คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 423 ทําศึก
คืนนี้จงซู่ไม่ได้นอนแต่อย่างใด หน่วยสอดแนมนำข่าวกลับมา และเขามองไปที่แผนที่เพื่อหารือเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับทหารคนอื่นๆ เมื่อวางแผนกันเสร็จเขาค่อยล้างหน้าเปลี่ยนชุดนอน
เวลานั้นก็เข้าใกล้ยามสามแล้ว หลังจากนอนไปไม่ถึงสองชั่วยามหัวหน้าพ่อครัวก็จัดการฝังหม้อเพื่อทำอาหาร จากนั้นกองทัพทั้งหมดก็ออกเดินทาง เหล่าขุนศึกตระกูลหยางย้ายไปแนวหน้า แต่หมิงเวยกับหนิงซิวอยู่แนวหลัง
หยางชูพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกท่านเป็นยอดฝีมือ แต่การต่อสู้ระหว่างสองกองทัพไม่เหมือนกับการต่อสู้เพื่อชนะยิ่งกว่านั้นพวกท่านมีทักษะทรงพลัง แทนที่จะล้อมเมืองกับพวกเราสู้ไปมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่กว่านี้จะดีกว่า”
หมิงเวยเชื่อว่าในเรื่องการต่อสู้นี้ นางและหนิงซิวถูกจับมัดให้อยู่ด้วยกันและพวกเขาไม่สามารถแสดงความสามารถได้เต็มที่เท่ากับขุนศึกเหล่านั้น พวกเขารวมตัวกันจัดรูปแบบค่ายกลอย่างเครื่องบดเนื้อเพื่อฆ่าได้มากเท่าที่พวกเขาต้องการ
“ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราเจ้าเองก็เหมือนกัน สวมเกราะให้ดี กระบี่ไร้ตา ดังนั้นต้องระวังให้มาก”
หยางชูยิ้มใบหน้ามีความเย่อหยิ่งเล็กน้อย “ท่านคิดว่าข้าเป็นแค่วิชากระบี่งั้นหรือ ตั้งแต่เล็กจนโตสิ่งที่ท่านปู่ท่านย่าสอนข้ามากที่สุดก็คือการขี่ม้า และการเป็นนักแม่นธนู” พูดจบอาสวนก็ได้นำชุดเกราะและหอกยาวมาให้
หยางชูถือมีดหอกแล้วทอดถอนใจ “มีดหอกนี้เป็นอาวุธของท่านปู่ซึ่งติดตามท่านไปในสนามรบมาหลายสิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าเปื้อนเลือดศัตรูไปมากเพียงใด เดิมทีข้าคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้มันแล้ว”
ครั้งหนึ่งเขาเคยบ่นท่านปู่ท่านย่าทั้งๆ ที่รู้ว่าสถานะของเขาน่าอับอายแล้วเหตุใดต้องสอนเขามากมายเพียงนี้ด้วย จนถึงตอนนี้เขาถึงได้ตระหนักถึงความรู้สึกของพวกเขาแล้ว
แม้จะไม่มีโอกาส แต่การเป็นคนที่มีประโยชน์ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรใช้หรอกหรือ
ความมหัศจรรย์ของชีวิตคือไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต เดิมทีคิดว่าเมื่อเข้าตาจน รัตติกาลไร้แสง ไม่แน่ว่าเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายก็อาจเจอเรื่องราวที่ดีที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนเป็นแสงบนขอบฟ้ายามรุ่งสางได้
หลังจากที่เขาสวมชุดเกราะแล้วก็มองไม่เห็นคราบของคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่แสนหยิ่งผยองอีกต่อไป กลับแทนที่ด้วยคราบแม่ทัพหนุ่มผู้กล้าหาญ หยางชูบอกลาพวกเขา
“ข้าจะระวัง พวกท่านอยู่แนวหลังสนใจเรื่องเกาทัณฑ์ให้ดี เมื่อเราล้อมเมืองระดมไพร่พลตีเมืองเสร็จพวกเราจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งตอนกลางคืน”
