คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 434 บุกโจมตียามค่ำคืน
กัวสวี่เริ่มเฝ้ารออย่างยากลำบาก หูเหรินที่มาแลกเปลี่ยนผักดองไม่เคลื่อนไหวมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เขาไม่ขยับเขยื้อนไปจากกำแพงเมืองเลยสักนิด
หูเหรินมาล้อมเมืองเขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ซ่อนตัว แต่ดวงตาของเขาเป็นประกาย แทบรอไม่ไหวที่โผล่หัวออกไปตะโกนว่า มีผู้ใดอยากแลกเปลี่ยนผักดองด้วยหรือไม่ ทหารชั้นผู้น้อยคุ้มครองเขาจนเหนื่อยก็ไม่กล้าผ่อนปรน
โชคดีที่กำแพงเมืองที่กลายเป็นน้ำแข็งนั้นปีนไม่ง่าย และกองทัพแคว้นฉีได้ปกป้องมันอย่างมั่นคงไม่เช่นนั้นหากหูเหรินปีขึ้นมา หัวของผู้อาวุโสกัวคงเป็นคนแรกที่รักษาไว้ไม่ได้
หลังจากเฝ้ามองเช่นนี้มานานกว่าครึ่งเดือนหูเหรินบางคนก็ทนไม่ไหว เมื่อเห็นว่าที่นี่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย กลางดึกวันหนึ่งผู้อาวุโสกัวได้ยินเสียงรบกวนของธรรมชาติ…
บนยอดเขาซูถูมองไปยังทิศทางของเมืองด่าน ใกล้จะสองเดือนแล้วทหารปกป้องเนินกรวดยังคงเป็นระเบียบ สมแล้วที่เป็นกองกำลังชั้นยอดของแคว้นฉี ทหารของจงซู่ ซึ่งทำให้เขาต้องรีบเร่งมากขึ้น
มีคนเช่นจงซู่อยู่ตราบใดที่แคว้นฉีไม่ตกอยู่ในความวุ่นวาย แผนที่จะบุกทางใต้เกรงว่าแม้แต่ไป๋เหมินเซี่ยก็ไม่สามารถบุกเข้าไปได้ แต่ได้ยินมาว่าบุตรชายคนโตของจงซู่ค่อนข้างแข็งแกร่งเช่นกัน เมื่อจงซู่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เขาคงต้องเติบใหญ่ขึ้น
หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีความหวังเลยอย่างน้อยสามสิบปี อย่างไรก็ตามหากจงซู่ถูกฆ่าตายในสงครามครั้งนี้ สถานการณ์จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ในตอนนั้นเขาได้สร้างอำนาจการปกครองอันเป็นหนึ่งเดียวที่นี่ กองทัพซีเป่ยที่จู่ๆ ก็สูญเสียผู้บังคับบัญชาดูแลตัวเองไม่ได้จะสามารถจัดการกับเขาได้อย่างไร
หากสามารถหาวิธีฆ่าจงรุ่ยก่อนที่เขาจะเติบโตขึ้นไม่ต้องใช้เวลาถึงสามสิบปีหรอก เพียงแค่สิบปีนักรบคนใหม่ของเผ่าก็สามารถเติบโตขึ้น และสามารถไปทางใต้ได้แล้ว!
ความคิดนี้วนไปมาอยู่ในหัวของซูถู และในที่สุดก็กลายเป็นความปรารถนาอันแรงกล้า มีเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น และหากไม่สามารถใช้ช่วงเวลานี้สังหารจงซู่ได้ก็ไม่มีความหวังแล้ว
ไม่ต้องให้เขาพูดอะไรมาก องครักษ์คนสนิทปาตงก็ได้ส่งคนไปสอบถามเรื่องนี้
ผ่านไปสักพักมีคนตอบกลับมาว่า “เผ่าเก๋อซางกับเผ่าอินทรีก่อเรื่องขอรับ บอกว่าเสบียงไม่พอ”
ความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูถู
เสบียงไม่พออะไรกันก่อนเคลื่อนทัพได้ออกคำสั่งให้แต่ละเผ่านำเสบียงอาหารมาเพียงพอเป็นเวลาสามเดือนยิ่งไปกว่านั้นเผ่าเก๋อซางและเผ่าอินทรีได้พึ่งพาอาศัยเขาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ความสูญเสียในสงครามภายในไม่หนักมากไม่ถึงขนาดที่ยอดฝีมือกินไม่อิ่ม
ที่ก่อเรื่องเช่นนี้เพราะกำลังขอผลประโยชน์จากเขารู้สึกว่าตนเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการยิ่งใหญ่ที่รวมแปดเผ่าเป็นหนึ่งจึงไม่เห็นด้วยกับความเหนือกว่าของเผ่าหมาป่าหิมะจึงต้องการตัดเนื้อบางส่วนจากเขา
“ไปบอกพวกเขาว่าหลังจากการต่อสู้เสร็จสิ้น วัวแกะของเผ่าฉีหูจะแบ่งให้พวกเขาหากยังก่อเรื่องอีกก็ไสหัวออกไปซะ!”
