ่งเหลียงจางเชิญหลิวกงกงเวียนดื่มสุราหลายต่อหลายรอบ เชิญเขาไปที่ห้องหนังสือของตนเองมอบสมบัติมากมายให้แล้วถามเสียงเบาว่า “กงกง ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรกันแน่ขอรับ ท่านพอจะบอกอะไรหน่อยได้หรือไม่”
หลิวกงกงยิ้มแล้วสัมผัสพระพุทธรูปทองคำที่อีกฝ่ายมอบให้เขาอย่างพอใจ
“แม่ทัพเหลียงอยากจะถามว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ประณามคุณชายสามงั้นหรือ”
“ใช่ขอรับ”
หลิวกงกงพูดช้าๆ ว่า “ถ้าพูดถึงเรื่องนั้นคุณชายสามก่อเรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าฝ่าบาทต้องทรงกริ้วที่เขากล้าแสดงอำนาจทางทหารตอนนี้ต่อไปคงกล้าทำอะไรที่ใหญ่กว่านั้น”
“ใช่ๆๆ!” เหลียงจางตอบรับ “เพราะฉะนั้นพระราชโองการนั่น…”
“ท่านลองคิดดูเถิด เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ฝ่าบาทจะลงโทษได้อย่างไร คุณชายสามถูกส่งมาที่เกาถาง หากลงโทษก็คงไม่พ้นจ่ายค่าปรับซึ่งเขาเองก็ไม่ขัดสนเรื่องเงินแม้แต่น้อย ปลดเขาออกจากตำแหน่งเขายิ่งมีความสุขกลับเมืองหลวงไปก็ใช้ชีวิตคุณชายต่อก็ดีกว่าลำบากอยู่ที่เกาถางไม่ใช่หรือ”
เหลียงจางลังเล “พูดเช่นนั้น…”
“ในเมื่อไม่สามารถลงโทษหนักได้ก็ปล่อยไป หากในอนาคตก่อเรื่องหนักกว่านั้นก็จะลงโทษทันทีถูกหรือไม่”
เหลียงจางได้รับสัญญาณทางสายตาก็เข้าใจได้ทันทีทั้งสองคนยิ้มอย่างเข้าใจกันโดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา “ที่ท่านพูดมาก็ถูกขอรับ…”