คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 450 เผชิญหน้า
หยางชูไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงแม้แต่น้อย เมื่อกลับมาพักผ่อนที่เนินกรวด เขาก็ยังยุ่งเหมือนเดิม ผู้บาดเจ็บต้องพักฟื้นทหารใหม่ต้องได้รับการจัดระเบียบใหม่ นอกจากนี้ยังต้องใส่ใจสถานการณ์การต่อสู้บนทุ่งหญ้าเสมอเพื่อให้ไม่พลาดโอกาส
จนกระทั่งเขาออกเดินทางหมิงเวยก็ได้รับจดหมายจากเจี่ยงเหวินเฟิง
หนิงซิวเห็นสีหน้าของนางดูไม่ดีจึงถาม “เกิดเรื่องขึ้นหรือ”
หมิงเวยพยักหน้านางส่งจดหมายให้เขาแล้วพูดว่า “เกรงว่าพวกเราต้องไปด้วย” หนิงซิวยิ่งอ่านยิ่งดูเคร่งขรึม
เมื่ออ่านจบแล้วเขาโยนจดหมายเข้าเตาเผาแล้วพูดว่า “จากที่จดหมายเขียนมา ค้างคาวราตรีได้ออกเดินทางไปแล้วเมื่อครึ่งเดือนก่อนเกรงว่าคงมาถึงนานแล้ว”
จดหมายของเจี่ยงเหวินเฟิงถูกส่งตามหลังแม้แต่จดหมายมาถึงแล้ว ค้างคาวราตรีที่มีหน้าที่สังหารในเงามืดอาจซุ่มซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ เป็นเวลาหลายวัน
“อืม…” หมิงเวยรู้สึกหนักอึ้ง นางไม่คิดว่าสถานการณ์จะมาถึงจุดนี้
ฮ่องเต้ตัดสินใจลอบสังหารแสดงให้เห็นว่าความอดทนของเขาที่มีต่อหยางชูมาถึงขีดจำกัดแล้ว
ไม่น่าใช่หลายปีมานี้เขาไม่ฆ่าหยางชู เหตุใดจู่ๆ ถึงคิดจะฆ่าขึ้นมาล่ะสองปีนี้ความคิดของฮ่องเต้เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้เลยหรือ
“แม้ว่าจะมีผู้คุ้มกันมากมายอยู่รอบตัวศิษย์น้อง แต่พวกเขาเป็นขุนศึกพวกเราเก่งในเรื่องนี้มากกว่าครั้งนี้พวกเราจำเป็นต้องไป” หนิงซิวพูด
หมิงเวยพยักหน้า “รบกวนอาจารย์แล้วเจ้าค่ะ”
หนิงซิวพูดเสียงเรียบเฉย “แม้บางครั้งข้าอยากจะฆ่าเขา แต่อย่างไรเขาก็เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ไม่มีเหตุผลที่จะต้องตายในมือของผู้อื่น”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้น “ข้าจะไปเก็บของอีกสักพักพวกเราออกเดินทางกัน”
“ได้เจ้าค่ะ”
หนิงซิวหยุดเดินแล้วหยิบขลุ่ยออกมาจากกู่ฉิน “อ้อ ให้ท่านยืมอีกครั้ง”
หมิงเวยรับมาอย่างไม่เกรงใจ “ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”
…………
หยางชูไปเหลียงชวนเพื่อเปลี่ยนการป้องกันมีบางอย่างผิดปกติกับไป๋เหมินเซี่ย จงซู่จำเป็นต้องกลับมาดังนั้นเขาและจงรุ่ยจึงเข้าร่วมกองทัพเพื่อปกป้องเหลียงชวน
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเบื้องหน้าความจริงก็คือพวกเขาต้องการให้น่าซูโจมตี
การจัดการน่าซูเทียบเท่ากับการตัดแขนของซูถูด้วยวิธีนี้จึงต้องกำชับใช้กลยุทธ์ทางทหารบนทุ่งหญ้าต่อไป ตั้งแต่ทำสงครามกับเผ่าหูแนวป้องกันทางใต้เริ่มตึงเครียดมากขึ้น หากสงครามไม่เป็นไปอย่างราบรื่นฮ่องเต้ต้องให้ถอยทัพอย่างแน่นอน
หากเสียโอกาสนี้จนทำให้ซูถูหนีไปได้ก็จะกลายเป็นว่าได้ปล่อยศัตรูไปและอาจจะมีภัยพิบัติหายนะตามมาในภายหลัง
เมื่อเดินทัพไปได้ครึ่งทางหยางชูมองไปรอบๆ
“คุณชาย มีอะไรหรือขอรับ” อาสวนถาม
หยางชูพูด “เจ้าคิดว่าบรรยากาศดูผิดปกติหรือไม่”
“ไม่รู้สึกขอรับ” อาสวนตอบ “ท่านสงสัยว่ามีการซุ่มโจมตีหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น…” หยางชูคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อย่างไรเจ้าก็ระวังตัวด้วย ช่วงนี้อย่าอยู่ห่างจากข้ามากไป”
“ขอรับ” อาสวนคิดในใจข้าเป็นองครักษ์ที่ติดตามไปด้วยทุกที่ เรียกตอนไหนมาตอนนั้น รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างเต็มที่ตนห่างจากอีกฝ่ายตั้งแต่ตอนไหนกัน
