คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 398 แม่ทัพ
เจตนาของตระกูลจงที่ล่อเขามาที่นี่คืออะไรกันแน่ เสวียนชื่อซ่อนตัวอยู่ในจวนแม่ทัพคิดจะทำอะไรกันแน่ ยังมีกำลังลับอื่นที่ซ่อนอยู่อีกหรือไม่ ล้วนไม่มีผู้ใดรู้ได้
หยางชูไม่มีความอดทนที่จะอยู่ในไป๋เหมินเซี่ยจริงๆ เขารออีกฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เป็นการดีกว่าที่จะให้โอกาสพวกเขา
ยามฝึกซ้อมจะถูกแยกออกจากสภาพแวดล้อมที่เป็นอิสระ สายตาของเหล่ากองทัพฝ่ายซ้ายจึงไม่สามารถจ้องมองพวกเขาได้ตลอดทาง เช่นนั้นไม่ว่าคนเหล่านี้จะมีเจตนาดี หรือมุ่งร้ายล้วนมีพื้นที่ให้แสดง ทำงานหนักเพียงครั้งเดียวก็สบายไปตลอด
หนิงซิวแสดงความคิดเห็นว่า “เจ้าลำบากแค่ครั้งเดียวสบายไปตลอดอาจสามารถกวาดเรียบได้ทั้งหมด แต่พวกเราก็สามารถถูกจัดการได้เช่นกัน”
หยางชูไม่พอใจ “ศิษย์พี่ข้ามีเรื่องหนึ่งจะขอร้อง”
“พูดมาได้เลย”
“ลิ้นอาบยาพิษ[1]ของท่านเอาไว้ใช้กับศัตรูได้ แต่อย่าเอามาใช้กับฝั่งตนเอง”
“ข้าแค่พูดความจริงเท่านั้น”
“ความจริงของท่านเปรียบได้กับยาพิษแม้แต่ตนเองก็วางยาพิษด้วย!”
หลังจากถูกศิษย์น้องของตนเองว่าร้ายอย่างไม่เกรงใจหนิงซิวก็ไม่โต้ตอบอะไร แต่ทำท่าทางตอบประมาณว่าเอาที่เจ้าสบายใจเถอะ
เขาเป็นเช่นนี้ทำให้หยางชูรู้สึกขัดเขินเล็กน้อยจึงพูดเสริมว่า “พวกเราไม่ได้โชคร้ายถึงเพียงนั้นหรอก”
สีหน้าหนิงซิวไร้อารมณ์ “หากโชคร้ายจริงๆ เจ้ามองไม่เห็นหรอก”
“…” หยางชูตัดสินใจเก็บความอับอายของตนเอง!
หมิงเวยหัวเราะเบาๆ “เช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ พวกเรายังแบ่งงานกันเหมือนเดิม แม้ว่าตระกูลจงจะดูอันตราย แต่คงไม่กล้าปล่อยให้ท่านตายในไป๋เหมินเซี่ยเป็นแน่ การฝึกซ้อมยกให้ท่านเป็นคนจัดการส่วนเรื่องเสวียนชื่อที่ซ่อนตัวอยู่นั้นข้ากับอาจารย์หนิงจะดึงเขาออกมาเอง”
……….
สิบวันจะบอกว่าเร็วก็เร็วจะบอกว่าช้าก็ช้า ก่อนเริ่มการฝึกซ้อมในที่สุดจงซู่ก็กลับมา แม่ทัพใหญ่ที่มีชื่อเสียงในซีเป่ยนั้นดูเป็นคนอ้วนที่ดูใจดีมาก เขาไม่ได้อ้วนแบบคนรวยที่ขี้เกียจ แต่เป็นคนที่ร่างกายสูงใหญ่กำยำ แขนใหญ่ เอวหนา มีพุงเล็กน้อย ในความอ่อนโยนนั้นแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม
เมื่อเขาเดินทางกลับมาถึงก็ได้เชิญหยางชูให้มาพบ จงซู่ไม่เพียงมีตำแหน่งเป็นกั๋วกง แต่ยังเป็นแม่ทัพที่มีอำนาจอีกด้วย อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้อาวุโสหยางชูจะมาหยาบคายต่อหน้าเขาได้อย่างไรจึงเก็บความเย่อหยิ่งของตนไว้แล้วเข้าไปคารวะอีกฝ่าย
จงซู่เข้ามาประคองเขาด้วยตนเอง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เจอกันหลายปี คุณชายหยางยิ่งดูโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ”
จากนั้นเขาก็ไถ่ถามถึงสถานการณ์ของโป๋วหลิงโหว หยางชูตอบทีละคำถาม
หลังพูดคุยกันเสร็จจงซู่ก็ชี้ไปยังจงรุ่ยที่อยู่ข้างกาย “เรื่องของพวกเจ้าข้าได้ยินมาแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กเลยมีนิสัยหยิ่งผยองอย่างช่วยไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นที่หนึ่งในคนรุ่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ที่ไปล่วงเกินศิษย์พี่ของท่านเข้า ข้าต้องขอโทษคุณชายหยางแทนเขาด้วย”
หยางชูยิ้ม “ท่านแม่ทัพเกรงใจไปแล้ว” ทั้งไม่สุภาพแก่กัน และไม่มีการยุติเรื่องนี้
