คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 419 จุดประสงค์
“กลิ่นอะไรหรือ” งูขาวพูดว่า “ครั้งก่อนที่พวกเราอยู่ที่เขาเทียนเสิน…”
เขาเทียนเสินงั้นหรือ อยู่ห่างจากที่นี่ตั้งไกลยังทำให้งูขาวได้กลิ่นได้คนผู้นี้คงอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน
หมิงเวยครุ่นคิด และแล้วก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา นางเงยหน้ามองภูเขาโดยรอบแล้วเลิกคิ้ว หนิงซิวคิดจะเดินต่อ แต่เมื่อเห็นนางผิดปกติจึงหันหลังกลับไปถาม
“มีอะไรผิดปกติงั้นหรือ”
หมิงเวยชี้ไปที่บริเวณโดยรอบ “อาจารย์ดูสิ ถ้าหิมะรอบๆ ถล่มลงมาในเวลานี้ พวกเราก็จะถูกฝัง”
“ใช่ มีปัญหาอะไรหรือ”
พวกเขามีจำนวนมากเกินไปจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างสมบูรณ์ การเดินทางนี้จึงเลือกเส้นทางที่ค่อนข้างปลอดภัย ในกรณีที่มีหิมะถล่มอีกครั้งพวกเขายังสามารถรักษากองกำลังขนาดใหญ่ไว้ได้จากนั้นรีบเข้าช่วยเหลือ และถอยกลับได้อย่างรวดเร็ว
หมิงเวยพูด “ตามหลักแล้วพวกเราจะมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าเพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาใหญ่ แต่ถ้าหากมีผู้ใดจงใจกระตุ้นทั้งสองฝั่งพร้อมกันล่ะก็ พวกเราก็จะสูญเสียคนจำนวนหนึ่งเจ้าค่ะ”
หนิงซิวได้ยินความที่นางต้องการสื่อก็เลิกคิ้ว “จะบอกว่ามีคนจงใจงั้นหรือ”
หมิงเวยพยักหน้าช้าๆ หนิงซิวสังเกตลักษณะพื้นที่อย่างระมัดระวังอีกครั้งและกล่าวว่า “พวกเราต้องรีบไปเตือนตอนนี้ยังทัน”
“เจ้าค่ะ”
หนิงซิวหยิบดอกไม้ไฟแล้วขว้างขึ้นข้างบน
หยางชูเห็นสัญญาณก็รีบสั่งการ “เร็วเข้า บอกแม่ทัพจงให้เร่งความเร็วอพยพเดี๋ยวนี้” อาสวนตอบรับ
จงซู่ไม่คิดสงสัยเมื่อเขาพูดมาก็รีบสั่งกองหลังเร่งความเร็ว
วิ่งไปได้สองสามลี้ก็ได้ยินเสียงจากด้านบนเสียงนั้นดังก้องกังวานไม่หยุด เมื่อทุกคนแหงนหน้าขึ้นก็เห็นหิมะ และหมอกลอยปลิวว่อน หิมะก้อนใหญ่เลื่อนลงมาฝังเส้นทางที่พวกเขาเดินอยู่จนหมดแม้แต่ท้องฟ้าก็ยังถูกหิมะบดบัง
จงซู่เหงื่อตก หากช้ากว่านี้อีกนิดเดียวกองหลังหลายร้อยคนคงติดอยู่ข้างในแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความสามารถของหมิงเวยและหนิงซิวในใจ
คุณชายหยางผู้นี้ไปหายอดฝีมือเช่นนี้จากที่ใดกัน แม้ว่าชาติกำเนิดของเขาจะน่าอึดอัด แต่รายล้อมไปด้วยผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ ว่ากันว่าผู้ที่โชคดีจะดึงดูดผู้ที่มีความสามารถมาอยู่ข้างกายได้เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
เมื่อนึกถึงความคิดนี้จงซู่รีบปัดความคิดนี้ออกไปอย่างรวดเร็วนึกถึงคำสอนของบรรพบุรุษ ตระกูลจงปกป้องแผ่นดินภักดีต่อผู้ครองบัลลังก์เท่านั้น และไม่สามารถเข้าไปพัวพันกับการแย่งชิงบัลลังก์อย่างแน่นอน
ไม่นานหมิงเวยกับหนิงซิวก็ลงมาพวกเขาไปหาหยางชูจากนั้นเดินไปอยู่ตรงหน้าจงซู่
“แม่ทัพจง หิมะถล่มเมื่อครู่เป็นฝีมือของคนเจ้าค่ะ” หมิงเวยเข้าประเด็น