“ขอรับ” ไม่นานค่ายก็เงียบลง
ปาตงกล่าวว่า “ต้าห่าน ความอยากอาหารของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และหากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาต้องแยกย้ายออกจากกันแน่”
ซูถูพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อดทนกับข้าอีกหนึ่งเดือนทำเรื่องใหญ่ให้เสร็จก่อน หากถึงตอนนั้นค่อยจัดการ…” แววตาของเขาฉายแววสังหาร
ปาตงเข้าใจแล้วจึงพูดอย่างยินดีว่า “มันควรจะเป็นอย่างนี้พวกเขาพึ่งพาความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ของตนเอง ไม่ว่าอะไรก็ต้องการมากที่สุดมีสิทธิ์อะไรกัน! นักรบเผ่าหมาป่าหิมะคือผู้ที่มีส่วนร่วมมากที่สุดต่างหาก”
ซูถูไม่สนใจเขากำลังครุ่นคิดถึงวิธีล้อมเมือง ความสูญเสียจากการล้อมเมืองนั้นใหญ่มาก กองทัพแคว้นฉีสร้างกำแพงน้ำแข็งหูเหรินไม่มีอุปกรณ์มากนัก และเขาไม่สามารถทำลายประตูเมืองด้วยเครื่องขว้างหินได้
หากไม่มีการจำกัดเวลาจะยืดเยื้อต่อไปคงไม่เป็นไร แต่หากไม่มีอาหารไม่ช้าก็เร็วพวกเขาคงป้องกันต่อไม่ไหว แต่ไม่มีเวลามากเช่นนั้น…
ซูถูคิดหาวิธีแก้ไขไม่ออกแล้วจู่ๆ เขาก็เห็นการจลาจลบนกำแพง
เขาจ้องอยู่ครู่หนึ่งแล้วสั่งการ “ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
คงไม่ใช่เกิดความวุ่นวายภายในกองทัพแคว้นฉีใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริงนับว่าสวรรค์ประทานโอกาสมาให้ แต่สติปัญญาบอกเขาว่าความเป็นไปได้นี้ไม่สูงนัก ทหารที่นำโดยจงซู่จะเกิดความวุ่นวายภายในได้อย่างไร
ครั้งนี้ปาตงใช้เวลาอยู่พักหนึ่งถึงเข้าใจ
เขารายงานว่า “ได้ยินว่าเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บจงซู่จึงแบ่งอำนาจให้คนสองคน ลูกศิษย์แซ่หยางทำหน้าที่นำกองทัพ และอีกคนดูเหมือนจะเป็นขุนนางใหญ่จากเมืองหลวงแคว้นฉีมีหน้าที่รับผิดชอบขนส่งเสบียงทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันขอรับ”
“ทะเลาะกันงั้นหรือ”
“ขอรับ! แล้วดูเหมือนขุนนางผู้นั้นสู้ไม่ได้ แต่เขาก็เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นอีกทั้งไม่ใช่คนที่นี่จะไปสู้ได้อย่างไร” ซูถูครุ่นคิด
……….
