คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 447 ไม่เหนื่อย
แสงเทียนสลัว จดหมายลับวางบนโต๊ะทรงงานในท้องพระโรง ผ่านไปสองปีฮ่องเต้ดูแก่ชราขึ้นมากเกิดริ้วรอยที่หางตามากมาย ปีนี้เขาอายุสี่สิบแปดปีสำหรับขุนนางแล้วเป็นช่วงเวลาสูงสุดที่อำนาจ และกำลังกายใจเข้ากันได้มากที่สุด
อย่างฟู่จินผู้ซึ่งมีอายุเท่ากันกับเขาตอนนี้อยู่ในช่วงที่มีชื่อเสียง และความรู้รุ่งเรืองที่สุด หรือกัวสวี่ซึ่งอายุน้อยกว่าเขาสองสามปีเป็นคนอายุน้อยที่มีความสามารถในราชสำนัก แต่เขาที่เป็นฮ่องเต้…แต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้ไม่เคยอายุยืนเลย เมื่ออายุห้าสิบก็ถือว่าแก่ชราแล้ว
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาร่างกายของเขาแย่ลงเรื่อยๆ อาการปวดหัวเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ นอนน้อยลงเรื่อยๆ อากาศเปลี่ยนก็ป่วยแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเองเหมือนเมื่อก่อน
ฮ่องเต้รู้สึกเสมอว่าสำหรับเขามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ด้วยเหตุนี้เขายิ่งต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วพูดคำไหนคำนั้น ยิ่งเข้าใกล้ความตายมากเท่าไรยิ่งไม่อยากปกปิดข้อบกพร่องมากเท่านั้น
หลังจากอ่านจดหมายลับแล้วเขาก็หลับตาลงไม่พูดอะไร แสงเทียนส่องลงบนใบหน้าทอดเงาลงมาเป็นชั้นๆ องครักษ์เงาที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าไม่ขยับตัวไปไหน นิ่งเงียบราวกับรูปปั้น ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ลืมตาขึ้นและถามว่า “แน่ใจหรือไม่ว่าข่าวลือพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา”
“พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เงาตอบอย่างรวดเร็ว “กระหม่อมสืบสวนแล้วพบว่าคนที่ปล่อยข่าวลือนี้เป็นคนของหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มกบฏในเฉิงโจวพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นคนที่จิ้นอ๋องทิ้งไว้ให้งั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจยาวไม่รู้ว่าพูดกับเขาหรือกำลังพูดกับตัวเอง “ยี่สิบปีแล้ว ยังคงไม่ไปไหนหรือ!”
เขาเคาะที่ทับกระดาษบนโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างครุ่นคิด องครักษ์เงาคุกเข่าเงียบๆ ไม่พูดอะไร
เสียงว่านต้าเป่าที่อยู่ด้านนอกดังขึ้นเป็นพิเศษ “ฝ่าบาท กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่งสายตาแล้วองครักษ์เงาก็หายจากไปในชั่วพริบตา
“เข้ามา”
ว่านต้าเป่าเดินถือกล่องอาหารตามเผยกุ้ยเฟยเข้ามาอย่างกระตือรือร้น
ฮ่องเต้วางพู่กันแล้วทักทายด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่บอกให้เจ้าพักผ่อนหรอกหรือ มาที่นี่ทำไมกัน”
เผยกุ้ยเฟยทำความเคารพไม่ทันไรก็ถูกประคองนางจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันนอนไม่หลับจึงเดินทางมาหาฝ่าบาท ช่วงนี้ฝ่าบาทงานยุ่งเหตุใดถึงไม่ถนอมพระวรกายบ้างเพคะนอนดึกเช่นนี้ระวังจะปวดพระเศียรนะเพคะ”
