คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 443 ร่วมรบแนวหน้า
ถนนบนภูเขาเปิดแล้วกองทัพซีเป่ยจัดระเบียบกองทัพใหม่ระดมเสบียงเพื่อเตรียมออกเดินทาง
หมิงเวยไม่ได้ตามร่วมรบด้วย การต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างสองกองทัพนางคงช่วยอะไรได้ไม่มาก ยิ่งไปกว่านั้นนางใช้พลังทั้งหมดไปกับการเรียกวิญญาณก่อนหน้านี้แล้วถือว่าใช้โอกาสนี้พักฟื้นร่างกายจะดีกว่า นางยืนอยู่บนกำแพง และเฝ้าดูหยางชูติดตามจงซู่ออกเดินทาง
“ติงๆ!” เสียงกู่ฉินที่เต็มไปด้วยรังสีแห่งการฆ่าฟันดังขึ้นข้างหูราวกับกองทัพอันทรงพลังสูงตระหง่านกล้าหาญชาญชัย หมิงเวยมองหนิงซิวที่นั่งดีดกู่ฉินอยู่หน้าหอสังเกตการณ์ นางยิ้มเบาๆ แล้วหยิบขลุ่ยออกมาเป่าตาม
เสียงขลุ่ยที่เพิ่มเข้ามาจังหวะดนตรีให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง
กัวสวี่ผู้ซึ่งติดตามกองทัพไปด้วยหันกลับไปมองคนสองคนที่เล่นดนตรีส่งพวกเขาบนหอสังเกตการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะร้องเพลง “บุรุษยามเกิดมาบนโลกนี้ ตระหนักถึงตอบแทนตัวเองในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิต ต้องออกรบพิชิตสงคราม จะอยู่ปกป้องบ้านเกิดของตนตลอดชีวิตได้อย่างไร…”
สถานการณ์เช่นนี้บรรยากาศเช่นนี้ช่างเหมาะกับบทกวีนี้เสียจริงจนทำให้ทหารหลายคนร้องตาม เสียงขับขานขับกล่อมเมฆ เสียงสะเทือนของป่าไม้ดังก้องกังวานในเมืองโบราณอันกว้างใหญ่
หยางชูไม่มีความสนใจในบทกวี เขาเพียงแค่หันกลับไปโบกมือให้ทั้งสองคนและตะโกนว่า “รอข้ากลับมา!”
จงรุ่ยยืนอยู่ข้างเขา และอดไม่ได้ที่จะถามเขาว่า “แม่นางหมิงวิ่งเต้นไปทั่วพร้อมกับท่าน ช่วยเหลือท่านมากมาย แต่ท่านไม่ให้ชื่อเสียงและฐานะแก่นางเลย เรื่องนี้เกินไปหรือไม่”
หยางชูกลอกตาและพูดว่า “ท่านเอาตาข้างไหนมองว่าข้าไม่ให้ชื่อเสียงและฐานะแก่นาง”
“ก็ข้าเห็นเต็มตา” จงรุ่ยพูด “ไม่มีชื่อไม่มีฐานะ แต่ท่านกล้านอนกับนางได้อย่างไร ชื่อเสียงของสตรีในตระกูลนั้นสำคัญมากได้ยินว่านางเป็นลูกหลานขุนนาง เป็นคุณหนูในห้องหอ ถึงท่านไม่ให้ตำแหน่งภรรยาแก่นาง แต่ก็ควรรับเข้า…ไอหยา!”
จงรุ่ยกุมหัวที่ถูกเขาตีจบเจ็บ “ท่านตีข้า!”
“ใช่!” หยางชูพูดอย่างโกรธเคือง “รับอะไรกัน ท่านมองนางเป็นอนุหรือ ไร้ยางอายจริงๆ”
แค่ตีหัวอีกฝ่ายเขายังรู้สึกว่ายังไม่พอแทบอยากจะเอาหอกแทงอีกฝ่าย โชคดีที่ม้าสองตัวมีระยะห่างกันพอควรจึงไม่สะดวกนัก
“ท่านคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนท่านหรือ มีภรรยาอยู่เมืองหลวงทางนี้มีอนุอีกสอง อย่าเอาข้าไปเปรียบกับท่าน! ข้าไม่ได้สกปรกเช่นนั้น”
จงรุ่ยโกรธมาก “ท่านพูดอะไรน่ะ ภรรยาข้าให้คนหาบเกี้ยวเจ้าสาวอย่างสง่าผ่าเผย ส่วนอนุก็เขียนหนังสือรับเข้าจวนอย่างเหมาะสม ดีกว่าท่านที่นอนกับนางแล้วไม่มอบฐานะชื่อเสียงให้ยังมีหน้ามาบอกว่าข้าสกปรกอีกหรือ!”
