คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 428 นกยักษ์
บทที่ 428 นกยักษ์
กัวสวี่รู้สึกหดหู่ใจมาก เผ่าซีหรงโจมตีอย่างรุนแรง กองทัพซีเป่ยต้องรีบเข้าไปเผชิญหน้าอย่างเร่งด่วนเขาที่อยู่ไป๋เหมินเซี่ยดูไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ตรวจสอบกิจการทหารงั้นหรือในเวลาสงครามผู้ใดจะให้ตนตรวจสอบกัน ตระกูลจงหรือ ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้อยู่คิดจะไปสั่นคลอนจิตวิญญาณทหารหรืออย่างไรกัน
กัวสวี่เป็นกังวล แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจะไม่มีโอกาสได้ความดีความชอบเลย! หลังกลัดกลุ้มใจมาสองวันในที่สุดไป๋เหมินเซี่ยก็ได้รับข่าวจากเนินกรวด เส้นทางทางเหนือเกิดหิมะถล่มอีกครั้งทำให้ไม่สามารถเดินทางผ่านไปได้เลยจนกว่าหิมะจะละลาย
จงซู่ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วแม้แต่หยางชูก็เงียบหายไปไม่ได้ข่าวคราวใดๆ
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจตนทำให้กัวสวี่รู้สึกได้ถึงวิกฤติ เขาถูกลดตำแหน่งและถูกไล่ออกจากเมืองหลวงชั่วคราว หากไม่รู้สึกถึงการมีอยู่เช่นนี้บางทีฮ่องเต้อาจจะลืมเขาไปแล้ว คิดไปคิดมาเขาก็หางานให้ตนเองทำ
“ไป พวกเราไปสำรวจสถานที่จริงกันไปดูว่าทางเหนือเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
ผู้เป็นหลานชายตกใจมาก “ท่านลุงหก คุณชายหยางพาเหล่าขุนศึกที่ดุร้ายมากมายเช่นนั้นไปยังถูกฝังกลบพวกเราไปไม่รนหาที่ตายหรอกหรือ”
กัวสวี่มะเหงกไปที่หัวของหลานตน “พูดอะไรน่ะ” ยังไม่ทันเคลื่อนไหวก็สาดน้ำเย็นใส่ตนเองก่อนมีเช่นนี้ด้วยหรือ
“หรือไม่ใช่เล่าขอรับ” ผู้เป็นหลานชายรู้สึกขุ่นเคืองมาก “ท่านเป็นขุนนางไม่ควรไปยุ่งกับพวกเขามิใช่หรือ”
กัวสวี่พูด “ก็เพราะเหตุนี้ข้าถึงต้องไป! เจ้าก็เห็นว่าอยู่ที่นี่มีประโยชน์อะไร ปกติทหารเหล่านี้มองเราด้วยความอ่อนน้อม เมื่อทำสงครามพวกเขาก็วางมาดใหญ่โต หากไม่คิดหาวิธีรอให้สงครามจบลงกองทัพซีเป่ยกำลังยุ่งแล้วพวกเราล่ะ เดินหน้าหมองกลับเมืองหลวงงั้นหรือ เดิมทีข้าทำผิดพลาดจนต้องออกจากเมืองหลวง หากกลับไปโดยไร้ความดีความชอบติดมือกลับมาด้วยการกลับเข้าไปยังราชสำนักคงยาก!”
“เข้มงวดเพียงนั้นเลยหรือ!” หลานชายถาม “ไม่มีอย่างอื่นให้ทำแล้วหรือขอรับ”
กัวสวี่ถอนหายใจ “ทุกคนรู้ดีว่าความมั่งคั่งมักมาจากภัยอันตราย ในเมื่อมายังซีเป่ยผ่านความยากลำบากมาถึงเพียงนี้แล้วทำไมจะลำบากอีกไม่ได้เล่า ยังจำที่ลุงติดตามอาจารย์หมิงจิ้งได้หรือไม่ นอกจากเขาจะอยู่ในลัทธิขงจื๊อแล้วยังเชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์อีกด้วย ตอนที่ลุงยังเด็กลุงเคยเรียนกับเขาสำรวจแม่น้ำขุนเขาตลอดทาง วิชาคานอวี่[1] นี้ลุงรู้เพียงเล็กน้อยกองทัพซีเป่ยไม่มีคนมีความสามารถด้านนี้ หากลุงสามารถหาทางช่วยจงซู่ได้แม้จะพบเพียงศพของเขาลุงก็สามารถใช้สิ่งนี้ไต่ไปอยู่ระดับสูงในกองทัพซีเป่ย ในเรื่องความดีความชอบข้าคงมีส่วนบ้าง หากโชคดีไม่แน่ฝ่าบาทอาจเรียกให้ลุงกลับไปยังราชสำนักอีก”
“อย่างนี้นี่เอง!” หลานชายเพิ่งเข้าใจแล้วทำท่าทางประจบสอพลอ “ท่านลุงหกเก่งมาก เก่งทุกอย่างจริงๆ!”