“เจิ้นเป็นฮ่องเต้ นี่เป็นเรื่องภายในที่ข้าต้องจัดการ”
“แต่เรื่องการดูแลฝ่าบาทเป็นเรื่องของหม่อมฉันด้วยเพคะ”
ทางด้านว่านต้าเป่าเองก็พูดว่า “ถวายช้อนฝ่าบาทก็เป็นหน้าที่ของบ่าว ฝ่าบาท น้ำแกงดื่มตอนนี้กำลังอุ่นพอดี ฝ่าบาทจะเสวยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หัวเราะ “บ่าวคนนี้ พูดตัดบทจริงๆ”
น้ำแกงนี้เป็นย่าวซ่าน[1]ที่สถาบันแพทย์หลวงส่งมาให้ส่วนผสม และทักษะทั้งหมดใช้อย่างระมัดระวัง ฮ่องเต้รับประทานน้ำแกงจนหมดว่านต้าเป่าก็ถอยออกไป
เมื่อเผยกุ้ยเฟยมีท่าทีเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา ฮ่องเต้จึงยิ้มและกุมมือนางไว้ “สนมรักมีอะไรอยากพูดก็พูดมาเถอะ อยู่ต่อหน้าเจิ้นจะลังเลทำไมกัน”
เผยกุ้ยเฟยก้มหน้าแล้วยิ้มราวกับสงบจิตสงบใจ “หากฝ่าบาทกล่าวเช่นนั้น หม่อมฉันก็จะพูดเพคะ”
“พูดมาเถอะ” ฮ่องเต้ทรงอารมณ์ดี
ในช่วงสองปีที่ผ่านมาต่อหน้าเขาเผยกุ้ยเฟยดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก หัวเราะเป็นครั้งคราว ไม่เหมือนเมื่อก่อน แม้นางจะมีความอ่อนโยน และนุ่มนวลดุจสายน้ำ แต่ก็เหมือนมีกำแพงกั้นไว้จนไม่สามารถเข้าไปในหัวใจของนางได้
บางทีนางคงปล่อยวางแล้วจริงๆ “ข่าวลือพวกนั้นหม่อมฉันได้ยินแล้วเพคะ” เผยกุ้ยเฟยพูด
นางเลิกคิ้วและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธ “คนพวกนั้นไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องนี้มาจากที่ใด การปล่อยข่าวสู่สาธารณะเช่นนี้จะให้จูเอ๋อร์วางตัวอย่างไร ฝ่าบาท พระองค์ต้องช่วยเขานะเพคะ!”
ฮ่องเต้มองนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าวางใจเถอะ เจิ้นเชื่อเขา”
เผยกุ้ยเฟยกลับพูดว่า “หม่อมฉันไม่ได้กลัวฝ่าบาทไม่เชื่อ แต่รู้สึกว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องราวภายในเป็นอย่างดี หากนำเรื่องนี้ไปก่อเรื่องวุ่นวายจนอยู่ในจุดที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจะทำให้เขาถูกบีบจนพูดอะไรออกมาไม่ได้
ฝ่าบาทเองก็จะถูกผู้อื่นควบคุมเช่นกัน ฝ่าบาท…พระองค์ต้องตรวจสอบที่มาของข่าวลือนะเพคะว่านี่เป็นกลอุบายของกบฏเฉิงโจวหรือไม่ คนพวกนั้นช่างน่าขำจริงๆ ในตอนที่ซือฮว๋ายไท่จื่อลำบากก็ไม่เห็นพวกเขาจะช่วย ตอนนี้กลับเอาเปรียบคนตายพวกเขาเพียงแค่ต้องการให้พวกเราตายทั้งตระกูล!”
พูดถึงเรื่องนี้นางก็ร้องไห้ออกมาด้วยความโกรธ “ฝ่าบาทคงไม่ทราบว่าเหตุการณ์ในตอนนั้นน่ากลัวเพียงใด หม่อมฉันปวดท้องตกเลือดทำให้ต้องคลอดบนพื้นหญ้า คนพวกนั้นล้มตายอยู่ข้างกายหม่อมฉันทีละคน กลิ่นนองเลือดนั้นหม่อมฉันไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต องครักษ์ บ่าวรับใช้ หย่งซีอ๋อง ไท่จื่อเฟย ไท่จื่อ…”
เผยกุ้ยเฟยร้องไห้ออกมา “ชีวิตของหม่อมฉันแลกมากับความตายของพวกเขา! ตอนนี้เหลือเพียงชูเอ๋อร์เพียงคนเดียว หม่อมฉันหวังให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจะได้ไม่ทำให้ครอบครัวของไท่จื่อผิดหวัง”