“มันก็เป็นเช่นนั้นนี่ วันนี้ท่านนอนกับอีกคน วันอื่นท่านนอนกับอีกคน ไม่เรียกสกปรกหรือ ข้าสะอาดกว่าท่านตั้งเยอะไม่เคยนอนกับใครหลายคน!”
จงรุ่ยงงงวย “ท่านจะบอกว่ามีสตรีเพียงคนเดียวหรือ”
“แน่นอน”
จงรุ่ยยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีก “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเหตุใดท่านไม่จัดงานแต่งกับนางให้สมเกียรติเล่า ถึงแม้พื้นฐานครอบครัวของนางจะต่ำแต่หากพยายามก็เข้ากันได้” คำพูดนี้ทำเอาหยางชูแทบหูตก
“นางมีคู่หมั้นให้ตายยังไงก็ไม่ยอมถอนหมั้น”
จงรุ่ยตกใจมาก “คุณชายหยางนี่ท่านนอนกับสตรีที่มีสามีแล้วหรือ!”
คำพูดนั้นดูน่ากลัวมากเขาพูดออกมาเสียงดังจนทหารรอบๆ หันกลับมามอง
หยางชูโกรธมากจนอยากจะบีบคอเขา “สตรีที่มีสามีอะไรกัน ยังไม่แต่งงาน! ข้าจะพูดอีกครั้งคู่หมั้นของนางออกบวชเป็นนักพรตไปแล้วอย่างไรก็ไม่สามารถแต่งงานได้”
“แล้วเหตุใดเขาถึงไม่ยอมถอนหมั้นล่ะ”
หยางชูกระตุกมุมปากของเขา และพูดอย่างไม่เต็มใจ “ไม่ใช่คู่หมั้น แต่เป็นนางที่ไม่ยอมถอนหมั้น”
“…”
จงรุ่ยระดมสมองประมวลผลเนื้อหาที่ฟัง และในที่สุดก็มองหยางชูด้วยความเห็นใจ “ที่แท้นางไม่อยากได้ฐานะชื่อเสียงสินะ!”
หยางชูรู้สึกไม่มีความสุข “สายตาของท่านหมายความว่าอย่างไร เอากลับคืนไป!”
“หึๆๆ” เขาไม่มีความสุข แต่จงรุ่ยมีความสุขแล้วยังพูดขอโทษอีกฝ่ายดีๆ “ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจท่านผิด คิดว่าท่านโง่เกินไปต้องขออภัยจริงๆ”
หยางชูโกรธ “เก็บคำขอโทษของท่านไปเถอะ ข้าไม่ต้องการ!”
“ฮ่าๆๆ” จงรุ่ยรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของอีกฝ่าย “นอนด้วยกัน แต่ไม่ยอมแต่งงานกับท่าน ช่างน่าสงสาร!”
“ไสหัวไปซะ!” หยางชูรู้สึกเสียใจมากรู้อย่างนี้เขาไม่พูดออกไปแต่แรกดีกว่า
ช่างโง่จริง บุรุษยอมโง่ แต่ไม่ยอมถูกหัวเราะเยาะ!