กัวสวี่ชำเลืองมองเขา “รีบไปกันเถอะพวกเราออกเดินทางกันเลย”
“เร็วเพียงนั้นเลยหรือ”
“คนไม่แน่ว่าอาจถูกฝังไปแล้วจะไม่ให้เร็วได้อย่างไร” กัวสวี่เตะก้นเขา “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว!”
…………
จงรุ่ยเมื่อได้รับข่าวก็ประหลาดใจ “ใต้เท้ากัวจะไปตามหาท่านพ่อ ไม่หรอก เขาเป็นขุนนาง อากาศเย็นเช่นนี้แม้แต่คุณชายหยางก็ยังไม่กลับมา หากเกิดเรื่องกับเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร”
แต่ทหารคนอื่นกลับคิดต่างออกไป “ท่านแม่ทัพให้เขาไปเถอะขอรับ! ขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกัน เขาเดินทางมาซีเป่ยพูดตรงๆ คือมาจับผิดพวกเราตอนนี้เขากำลังหาทางด้วยตนเองดีกว่าขวางทางพวกเรา”
จงรุ่ยลังเล “ถึงจะพูดเช่นนั้นมันก็เกี่ยวกับชีวิตหนึ่งอยู่ดี”
อีกฝ่ายพูดว่า “ใต้เท้ากัวผู้นั้นเป็นคนที่ออกมาจากราชสำนัก ท่านลองคิดดู ผู้อาวุโสจะบ้าระห่ำเช่นนี้หรือ เขาจะต้องมีความมั่นใจถึงทำเช่นนั้นได้หากท่านห้ามเขา ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ซาบซึ้งท่าน แต่ยังอาจเกลียดท่านด้วยซ้ำจะกังวลไปทำไมขอรับ”
เหตุผลนี้โน้มน้าวใจจงรุ่ย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ ปล่อยเขาไป”
…………
ซูถูเข้ามาใกล้เมืองและเผชิญหน้ากับกองทัพแคว้นฉี ทั้งสองฝ่ายยังไม่ลงมือ เพียงแต่มองอยู่ไกลๆ
หมิงเวยไม่เข้าใจเรื่องสงครามดังนั้นจึงเจรจากับหยางชูว่า “ข้าจะกลับไปที่ไป๋เหมินเซี่ยเพื่อรายงานข่าวหากพวกเขาคิดว่าพวกเราถูกหิมะกลบฝังคงไม่รู้ว่าจะมาช่วยอย่างไร”
หยางชูเห็นด้วย “ไปหาท่านอาจารย์ให้เขาเขียนจดหมายถึงจงรุ่ยเพื่ออธิบายสถานการณ์ทางนี้”
หมิงเวยแซวเขา “ตอนนี้ท่านเรียกอาจารย์ได้คล่องปากแล้วหรือเจ้าคะ”
หยางชูหัวเราะ “โอกาสมาแล้วข้าจะไม่คว้าได้อย่างไร แม้ว่าความสัมพันธ์นี้จะหายไปทันทีที่ออกจากเนินกรวด อย่างไรมิตรภาพก็ยังคงอยู่ฐานะและชื่อเสียงเป็นเรื่องเท็จ หากติดต่อกันอยู่ตลอดความรู้สึกนั้นจะกลายเป็นจริง”
“ท่านฉลาดมากเจ้าค่ะ”
ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกไม่กี่คำหมิงเวยก็ไปพบจงซู่ จงซู่ใจดีกับนางมาก เขาไม่ปฏิบัติต่อนางเหมือนสตรีที่หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน เขาปฏิบัติต่อนางไม่ต่างจากการปฏิบัติต่อแขก
นางบอกความตั้งใจของตนเองจงซู่รู้สึกประหลาดใจ “มีวิธีที่กลับไปได้ด้วยหรือ”
หมิงเวยตอบตามความจริง “ในสำนักมีวิชาแขนงต่างๆ ซึ่งสามารถอาศัยพลังของกลไกได้ ถึงแม้จะมีที่นั่งแค่คนสองคนเท่านั้น แต่ถ้าเป็นส่งจดหมายไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี หากรุ่ยเอ๋อร์รู้ว่าข้าปลอดภัยคงมีความมั่นใจมากขึ้น”
จงซู่เรียกองครักษ์คนสนิทเขาเขียนจดหมายอย่างรวดเร็วประทับตราแล้วส่งให้แก่นางแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าแม่นางไม่ใช่คนธรรมดาที่ไม่สำคัญ แต่ภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะก็อันตราย หากมีบางอย่างที่ท่านทำไม่ได้ความปลอดภัยของตัวท่านเองคือสิ่งสำคัญที่สุด”
หมิงเวยตอบรับและกลับไปเตรียมตัว ในวันเดียวกันนั้นนางขี่นกตัวใหญ่ออกจากเนินกรวด สถานการณ์นี้ดึงดูดความสนใจของกองทัพหูเหริน
“ต้าห่าน ดูนั่น!”