ฮ่องเต้ปลอบนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่ากลัวไปเลยยังมีเจิ้นอยู่ เจิ้นจะสืบหาที่มา และกำจัดพวกเขาไม่ให้พวกเขามีผลกระทบต่อชูเอ๋อร์”
“จริงหรือเพคะ”
“เจิ้นเคยโกหกเจ้าที่ไหนกัน”
เผยกุ้ยเฟยหัวเราะลั่น และปาดน้ำตาให้ด้วยความเขินอายเล็กน้อย “อายุปูนนี้แล้วมาร้องไห้เช่นนี้ หม่อมฉันนี่อ่อนแอจริงๆ” นางพูดอีกว่า “ยี่สิบปีแล้วฝ่าบาทดูแลใต้หล้าเป็นอย่างดี พวกเขาจะก่อเรื่องอะไรได้ ฝ่าบาทอย่ากังวลไปเลย”
ฮ่องเต้ยิ้มทั้งสองก็พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเผยกุ้ยเฟยก็กลับไปก่อน
ฮ่องเต้กลับไปนั่งหลังโต๊ะทรงงาน และมองดูจดหมายลับอย่างเหม่อลอย
องครักษ์เงากลับมาอย่างเงียบๆ ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม
แสงเทียนสั่นไหวจนกระทั่งเกิดเสียง ‘ฟึบ’ ก่อนแสงนั่นจะเสถียรมั่นคง
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ถอนหายใจและพูดว่า “ออกคำสั่งให้ค้างคาวราตรีไปซีเป่ย”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง และพูดต่อว่า “เขาอยากทำเรื่องสำคัญใช่หรือไม่งั้นก็ให้เขาตายเพื่อแผ่นดินละกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์เงาถอยออกไป ฮ่องเต้หยิบขนมที่เผยกุ้ยเฟยนำมาให้ด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้ สุดท้ายเขาก็นำขนมเข้าปากแล้วกินมันอย่างช้าๆ
ของอร่อยทานคนเดียวมีความสุขยิ่งกว่า
…………
หมิงเวยถามขึ้นทันที “ครั้งนี้ท่านพ่ายแพ้กลับมามีเงื่อนงำซ่อนอยู่ใช่หรือไม่เจ้าคะ” หยางชูกะพริบตา
“ท่านพ่ายแพ้กลับมา แต่ดูมีความสุขเช่นนี้ดูไม่เหมือนท่านเลยนะเจ้าคะ”
“เอ่อ…” หยางชูมองออกไปข้างนอก และพูดเสียงเบา “ได้ พวกเรารู้สึกว่าเวลาดูรีบเร่งมากเกินไป พอคิดล่อศัตรูให้เข้ามาอีกครั้งขอเพียงน่าซูตามมา พวกเราจะล้อมหน้าหลังใช้โอกาสนี้ฆ่าเขาซะ”
“ฆ่าเขางั้นหรือเจ้าคะ”
หยางชูพูดความจริง “ก็ไม่แน่ใจ เด็กคนนั้นรับมือยากจริงๆ ท่านบอกว่าเขาดูบริสุทธิ์มีชีวิตชีวา แต่ข้าเห็นเขาฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา”
หมิงเวยพูด “ทางรอดในทุ่งหญ้าก็เป็นเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วการฆ่าคนในสนามรบกับการฆ่าแกะก็ไม่ต่างกัน”
คนที่คุ้นเคยกับการฆ่าตั้งแต่เด็กจะไม่คิดว่าการฆ่าเป็นสิ่งที่โหดร้ายเพราะสิ่งแวดล้อมเป็นเช่นนั้น พวกเขาต้องขโมยทุ่งเลี้ยงสัตว์ สัตว์ต่างๆ และสตรี นี่เป็นชีวิตของพวกเขาจะถูกหรือผิดถูกกำหนดโดยจริยธรรมและคุณธรรม พวกเขาที่ไม่เคยได้รับสิ่งนี้มาก่อนจึงไม่มีความคิดเช่นนั้น
ตกดึก ข้างนอกเงียบสงัด
หมิงเวยจัดเตียงแล้วพูดว่า “ท่านรีบพักผ่อนเถอะ”
“อืม…” หยางชูถอดเสื้อผ้าแล้วหันมามองนาง “ด้วยกันไหม”
แววตาของเขาสื่อถึงอะไรหมิงเวยเข้าใจดีนางปฎิเสธ “เพิ่งเสร็จสงครามมาท่านคงไม่เหนื่อยเลย!”
หยางชูลากนางไป “ใช่ ไม่เหนื่อยเลยสักนิด!”
วัยหนุ่มสาวจะมาเหนื่อยอะไรกัน!
………….
[1] ย่าวซ่าน : การใช้อาหารเป็นยา เพราะหมอจีนมองว่าอาหารและยานั้นมาจากแหล่งเดียวกัน อาหารก็คือยา ยาก็คืออาหาร