จงซู่เห็นปฏิกิริยาของเขาก็ถอนหายใจในใจ และพูดว่า “ข้ากลับมาก็พบว่าเด็กคนนี้ได้พนันกับคุณชายหยางไปเสียแล้ว เรื่องนี้เจ้าลูกหมาทำให้ขุ่นเคืองก่อน พวกเราควรขอโทษเจ้าไม่จำเป็นต้องพนันกันหรอก ดังนั้นจึงเชิญคุณชายหยางมาที่นี่เพื่อพูดคุยว่าจะชดใช้ให้อย่างไร คุณชายหยางบอกมาได้เลยพวกเราไม่ปฏิเสธแน่นอน”
หยางชูพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ท่านแม่ทัพกล่าวเกินไปแล้วคำพูดของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่มีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมาก ไม่มีเหตุผลที่จะยอมแพ้ไปครึ่งทางส่วนเรื่องคำขอโทษนั้นไว้แข่งเสร็จค่อยพูดกันก็ได้ขอรับ” หมายความว่าเขาไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนใจ
จงซู่ชะงักไปพักหนึ่งและพูดว่า “ท่านปู่ของพวกเรามีมิตรภาพที่ลึกซึ้ง บิดาของข้า และบิดาของเจ้ารู้จักกันมาก่อน พวกท่านมักจะแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน เพียงแต่หลังจากนั้นอยู่ห่างไกลทำให้ขาดการติดต่อกัน คุณชายหยางเป็นคนมีความสามารถคงจะดีถ้าให้เด็กคนนี้ได้เรียนรู้บทเรียนหากพวกเราสามารถฟื้นมิตรภาพเก่าได้คงทำให้ท่านปู่ที่จากไปแล้วรู้สึกสบายใจ”
นี่เป็นการจงใจทำให้เรื่องเล็กลงกลายเป็นข้อพิพาทระหว่างลูกหลาน
นอกจากนี้เพื่อแย่งชิงดินแดนจึงใช้การฝึกซ้อมเพื่อรู้ผลแพ้ชนะฟังดูเข้าท่าหรือ จงรุ่ยทำเช่นนั้นเพราะเขายังเด็กเป็นรุ่นน้อง แต่จงซู่ที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ผู้สง่างามดูละอายใจที่จะพูดออกมา
หยางชูถามอย่างยิ้มเยาะว่า “ท่านอาจะบอกว่าให้หลานขอคำแนะนำจากพี่จงดีๆ หรือ” จงซู่ตกตะลึงไปครู่หนึ่งไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับอย่างรวดเร็วเช่นนี้แล้วยังเรียกเขาว่าท่านอาทันทีอีก
อย่างไรก็ตามก็พูดออกไปแล้วจะไม่ยอมรับได้อย่างไรจึงตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคิดเช่นนั้นก็ดีแล้วอย่าสนใจผลลัพธ์มากเกินไปเลยไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ อย่างไรก็ต้องให้เด็กนี่ขอโทษเจ้าอยู่ดี ครั้งนี้ถือว่าพวกเจ้าขอคำแนะนำ และเรียนรู้ซึ่งกันและกันมีการเรียนรู้แล้วนำมาแก้ไขก็ดีแล้ว” จากนั้นเขาก็พูดให้กำลังใจแล้วยังรั้งให้เขาอยู่ทานอาหารด้วยกันจากนั้นก็ส่งเขากลับอย่างสุภาพ
ทันทีที่หยางชูจากไปจงรุ่ยแทบรอไม่ไหว “ท่านพ่อเหตุใดต้องเกรงใจเขาเพียงนั้นด้วย หรือท่านคิดว่าลูกจะแพ้เขางั้นหรือ”
ทันทีที่เขาพูดจบก็ถูกดีดที่หน้าผากท่าทีเมตตาของจงซู่เมื่อครู่นี้หายไปทันทีเขาจ้องลูกชายของตนเขม็ง “เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้กับข้าอีกหรือ ก่อนข้าออกไปเจ้าพูดว่าอย่างไร ตบอกบอกเป็นมั่นเหมาะว่าจะจบเรื่องนี้ดีๆ ผลลัพธ์เป็นอย่างไร คิดเป็นตุเป็นตะว่าจะฝึกซ้อมรู้ผลแพ้ชนะก่อเรื่องจนข้าลาดตระเวนชายแดนต่อไปไม่ไหวจนต้องรีบกลับมา”
จงรุ่ยถูกอีกฝ่ายตบจนมึนงงเขาประท้วงออกไปว่า “ฝึกซ้อมอะไรกันลูกมั่นใจว่าเอาชนะเขาได้!”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” จงซู่เยาะเย้ยลูกชายที่โง่เขลาของเขา
“จากนั้น…” จงรุ่ยชะงักไปชั่วครู่ จริงสิแล้วหลังจากนั้นล่ะ พวกเขาพาหยางชูมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อเอาชนะเขา แต่เพื่อหยั่งเชิง…
“รู้หรือยังว่าเหตุใดพ่อถึงเลี่ยงออกไป”
“รู้แล้วขอรับ” จงรุ่ยก้มศีรษะลง
“เรื่องนี้หากไม่ระวังสามารถเกิดเคราะห์ร้ายขึ้นกับตระกูลเราได้เลย ดังนั้นข้าถึงยกมันให้เจ้าหากเกิดอะไรขึ้นมา เจ้าจะเป็นผู้ที่ปกป้องครอบครัวของเราหากเข้าไปเกี่ยวพันเพื่อพ่อพวกเจ้าคงหนีไม่พ้น!”