ห่างไกลออกไปมีคำสั่งให้รวมพล ไม่รอให้อาสวนเตือนเขาหมุนกายขึ้นนั่งบนหลังม้าว่างหยุนจุยแล้วขี่ออกไป
หมิงเวยมองหยางชูที่เดินจากไป และได้ยินหนิงซิวพูดว่า “เดิมทีข้าคิดว่าตนเองตามใจเขาไปแล้วรอให้เขาล้มเหลว และยอมแพ้ในสักวันหนึ่ง จากนั้นพาเขาไปจากที่นี่เพื่อทำให้คำขอสุดท้ายของท่านอาจารย์เป็นจริง ที่แท้ข้าคิดผิด นี่ต่างหากที่เป็นเส้นทางของเขา”
หมิงเวยยิ้ม “มันไม่ง่ายเลยที่จะได้ยินคำสารภาพของอาจารย์”
หนิงซิวส่ายหน้า “หากข้าสามารถให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้ ข้าจะยอมรับความพ่ายแพ้ทำไมกัน ตอนนี้พอคิดดูอีกทีคำขอสุดท้ายของท่านอาจารย์เป็นเพียงทางเลือกยามที่จนปัญญาที่แท้ท่านไม่ได้หวังให้เลือกทางนี้”
หมิงเวยอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเทพกระบี่ในความทรงจำเขาในชาตินั้นเร่ร่อนอยู่ตัวคนเดียว มองผู้คนล้มตาย ครอบครัวพัง อาณาจักรล่มสลาย สิ่งที่ทำได้มีเพียงแกว่งกระบี่เพียงลำพังวิ่งเต้นบากบั่นเป็นพันลี้บุกเข้าทำลายกองทัพนับพัน และตัดหัวแม่ทัพของศัตรู และนี่เป็นเพียงการระลึกถึงดวงวิญญาณของผู้ตายและการปลอบโยนตนเอง
โชคชะตาเปลี่ยนไม่ได้อำนาจแผ่นดินยิ่งเปลี่ยนไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงปกป้องค่ายกลขนาดใหญ่ที่เขาหมางชานเพื่อรอโอกาสลมๆ แล้งๆ
หากนี่คืออนาคตของเขาแล้วอันตรายตอนนี้คืออะไรกัน อย่างน้อยเขาก็ต่อสู้อย่างหนักเพื่อโชคชะตาของเขา
ดาวมารอันโดดเดี่ยว
หวังว่าครั้งนี้เขาจะไม่ต้องมายุ่งกับคำๆ นี้อีก
…………
การปิดล้อมตีเนินกรวดเริ่มขึ้นก่อนรุ่งสาง พวกเขาโชคดีที่ได้พบว่าทหารป้องกันไม่ได้เสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ทั้งหมด ภายใต้การนำของคนเหล่านี้ พวกเขาได้ต่อสู้กับหูเหรินอย่างดุเดือด
การที่จงซู่ส่งกองกำลังเสริมมาครั้งนี้เดิมทีนำมาห้าพันนาย แต่เพราะก่อนหน้านี้ประสบอุบัติเหตุหิมะถล่มจึงสูญเสียจำนวนคนบางส่วนไปพูดได้เลยว่าพวกเขาไม่มีที่ว่างสำหรับความพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้
เรื่องพวกนี้พวกเขามองออกยิ่งไม่ต้องพูดถึงจงซู่ เมื่อเฝ้าดูกองทัพซีเป่ยแบ่งหน้าที่ปิดล้อมเมืองกันอย่างเป็นระเบียบแบบแผน หมิงเวยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “แม่ทัพที่มีชื่อเสียงก็คือแม่ทัพที่มีชื่อเสียง”
หนิงซิวเงียบทั้งเขาและหมิงเวยไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ แต่ได้ดูการต่อสู้บนเนินเขาด้านหลัง อันที่จริงทั้งสองเพียงแค่นั่งชมการต่อสู้ไปพลางๆ เท่านั้นตอนนี้ทั้งคู่กำลังนั่งเกวียนแกะสลักงานไม้ ทำทีละส่วนแล้วประกอบเข้าด้วยกัน แม้ว่าจะดูน่าเกลียด แต่ก็สามารถมองออกว่าคืออะไร
นี่คือนกเป็นนกขนาดใหญ่ที่ให้คนขี่และบินได้ “บินได้จริงๆ หรือ” หนิงซิวสงสัยมาก
หมิงเวยตอบ “อาจารย์ไม่เคยเห็นนกตัวใหญ่ของเสวียนเฟยหรือ”
แน่นอนว่าหนิงซิวเคยเห็นในตอนที่หยางชูถูกคุมขังเขาก็ใช้สิ่งนี้ลักลอบพาเขาออกมา เพียงแต่การได้เห็นว่าสิ่งนี้ประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างไรด้วยตาตนเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ
“มันเป็นเพียงกลไกชนิดหนึ่งเหมือนวัวไม้ม้าเลื่อน[1] แต่ต้องใช้ยันต์กระตุ้นซึ่งยันต์ไม่ได้สร้างได้ง่ายๆ สิ่งนี้จึงไม่ง่ายที่จะส่งเสริม หากคิดจะใช้ลำเลียงพลทหารคงไม่สามารถทำได้ มันทำได้เพียงส่งหนึ่งคนเพื่อส่งข่าวเท่านั้นเจ้าค่ะ”
พูดจบหมิงเวยรู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย “อาจารย์ มือของท่านสวยมากเหตุใดถึงทำของสิ่งนี้ออกมาได้น่าเกลียดเช่นนี้เล่า”
หนิงซิวตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ขอโทษด้วย ข้าไม่เคยเรียนมาก่อน” การต่อสู้ครั้งนี้ถูกกำหนดให้เป็นโศกนาฏกรรม
กองทัพซีเป่ยไม่มีทางให้ถอยหูเหรินพวกนั้นก็เช่นกัน ทหารของซูถูอยู่ด้านหลัง หากพวกเขาไม่สามารถยึดเนินกรวดได้ พวกเขาจะต้องพบกับการไล่ตามฆ่าที่โหดร้ายมากขึ้นไม่มีทางรอดได้เลย พอหมิงเวยนึกถึงแผนการของซูถูก็รู้สึกหนาวยะเยือกที่กระดูก
มีบางคนในโลกนี้ที่สามารถทำสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถทำได้ เดิมทีนางใช้คำเหล่านี้เพื่อเกลี้ยกล่อมหยางชู แต่ตอนนี้นางเข้าใจความน่ากลัวของมันอย่างลึกซึ้งแล้ว
หลังจากการหยั่งเชิงและพุ่งเข้าใส่ในตอนต้นสุดท้ายเหลือเพียงการสังหารนองเลือด ในสนามรบโชคชะตาไม่ใช่โชคชะตา คนไม่ใช่คน
จงซู่มักจะมอบเป็นรางวัลใหญ่ และหูเหรินมักมีประเพณีมอบกะโหลกสำหรับผู้ที่มีความดีความชอบทางทหาร ดังนั้นฉากดังกล่าวสามารถเห็นได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพแคว้นฉีหรือกองทัพหู การฟันคู่ต่อสู้แล้วเอาศีรษะของอีกฝ่ายผูกไว้กับเอวจากนั้นก็ฆ่าฟันต่อ
หมิงเวยส่ายหัว “หูเหรินพวกนี้ยังไม่เชี่ยวชาญเรื่องปกป้องเมือง!” ถึงได้ถูกจงซู่หลอกตั้งค่ายกลต่อสู้ง่ายเช่นนี้ เมื่อไม่มีการตอบสนองหมิงเวยหันหน้าและเห็นใบหน้าซีดเซียวของหนิงซิวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลก
“อาจารย์ ท่านกลัวหรือเจ้าคะ”
หนิงซิวเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “กระหายเลือดมากเกินไป”
เขาเคยฆ่าคน แต่ฉากที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมานั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการต่อสู้ของคนกว่าร้อยคนในตอนที่กวาดล้างพวกโจร
“นี่ไม่นับว่าเป็นการกระหายเลือดเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดเสียงเรียบ “อย่างน้อยพวกเขาล้วนเป็นทหาร เป็นคนที่ใช้การสังหารเป็นหน้าที่หลักที่โหดร้ายกว่านั้นคือการปฏิบัติของประชาชนเหมือนสัตว์ เหยียบย่ำและฆ่าอย่างป่าเถื่อนเสียมากกว่า”
หนิงซิวมองนางด้วยความแปลกใจ “ท่านเคยเห็นหรือ”
ภาพนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของหมิงเวย และทุกฉากก็น่าขยะแขยง
นางตอบช้าๆ “เคยเห็นสิเจ้าคะ”
…………
[1] วัวไม้ม้าเลื่อน : ใช้ขนส่งเสบียงอาหาร วัวไม้เเละม้าเลื่อนนี้มีลักษณะเป็นรถทำเป็นรูปวัว จึงเรียกว่า 木牛 วัวไม้ หรือโคยนต์ มีกลไกช่วยให้ผ่อนเเรงในการขนส่ง