…………
น่าซูถือถุงสุราไปหาซูถูที่มองทัศนียภาพอยู่บนยอดเขา
“พี่เจ็ด!” ซูถูเหลือบมองเขาและหันกลับไปมองยอดเขาอีกครั้ง
“นี่เป็นสุราองุ่นของซีหรง ข้าได้มาจากวังของพวกเขาท่านลองชิมดู”
ซูถูไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของเขา เขารับมาแล้วยกขึ้นดื่ม สองพี่น้องดื่มจนในที่สุดสุราก็หมด
น่าซูถอนหายใจ “พี่เจ็ด ท่านจำปีที่ข้าอายุสิบสองได้หรือไม่ พวกเราขโมยสุราของต้าห่านออกมาแอบดื่มกันจนหมดกลัวว่าคนจะรู้คืนนั้นจึงไม่กล้ากลับไปจนพวกเราเกือบแข็งตายแล้ว”
“อืม” ซูถูตอบรับด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก
น่าซูพูดต่อว่า “ตอนนั้นข้าคิดว่าสักวันหนึ่งข้าอยากดื่มอะไรก็จะได้ดื่มโดยไม่ต้องกลัวผู้อื่นแล้ว” เขายิ้ม “ท่านเห็นหรือไม่ ตอนนี้พวกเราทำสำเร็จแล้ว”
ซูถูเงียบไปนานสุดท้ายก็ตบไหล่อีกฝ่าย “ข้าเข้าใจความตั้งใจของเจ้าแล้ว”
อีกฝ่ายกังวลว่าการโจมตีที่เขาได้รับรุนแรงเกินไปจนล้มแล้วลุกขึ้นไม่ได้
น่าซูพาเขาไปนั่งบนยอดเขาและพูดว่า “พี่เจ็ดแค่แพ้เพียงครั้งเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คนของพวกเราก็ยังอยู่ ท่านเห็นหรือไม่ข้านำทหารกลับมาเป็นอย่างดี กำลังสำคัญของพวกเราก็ยังอยู่ที่หวางถิงทางนั้น อันที่จริงพวกเราไม่ได้สูญเสียคนไปมากมายนัก ตราบใดที่พวกเรารวมกองกำลังเข้าด้วยกันก็จะเป็นเผ่าที่มีอำนาจมากที่สุดในทุ่งหญ้าส่วนเผ่าที่ผิดคำพูดพวกนั้น…”
น่าซูแค่นหัวเราะเด็กหนุ่มร่าเริงสดใสผู้นี้เผยแววตาที่ดุร้ายราวสัตว์ป่า “ในเมื่อพวกเขากล้าทิ้งพวกเราก็เตรียมตัวสูญสิ้นไปเสียเถอะ!” ซูถูไม่ตอบอะไร
น่าซูเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ “พี่เจ็ด หรือท่านคิดจะปล่อยพวกเขาหรือ”
ซูถูส่ายหน้า “เปล่า แต่ตอนนี้พวกเรากำลังเผชิญกับวิกฤติที่ใหญ่กว่านั้น”
“อะไรหรือ”
“เนินกรวดพ่ายแพ้อันที่จริงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” เขาพูด “ข้าเตรียมใจไว้แล้วว่าคงไม่สามารถฆ่าจงซู่ได้ง่ายดายเช่นนั้น เพียงแต่หลังจากนี้พวกเขาต้องส่งกองทัพออกมาอย่างแน่นอน”
น่าซูตอบ “กลัวอะไรอัน หลายปีก่อนเกิดความวุ่นวายในแปดเผ่า แคว้นฉีไม่เห็นจะส่งกองทัพมาเลยฮ่องเต้ของพวกเขาไม่คิดจะต่อสู้”
“เมื่อก่อนก็ส่วนเมื่อก่อนตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้” ซูถูพูด “หลายปีก่อนไม่มีข้ออ้าง อีกอย่างฮ่องเต้ของพวกเขายังเยาว์ แต่ตอนนี้สงครามที่เนินกรวดเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุด และฮ่องเต้ของพวกเขาก็ไม่เด็กอีกต่อไปแล้ว”
น่าซูแปลกใจ “ฮ่องเต้ของพวกเขาไม่เด็กไม่ใช่ว่าไม่มีจิตวิญญาณการต่อสู้แล้วหรือ”
“มันขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นฮ่องเต้เช่นไร เขาไม่เคยมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้มาก่อน แต่ก่อนหน้านี้สามารถออกคำสั่งกับแม่ทัพ แถมยังไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วบางทีข้อจำกัดต่อไปนี้อาจผ่อนคลายลง”
“เช่นนั้น…”
“แต่สำหรับพวกเราถือเป็นเรื่องดี” ซูถูพูดช้าๆ “การเปลี่ยนบัลลังก์ฮ่องเต้ของจงหยวนมักมาพร้อมกับพายุนองเลือด ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้แคว้นฉีคนปัจจุบันสุขภาพไม่ค่อยดี พวกเราต้องการที่จะเอาชนะความยากลำบากนี้ไม่แน่ว่าพวกเราอาจเริ่มต้นจากเรื่องนี้ได้…”
……………