คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 390 หนังสือภาพ
หนิงซิวไม่อยู่เส้นทางการค้าฝั่งนั้นมีปัญหาจึงต้องพาคนไปจัดการ หมิงเวยที่ยังเหนื่อยอยู่จึงไม่ทำอะไรมากพอเก็บของเสร็จนางก็พักผ่อน
“ท่านไม่อยู่ อาสวนไปกับท่านด้วย อาจารย์หนิงต้องออกไปทำธุระเป็นครั้งคราวหมายความว่าเมืองนี้อยู่ในความดูแลของอาหว่านงั้นหรือเจ้าคะ”
หยางชูเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่บ้าน และยืดตัวออกอย่างสบายๆ “ใช่ เด็กคนนั้น หากไม่หาอะไรให้ทำก็จะชอบคิดฟุ้งซ่านให้นางยุ่งจะดีกว่า!”
หมิงเวยยิ้มเยาะ “ข้ออ้าง! เห็นได้ชัดว่าท่านขี้เกียจ”
หยางชูยิ้มและไม่ปฏิเสธ เขานั่งข้างนางแล้วเอนตัวไปมองดูสิ่งของที่นางวางไว้บนโต๊ะ เครื่องราง แผ่นเหล็ก แหวน ของสามอย่างนี้ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของกลุ่มดาวเหล่านั้นเขาเคยเห็นมาก่อนแล้ว แต่เกือกม้าเหล็กที่เพิ่มขึ้นมานั้นคืออะไร
“ตอนที่ข้าอยู่ที่หูตี้ได้พบกับกลุ่มดาวผู้หนึ่งนี่เป็นป้ายประจำตัวของเขาเจ้าค่ะ” หมิงเวยชี้ “ปี้เยวี่ยวู”
“มีกลุ่มดาวอยู่ที่หูตี้ด้วยหรือ”
“เจ้าค่ะ เขามีนามว่าเชิ่งชี ปลอมตัวเป็นทาสอยู่ข้างกายพระอาจารย์ของเผ่าฉีหู คอยช่วยเขาออกความคิด หากข้าไม่ไปที่นั่นล่ะก็เขาต้องช่วยเผ่าฉีหูรวมทุ่งหญ้าเป็นหนึ่งเดียวอย่างแน่นอน”
หยางชูเลิกคิ้ว “แต่ท่านบอกว่าตามประวัติศาสตร์ซูถูจะรวมเผ่าทั้งแปดเป็นหนึ่ง”
“ใช่ เพราะองค์หญิงหย่งชิงเจ้าค่ะ”
หยางชูเคยได้ยินนางพูดเรื่องขององค์หญิงหย่งชิงมาแล้วจึงออกความเห็นว่า “พูดแล้วนางก็ค่อนข้างน่าสงสาร ในตอนนั้นเฉียนเอี้ยนอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่นเพื่อจัดการกับพวกกบฏที่หักคันธงขึ้นสู้
ฮ่องเต้องค์สุดท้ายจึงส่งองค์หญิงหย่งชิงไปแต่งงานที่หูตี้เพื่อแสวงหาความมั่นคง ผลลัพธ์คือไม่กี่ปีถัดมาเฉียนเอี้ยนตกต่ำ นางที่เป็นองค์หญิงผู้สง่างามไม่มีที่ให้กลับถูกหูเหรินแย่งไปแย่งมาแต่งงานหลายครั้ง โธ่!”
หมิงเวยกลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นางน่าสงสาร แต่คนที่น่าสงสารมีแค่นางผู้เดียวงั้นหรือ มีความสามารถที่จะแก้แค้นหูเหริน! แต่นางทำอะไรรวมเผ่าหูเข้าด้วยกันแล้วยกทัพไปทางใต้ทำให้จงหยวนเกิดความวุ่นวาย ราชวงศ์เฉินควรละอายใจต่อประชาชน นางมีสิทธิ์อะไรในการแก้แค้นกัน”
หยางชูมีท่านย่าอย่างองค์หญิงหมิงเฉิงแน่นอนว่าเขารับไม่ได้กับพฤติกรรมขององค์หญิงหย่งชิงจึงได้แต่พูดว่า “อาจเป็นเพราะนางถูกทรมานจนเป็นบ้าหรือไม่ ดื้อดึงทำเรื่องที่สุดท้ายไม่เกิดประโยชน์เลยดูไม่สมเหตุสมผลสักนิด”
หมิงเวยไม่คิดพูดถึงนาง แต่เมื่อนึกถึงซูถูก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย “แม้เขาเทียนเสินจะเกิดเหตุการณ์นองเลือด แต่ก็แค่ทำให้การขยายอาณาเขตของพวกเขาช้าไปก็เท่านั้น หากซูถูใช้โอกาสนี้กำจัดผู้เห็นต่างออกไปจนหมดบางทีสิ่งที่เขาได้รับคือเผ่าหูที่รวมเป็นหนึ่งมากกว่าเดิม…”
ท้ายที่สุดแล้วเป่ยหูยังคงรูปแบบทาสเอาไว้เฉพาะชนชั้นสูงเท่านั้นที่มีอิสระอย่างแท้จริง และศักดิ์ศรีของชนเผ่าที่ลึกซึ้งที่สุดก็คือชนชั้นสูงเช่นกัน เขาเทียนเสินส่วนใหญ่ได้รับการทำความสะอาดแล้ว หากซูถูคิดจะทำการใดแล้วเขาย่อมต้องทำให้ถึงที่สุด ชนชั้นสูงของชนเผ่าที่เป็นศัตรูได้รับการเก็บกวาดเรียบร้อย ทาสและประชาชนที่เหลือก็ไม่สนใจว่าผู้ที่อยู่สูงสุดคือผู้ใด
ในกรณีนั้นความแข็งแกร่งของเป่ยหูอ่อนแอลงเพียงชั่วคราวซึ่งซูถูมีอำนาจมากพอที่จะควบคุมได้ ตราบใดที่ไม่มีภัยธรรมชาติพัฒนาไปอย่างมั่นคง ราชวงศ์เว่ยตะวันตกก็จะปรากฏขึ้นภายในเวลาไม่กี่ปี และจะยังคงเป็นศัตรูที่ทรงพลังในเวลานั้น
เมื่อเห็นนางเลิกคิ้วหยางชูรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “กว่าจะได้กลับมาไม่ง่าย ท่านยังคิดถึงบุรุษอื่นอีกหรืออยากเป็นหวางเฟยของเขาหรืออย่างไร” หมิงเวยเหลือบมองเขาแล้วหัวเราะ
คนผู้นี้เหตุใดถึงเจ้าคิดเจ้าแค้นเพียงนั้นกัน ซูถูเคยพูดเรื่องหวางเฟยต่อหน้าเขาเพียงครั้งเดียวตลอดการเดินทางเขาไม่พอใจจนเคยพูดขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถึงจะหึงหวง แต่ก็ควรมีขอบเขตมิใช่หรือ หรือว่าคิดจะหึงหวงไปตลอดชีวิตกัน
“หัวเราะ นี่ท่านกล้าหัวเราะ!” หยางชูบีบใบหน้านาง “พูดมา! ท่านอยากเป็นหวางเฟยงั้นหรือ”
หมิงเวยตบมือเขาแล้วยิ้ม “หากข้าบอกว่าใช่ ท่านจะทำให้ข้าเป็นหวางเฟยหรือเจ้าคะ”
หยางชูพูดอย่างโกรธเคือง “ท่านพูดออกมาแล้วนะ! ท่านกล้าพูดข้าก็กล้าทำ!”
หวางเฟยงั้นหรือ! แค่สถานะแต่งงานนางยังให้เขาไม่ได้เลย…
ความโกรธเคืองนี้เต็มเปี่ยมจนแทบล้นออกมา หมิงเวยหัวเราะนางเอนตัวเข้าไปใกล้หูเขาและกระซิบว่า “บาดแผลของข้าใกล้หายดีแล้วคืนนี้อยากให้ข้าอยู่ด้วยหรือไม่…”
หยางชูจับมือนางเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย “ท่านพูดจริงหรือ”
“มีครั้งใดที่ข้าพูดไม่จริงบ้าง หรือท่านไม่กล้าเล่า” เมื่อนางพูดจบร่างของนางก็ลอยขึ้น เป็นหยางชูที่อุ้มนางและเดินไปที่เตียง เขาโยนหมิงเวยลงบนเตียงแล้วคลานตามขึ้นไปพลางกัดฟันพูดว่า
“เตียงนี้จะไม่มีวันพัง!”