จงรุ่ยเถียง “แต่ท่านพ่อพวกเราแค่สัญญาว่าจะสร้างโอกาสให้พวกเขาให้พวกเขาแยกแยะเอง แม้ว่าเราจะพนันกับคุณชายหยางก็ไม่มีผลอะไร…”
“สมองเจ้าถูกประตูหนีบเข้าแล้วหรืออย่างไร” จงซู่ตำหนิ “เจ้าเข้าร่วมการฝึกซ้อมกับเขา หากเกิดอะไรขึ้นกับเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร” จงรุ่ยอ้าปากค้าง
“พวกเราทำเช่นนั้นอาจดูไม่น่าฟัง แต่เป็นการวางกลอุบายลับหลังฝ่าบาท หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณชายหยาง ฝ่าบาทก็ต้องทราบว่าพวกเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เมื่อถึงตอนนั้นครอบครัวของเราก็จบสิ้นแล้ว! พวกเราทำได้เพียงซื่อสัตย์ต่อผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น พวกเราต้องไม่เกี่ยวข้องกับการแย่งชิงตำแหน่งไท่จื่อจะถูกสงสัยสักนิดก็ไม่ได้!”
“แต่พวกเราล่อเขามาที่นี่ก็ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องไปแล้วเหตุใดตอนนั้นทำได้ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้เล่า”
“ในจวนผู้บัญชาการทัพพวกเรามีความมั่นใจที่จะควบคุมสถานการณ์โดยรวม แน่ใจว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรกับคุณชายหยางไม่ว่าคนเหล่านั้นจะหยั่งเชิงได้หรือไม่ แต่เมื่อหมดเวลาพวกเราจะส่งเขากลับไปแล้วเรื่องหลังจากนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้ว แต่หากมีการฝึกซ้อมกันเกิดขึ้นเจ้าสามารถรับประกันได้หรือไม่”
ในที่สุดจงรุ่ยก็เข้าใจ “ดังนั้นพวกเราต้องแน่ใจว่าระหว่างการฝึกซ้อมเขาจะไม่เป็นอะไร”
“ใช่” จงซู่หรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าเด็กนั่นดูเหมือนเป็นคนสำราญ แต่มีอุบายมากกว่าเจ้า เกรงว่าเขาจงใจทำให้เกิดสถานการณ์วุ่นวายเพื่อดูว่าพวกเรามีแผนอะไร แต่พวกเราต้องแน่ใจว่าเขาจะปลอดภัยพวกเราทำได้แค่ระมัดระวัง และเอาตัวรอดในรอยแยกเท่านั้น…”
พูดถึงเรื่องนี้จงซู่ก็ถอนหายใจ และตบบ่าบุตรชาย “บอกตามตรงว่าพ่อไม่เชื่อพวกเขาคนกลุ่มนั้นอดทนมาหลายปีคิดจะทำอะไรกันแน่พ่อเองก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้คิดแค่ว่าหากแก้ปัญหาได้อย่างปลอดภัยก็จะปลอดภัย แต่ถ้าคุณชายหยางไม่ให้ความร่วมมือตอนนี้ก็ทำได้แค่เสี่ยง พ่อรู้ว่าทำผิดต่อเจ้าตอนนั้นผู้ใดใช้ให้ปู่ของเจ้าสับสน…ช่างเถอะ บุตรไม่พึงกล่าวถึงความผิดของบิดาพวกเราผ่านด่านนี้ไปได้ค่อยว่ากัน”
…………
[1] ลิ้นอาบยาพิษ : คนปากเสีย ชอบเสียดสีคนอื่น