จงซู่ตกตะลึง “ท่านหมายถึงเป็นฝีมือของผู้ที่ล่อพวกเราออกมาหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “หากเป็นอย่างที่ข้าคาดเดาเอาไว้คงหนีไม่พ้นเผ่าหมาป่าหิมะเจ้าค่ะ”
จงซู่คิดตามแล้วพูดว่า “แปลกมากที่พวกเขาลงมือตอนนี้ หลังจากสงครามนองเลือดภายใน ตอนนี้ยังบุกมาทางใต้ไม่ใจร้อนเกินไปหรือ”
หยางชูขัดจังหวะ “แม่ทัพจงเท่าที่ข้าเห็นเป้าหมายของพวกเขาคือไม่บุกไปทางใต้”
“หมายความว่าอย่างไร”
หยางชูพูด “ซูถูผู้นั้น ข้าเคยมีโอกาสได้พบเขา เขาเป็นผู้ที่มีความมุ่งมั่นมาก เป็นผู้ที่หากโหดร้ายกับผู้อื่นจะโหดร้ายต่อตนเองมากขึ้น ตอนนี้เราเห็นว่าเขาเพิ่งรวมแปดเผ่าเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ดังนั้นเขาควรจะตั้งใจบีบบังคับคนที่เหลือมายึดเมืองเพื่อเติมเส้นทางให้เขา”
จงซู่คิดตามพวกเขาก็ตกใจจนตัวเย็น “คนผู้นี้โหดร้ายจริงๆ และในสถานการณ์เช่นนี้เขากล้าที่จะทำมันด้วย”
ตามปกติแล้วแปดเผ่าที่เพิ่งรวมเป็นหนึ่ง ตอนนี้ควรเป็นเวลาที่จะใช้วิธีทางการเมืองในการรวมชนชาติและฟื้นฟูแผ่นดิน รอให้ผ่านไปสองถึงสามปีให้ความบาดหมางค่อยๆ จางหายไป รอให้นักรบใหม่เติบโตก็ไม่สายเกินไปที่จะวางแผนใหม่อีกครั้ง
ผู้ใดจะรู้ว่าซูถูดุร้ายกว่าที่คิดเขาไม่เพียงแต่ไม่ยั้งตนเอง แต่ยังจงใจใช้โอกาสนี้กำจัดคนที่เห็นต่าง ให้เหล่าคนที่ไม่เชื่อฟังเขาไปทางใต้ และใช้พวกเขาโจมตีด่าน
ต้องรู้ว่าเหล่าหูเหรินผู้ไม่มีทางไปเพื่อที่จะมีชีวิตรอดจึงไม่คิดหวงแหนชีวิต
ด้วยวิธีนี้ไม่เพียงแต่อำนาจส่วนที่เหลืออ่อนแอลง แต่แคว้นฉีก็จะประสบเคราะห์ร้ายอีกด้วยเขาแค่เพียงนั่งเก็บเกี่ยวผลกำไรเท่านั้น
“ถ้าเป็นเช่นนี้การกบฏอย่างกะทันหันของเผ่าซีหรงก็เกี่ยวข้องกับเขาด้วยแน่” จงซู่คาดคะเน
หมิงเวยส่ายหน้า “เรื่องนี้พวกเราไม่ทราบ แต่เรามั่นใจได้ว่าคนของซูถูจับตาดูพวกเราอยู่เจ้าค่ะ”
จงซู่พูด “ในสถานการณ์นี้เราไม่มีทางหนีทำได้แค่ไปที่เนินกรวดแล้วค่อยว่ากัน รอคว้าเนินกรวดกลับคืนมาทีเดียวถึงสามารถคิดแผนต่อไปได้”
เมื่อครู่หิมะเพิ่งถล่มตัดหนทางถอยกลับของพวกเขากล่าวได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเขาแย่มาก ข้างหน้ามีเนินกรวดข้างหลังไม่มีทางให้ถอย หน่วยขนส่งเสบียงของกองทัพก็ไม่ได้ตามมาด้วยเสบียงที่พกมามีจำกัดไม่มีทางอื่นใดนอกจากไปยึดเนินกรวดกลับคืนมาในคราวเดียว
จงซู่เป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงแม้ในสถานการณ์เช่นนี้ เขายังสงบ และตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมที่สุด กองทัพฉีรีบพักผ่อนและออกเดินทางต่อ
หมิงเวยพูดคุยกับหยางชูเป็นการส่วนตัว “ข้ามีความคิดหนึ่งเจ้าค่ะ”
“อะไรหรือ”
“เท่าที่ข้ารู้ราชวงศ์เว่ยตะวันตกควรก่อตั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว แม้ว่าจะยังไม่บรรลุผลในตอนนี้ แต่ความคิดของซูถูสามารถเห็นได้จากเรื่องนี้ ดูเหมือนว่ามีแนวโน้มมากที่สุดที่เขาไม่ยอมแพ้จงใจขับไล่ส่วนที่เหลือออกไป จากนั้นจึงสนับสนุนให้เผ่าซีหรงก่อกบฏเพื่อตัดกำลังของกองกำลังที่คุ้มครองแคว้นฉี หากแม่ทัพจงถูกเรื่องนี้ขัดขวาง กองทัพซีเป่ยจะวุ่นวายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นเขาจะใช้โอกาสในการก่อตั้งราชวงศ์เว่ยตะวันตก แคว้นฉีไม่สามารถออกทัพได้ทำให้เขาสามารถพัฒนาแผ่นดินได้อย่างต่อเนื่อง”