หลังจากที่ห่างหายกันไปนานเขาเองก็ทำใจกับเรื่องนั้นแล้ว สตรีผู้นี้ไม่ให้สถานะที่ชัดเจนกับเขาแล้วตนจะพยายามดิ้นรนไปทำไม หากดิ้นรนต่อไปไม่แน่ว่านางอาจถูกลักพาตัวไปเป็นหวางเฟยก็เป็นได้
หมิงเวยโอบรอบคอของเขา “วางใจเถอะ ข้าไม่บอกให้หยุดหรอก…” ประโยคครึ่งหลังหายไปในปากของเขา
ครึ่งหลังไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาพูด จากกันไปครึ่งปีความหลงใหลนั้นร้อนดั่งไฟ เสื้อผ้าของพวกเขาหลุดออกจากร่างกายทีละตัว นิ้วเรียวไล้บนผิวหนังราวกับเต้นรำ หมิงเวยค่อยๆ ปลดปล่อยความคิดของตน นางหลับตาลง และเคลื่อนไหวไปพร้อมกับหัวใจของตนเอง
เมื่อมองย้อนกลับไปการเผชิญหน้าครั้งนี้เหมือนเป็นพรหมลิขิต นางไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตนจะได้กลับไปหรือไม่ หากนี่คือความฝันเหตุใดไม่ลองทำตามอำเภอใจดูเล่า
เวลามีน้อยถ้าไม่จับให้แน่นจะทำให้สวรรค์ผิดหวังหรือไม่
ร่างกายของทั้งสองพัวพันกันดั่งเกลียวคลื่นสีแดง หยางชูตื่นเต้นเกินไปมือของเขาดันหมอนจนกลิ้งตกลงมา
“ตุบ!”
“มีบางอย่างตกลงไป” หมิงเวยลืมตา หยางชูยังคงเคลื่อนไหวต่อเขาพูดเสียงคลุมเครือ “ไม่ต้องไปสนใจหรอก!”
หมิงเวยเหลือบมองทางหางตา “เหมือนจะเป็นหนังสือนะเจ้าคะ”
“อืม” หยางชูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
หมิงเวยมีสายตาที่ดีภาพที่นางเห็นดูผิดปกติไปเล็กน้อยนางผลักเขาออกไป
“เดี๋ยวก่อน..” หยางชูยังคงไม่สนใจนาง และดำเนินมันต่อไป
“เดี๋ยวก่อน!” หมิงเวยผลักเขาอีกครั้งในที่สุดเขาก็หยุดชั่วคราว และถามอย่างอดกลั้นว่า “ท่านมีเรื่องอะไรอีก” หมิงเวยเอนตัวลง และหยิบหนังสือขึ้นมาจากพื้น
หยางชูเพ่งมองมันเดิมทีเขาคิดจะโยนหนังสือเล่มนั้นออกไป แต่เมื่อเห็นหน้าปกเขาก็ตื่นตัวทันที
“เดี๋ยวก่อน!” เขาคิดจะแย่งกลับมา แต่หมิงเวยก็ได้เปิดมันออกเสียแล้วนางหมุนตัวเพื่อสกัดกั้นเขา นี่เป็นหนังสือภาพซึ่งดูเหมือนหนังสือปกติที่เขาอ่านเพียงแต่คนในภาพนั้นไม่สวมเสื้อผ้า…เป็นภาพเกี่ยวกับการร่วมรักอะไรประมาณนั้น…
“ตอนที่ข้าไม่อยู่ท่านดูสิ่งนี้หรือเจ้าคะ”
ใบหน้าของหยางชูเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันใดเขาพูดอึกอัก “ข้าดูไม่กี่ครั้ง…”
“จริงหรือ” หมิงเวยเหล่มองเขา
เมื่อเห็นสายตาของนางหยางชูก็ยอมแพ้พูดอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อไม่มีอะไรทำก็หยิบมาดูก็เท่านั้น”
หมิงเวยลูบหัวเขา “เด็กดี” ยอมรับก็ดีแล้ว
นางพลิกหน้าอีกครั้ง “วาดได้สวยดีนะเจ้าคะ”
“จริงหรือ” หยางชูถามเสียงเบา “จิตรกรผู้นี้ค่อนข้างมีชื่อเสียง”
“แบบนี้ทำได้ด้วยหรือ”
“ว่ากันว่าทำได้”
เพราะ ‘ทำผิด’ หยางชูเลยอธิบายให้นางไปก่อนในขณะที่พูดไปจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนหน้านี้พวกเขาทำอะไรกันเหตุใดจู่ๆ ถึงได้อ่านหนังสือภาพอย่างจริงจังไปได้
“เช่นนั้นคราวหน้าค่อยดูดีหรือไม่พวกเรา…”
“สวยจัง” หมิงเวยอ่านหน้าถัดไปอย่างออกรส “รอข้าอ่านจบก่อนค่อยว่ากัน”
“เอ่อ…”