ซูถูมองไปที่นกตัวใหญ่ที่บินออกไป และถอนหายใจ “ไกลเกินไปไม่เช่นนั้นก็ยิงโดนได้แล้วเอาไว้ค่อยดูว่ามันคืออะไรจะดีกว่า”
หลังจากคิดดูแล้วเขาก็ดูไม่พอใจเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่าสตรีจงหยวนเคารพสามีสูงสุดหรือ ข้าเต็มใจที่จะให้ตำแหน่งหวางเฟยแก่นางแล้วยังรับปากว่าบุตรของนางจะได้สืบราชบัลลังก์ต่อไปเหตุใดนางยังปฏิเสธ เมื่อกลับแคว้นฉีนางก็ไม่ได้อะไรเลยเพราะเหตุใดกัน”
ทหารของเขาจะตอบคำถามนี้ได้อย่างไรสตรีจงหยวนเป็นอย่างไรเขาไม่รู้หรอก…
ซูถูส่ายหัวและทิ้งเรื่องนี้ไว้เบื้องหลัง ในเมื่อไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมกันได้จึงมีทางเดียวเท่านั้น นั่นคือการฆ่านาง!
…………
กัวสวี่ออกจากประตูเมืองอย่างราบรื่น และขี่ม้าที่จงรุ่ยเตรียมไว้สำหรับเขามุ่งหน้าไปทางเหนือ เขาเป็นคนมีความสามารถจริงๆ เขาสำรวจตลอดจนสุดทางทำให้เขาพบสถานที่ที่จงซู่ใช้ซ่อนตัวเมื่อเจอหิมะตกหนักครั้งแรก
“มีร่องรอยของการตั้งค่ายพัก” เขาพึมพำ “ดูเหมือนว่ามีโอกาสสูงที่แม่ทัพจงยังมีชีวิตอยู่”
ข้อสรุปนี้ทำให้เขามีกำลังใจ “ไป หาต่อ!”
ทั้งสองได้ค้นหาเป็นเวลาสองวัน และร่องรอยบนเส้นทางก็น้อยลงเรื่อยๆ และในที่สุดก็พบว่าถนนข้างหน้าถูกกลบไว้อย่างสมบูรณ์
“ท่านลุงหกเราเดินทางต่อไม่ได้หรือ” หลานชายถามเสียงสั่น
กัวสวี่ส่ายหัวอย่างหนัก “นี่คือร่องรอยของหิมะถล่มครั้งที่สองหากจงซู่ยังไม่ตาย ตอนนี้ควรจะอยู่ที่เนินกรวด” คราวนี้ไม่มีทางออกจริงๆ และทั้งสองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหันหลังกลับ แต่หิมะถล่มรุนแรงมากจนขาของเขาแข็งเนื่องจากความหนาวเย็นจึงบังเอิญเหยียบลงหลุมแห่งหนึ่ง และกำลังจะร่วงหล่นลงมา
“ท่านลุงหก!” หลานชายตะโกน แต่เขาเอื้อมมือไปรับไม่ถึงเขารู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นเองมีนกตัวใหญ่บินผ่าน และมีเชือกห้อยลงมาจากด้านบนเพื่อมัดตัวกัวสวี่ไว้
……………
[1] คานอวี่ : คนจีนโบราณประสบปัญหาสภาวะแปรปรวนของธรรมชาติ จึงได้ทำการสังเกตุลักษณะความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ภูมิประเทศ และธรรมชาติในบริเวณที่ตนเองอาศัย องค์ความรู้ที่ได้จากการศึกษาลักษณะธรรมชาติช่วยให้หลีกเลี่ยงสภาวะแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์ และสร้างสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่ ก่อประโยชน์ โดยการรู้จักปรับใช้พลังธรรมชาติอย่างฉลาด องค์ความรู้นี้เรียกว่า คานอวี่