หยางชูสูดลมหายใจ “เป็นคนโหดร้ายจริงๆ”
ปีนี้มีชาวหูในแปดเผ่าเสียชีวิตมากเกินไป ในกรณีนี้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะพักฟื้นและฟื้นฟูบ้านเมืองจึงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าซูถูจะมีความคิดเช่นนี้
อย่างไรก็ตามศพอยู่ทั่วทุกแห่งเป็นการดีกว่าที่จะปราบปรามกองทัพแคว้นฉีในคราวเดียวส่วนเรื่องก่อตั้งราชวงศ์เว่ยตะวันตกค่อยว่ากัน
ไร้ความปราณี ช่างไร้ความปราณีจริงๆ
“เช่นนั้น…” หยางชูมองแผ่นหลังของจงซู่
ประโยคหลังเขาไม่ได้พูด เขาไม่พูดออกมาหมิงเวยก็เข้าใจเป็นอย่างดี
“เขาไม่เพียงแต่คำนวณแนวโน้มของพวกหูเหรินที่เหลือ แม้กระทั่งเผ่าซีหรงยุยง แล้วยังประเมินปฏิกิริยาของแม่ทัพจงด้วย…”
หยางชูพยักหน้าเงียบๆ กล่าวอีกนัยหนึ่งการเดินทางของจงซู่นี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ และเรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้
อิทธิพลของแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในกองทัพนั้นยากที่จะจินตนาการ ตราบใดที่จงซู่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยเงาของคนที่มีชื่อเสียงกองทัพซีเป่ยจะมั่นคง แต่ถ้าหากเขาเสียชีวิตขึ้นมา ผู้ใดจะประคับประคองชื่อเสียงของกองทัพซีเป่ยเล่า
บุรุษตระกูลจงที่อยู่ในรุ่นเดียวกับเขาส่วนใหญ่เสียชีวิตในสนามรบ ส่วนที่เหลือมีความถนัดในระดับปานกลาง และไม่สามารถแบกรับความรับผิดชอบของผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้จงรุ่ยเองก็เด็กนักและยังไม่โตพอ
เช่นนี้มีเพียงคนอื่นเท่านั้นที่สามารถเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้
แต่กองทัพฝ่ายซ้ายเป็นที่รู้จักในนามกองทัพตระกูลจงดังนั้นอิทธิพลของตระกูลจงในกองทัพยังจำเป็นต้องให้พูดอีกหรือ เมื่อถึงเวลานั้นพลังการต่อสู้จะลดลงอย่างแน่นอน
“เกรงว่าหากพวกเราไปที่เนินกรวดมันจะเป็นความท้าทายที่ยากขึ้น” หยางชูพึมพำ
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นและสังเกตภูเขาโดยรอบ “พวกเขาคิดจะคำนวณพวกเรา จะให้พวกเรารอเช่นนี้หรือ ตั๊กแตนตำข้าวกำลังจะจับจักจั่นกินเป็นอาหาร[1] รู้ได้อย่างไรว่าไม่มีนกกระจอกเหลือง”
“ท่านคิดจะโต้กลับหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “ในเมื่อพวกเขาทำให้เกิดหิมะถล่มพวกเขาต้องทิ้งร่องรอยไว้แน่ เราสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อค้นหาที่อยู่ของพวกเขาได้เจ้าค่ะ”
…………..
[1] ตั๊กแตนตำข้าวกำลังจะจับจักจั่นกินเป็นอาหาร หารู้ไม่ว่าข้างหลังยังมีนกกระจอกเหลืองคอยจับจ้องจิกกินอยู่ : มองเห็นแต่สิ่งที่จะได้อยู่ข้างหน้า แต่หารู้ไม่ว่ายังมีภัยมหันต์กำลังจะตามมา