ในไม่ช้าซูถูก็พบว่ากองทัพแคว้นฉีได้เปลี่ยนกลยุทธ์
พวกเขาไม่อยู่หลังประตูที่ปิดสนิทอีกต่อไป แต่มองหาโอกาสที่จะออกมาสังหารทันที
การจู่โจมอย่างไม่คาดคิดของกองทัพแคว้นฉีนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะป้องกัน และคู่ต่อสู้ก็เจ้าเล่ห์มาก ไม่เพียงแต่จะเลือกเวลาในตอนกลางคืนเท่านั้น แต่ยังสังหารบริเวณรอบๆ แล้วกลับไปทำเอาทหารเผ่าหูโกรธมาก มันกะทันหันเกินไป ทุกครั้งที่ยังเตรียมการไม่ทันพร้อมพวกเขาก็กลับไปแล้ว
ปาตงโกรธมาก “หากมีความสามารถก็สู้กันตัวต่อตัวสิลอบโจมตีเช่นนี้มิใช่นักรบ!” เขาสงสัยอีกครั้ง “ต้าห่าน ท่านไม่อยากฝ่าอุปสรรคไปหรือให้พวกเราปรับตัวให้ชินก่อนพวกเราตายอย่างไม่ทันตั้งตัวสักวันหนึ่ง”
ซูถูเงียบอยู่นานและกล่าวว่า “เฝ้ามองต่ออีกหน่อย”
“ขอรับ”
กองทัพแคว้นฉียังคงออกมาก่อกวนเป็นครั้งคราวในตอนกลางคืน และทหารเผ่าหูเองก็ค่อยๆ ชินกับจังหวะนี้มีเสียงดังจากประตูเมืองในตอนกลางคืน ทหารที่มีหน้าที่ลาดตระเวนปลุกพวกเขาทันทีทำเอาทหารเผ่าหูถึงกับบ่นด้วยความหงุดหงิด
มาตอนกลางคืนเสมอเช่นนี้ไม่คิดจะให้หลับให้นอนบ้างหรือ
อย่างไรก็ตามเผ่าหมาป่าหิมะนั้นระมัดระวังตัวมากถึงกับจัดกลุ่มเล็กๆ ให้คอยสอดส่องในตอนกลางคืนทำให้กองทัพแคว้นฉีใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ไม่ได้ พวกเขาวิ่งวน และไม่พบช่องโหว่ให้เจาะเข้าไปจึงรีบกลับเข้าเมือง
เหล่าทหารเผ่าหูเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ดังนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ ลดความระมัดระวังลงบางครั้งกลองถูกตียังไม่มีผู้ใดตื่นขึ้นมาเลย
ปาตงโกรธและพูดกับซูถู “คนพวกนี้ไม่มีคุณสมบัตินักรบเลยหากวันหนึ่งพวกเขามาจริงๆ หัวจะหลุดตอนหลับเสียก่อน”
ซูถูดูสงบมากเขาใช้ถ่านวาดบางอย่างบนกระดาษพลางถามว่า “ขุนนางระดับสูงของกองทัพแคว้นฉีติดต่อกับเผ่าเก๋อซางจริงๆ หรือ”
“ขอรับ เผ่าเก๋อซางนั่นมักบ่นเรื่องอาหารคนของเผ่านั้นแลกเปลี่ยนอาหารกับกองทัพแคว้นฉี” ปาตงถาม “ต้าห่าน พวกเราควรเตือนเขาดีหรือไม่”
ซูถูส่ายหน้า “ไม่ต้อง คอยจับตาดูไปก่อน พวกเรามีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องทำ”
ปาตงไม่เข้าใจ “เรื่องอะไรหรือขอรับ”
ซูถูชี้ไปที่กระดาษที่เต็มไปด้วยลายเส้น “เจ้าดูนี่”
ปาตงโน้มตัวลงมาเขาดูออกทันทีว่ามันคือภาพกองทัพทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากัน แต่เส้นเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร
“นี่คือเส้นทางที่พวกเขาใช้สำหรับการจู่โจมแต่ละครั้ง” ซูถูชี้ทีละเส้นโดยมีตัวเลขระบุวันที่ “ในทุกวันพวกเขาจะเข้าใกล้กองทัพกลางมากกว่าวันก่อนๆ”
ปาตงอ้าปากค้าง และแข็งค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “หรือว่าพวกเขาต้องการจะโจมตีกองทัพกลางหรือ”
ซูถูส่ายหน้าเขาดื่มนมสดหนึ่งชามแล้วพูดว่า “เป้าหมายของพวกเขาคือข้า! ”
ปาตงตกใจจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว “พวกมันอยากฆ่าต้าห่าน กล้าเกินไปแล้ว! คราวหน้าเราจะซุ่มโจมตีทันทีที่พวกมันออกมา เราจะกำจัดพวกมันให้หมด!”
ซูถูกลับหัวเราะเขาจ้องลายเส้นบนกระดาษด้วยสายตาเย็นชา “ไม่ ให้พวกเขามา อยากจะฆ่าข้าพวกเขาต้องระดมยอดฝีมือมาอย่างแน่นอนนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะฆ่าพวกเขาด้วย…”
………