เมื่อรวมตัวกันอย่างราบรื่น หยางชู และจงรุ่ยต่างนำกลุ่มของตนปกป้องช่องแคบภูเขา ตั้งค่ายเตรียมต่อสู้เป็นเวลานานทำท่าราวกับหากจงซู่ไม่กลับมาจะไม่เริ่มทำสงคราม
ทันทีที่จงซู่จากไปมีคนในเผ่าหมาป่าหิมะสนับสนุนให้น่าซูอาศัยโอกาสที่จงซู่กลับไปลงมือจัดการ
น่าซูกลับพูดว่า “จงซู่เป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของแคว้นฉีเขากล้าไปหมายความว่าต้องเตรียมพร้อมเป็นอย่างดีโจมตีตอนนี้ต้องเกิดปัญหาแน่ หากเขากลับมาช่วยเหลือต้องทำการรวดเร็ว”
หลังจากรอสองสามวันจงซู่เดินทางจากไปไกลน่าซูยังคงไม่เคลื่อนไหว
เด็กหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาบนทุ่งหญ้าอาจไม่ได้เรียนรู้ศิลปะการทำสงครามมากนัก แต่เขามีสัญชาตญาณเหมือนลูกหมาป่า ดูจากระดับนี้เขามีสัญชาตญาณนี้แม่นยำกว่าการวิเคราะห์เชิงทฤษฎีเสียอีก
จงรุ่ยทนไม่ไหวเขาหันศีรษะแล้วถามว่า “ท่านแน่ใจหรือว่าเขาไม่ใช่แมวตาบอดเจอหนูตาย[1]”
หยางชูนอนอยู่บนทางลาดและกลอกตาใส่เขา “ท่านเป็นหนูตาย ข้าไม่ใช่”
“…” จงรุ่ยพึมพำ “ท่านนี่เอาแต่จับผิดจริง”
หยางชูหัวเราะ “นี่เรียกว่าจับผิดหรือ งั้นข้าขอพูดจริงจัง อย่างแรกคำนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องใช้ เพราะแมวตาบอดเจอหนูตายประสบความสำเร็จแล้ว สงสัยว่าเขาคงบังเอิญพบไม่ใช่เพราะอาศัยกำลัง ท่านดูสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเราก่อน มันเหมาะที่จะอธิบายเช่นนี้หรือไม่เพียงแต่ตำหนิตนเอง แต่ยังโชคร้ายอีกด้วย!”
จงรุ่ยที่ถูกสั่งสอนไม่พอใจ “เหตุใดต้องพูดเยอะเช่นนั้นด้วย แค่เข้าใจความหมายก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
“อ้อ ไม่ยอมรับหรือ แค่มองก็เห็นว่าไม่คิดตั้งใจเรียนข้าจะบอกอะไรท่านนะ หากท่านเป็นเช่นนี้ต่อไปท่านโชคไม่ดีแน่ แม่ทัพที่คอยปกป้องสังเกตการณ์ นอกจากจะสามารถต่อสู้ได้แล้ว เขาต้องปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ได้ด้วย อย่างเช่นรายงานต่อฝ่าบาททุกเดือน หากเขียนไม่ดีแค่ประโยคเดียวก็สามารถทิ้งความประทับใจที่ไม่ดีให้กับเบื้องบนได้ อาจจะไม่เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต้องมีคิดบัญชีแน่”
จงรุ่ยพูด “ในจวนมีเจ้าหน้าที่อยู่แล้วหากข้าต้องเชี่ยวชาญในเรื่องนี้แล้วจะเลี้ยงพวกเขาไว้ทำไมกัน”
หยางชูยิ้มเยาะ “ท่านโง่หรือไม่ พึ่งพาภูเขาภูเขาย่อมถล่ม พึ่งพาผู้คนผู้คนย่อมหนีหาย ไม่มีผู้ใดจะดีเท่าตัวเองไม่เช่นนั้นหากคนของท่านถูกซื้อไปจะทำอย่างไร แค่ท่านตกหลุมไปคนเดียวไม่เป็นไร แต่นี่แม้แต่ครอบครัวของท่านก็หนีไม่รอด!”
“ท่านมีเหตุผลมากมายไปแล้ว! ข้าพูดประโยคเดียว แต่ท่านกลับพูดเป็นชุด” จงรุ่ยพึมพำเขานิ่งไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า “เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่! ซูถูไม่อยู่เป็นโอกาสหายาก หากยืดเวลาออกไปอีกพวกเขารวมกองทัพผู้ที่ลำบากคงเป็นพวกเรา”
“ไม่” หยางชูครุ่นคิด “หากคิดหาวิธีล่อให้เขาออกมาจะดีกว่า…”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังกังวลกัวสวี่ก็มาถึง ตาแก่นี่ดูเหมือนจะรู้สึกดีกับการรบสงคราม จงซู่เรียกร้องที่จะส่งกำลังพลไปเองเบื้องบนไม่ยินดีเท่าไรนัก แต่หากชนะก็ต้องตบรางวัลใช่หรือไม่ แต่รางวัลนั้นก็ต้องเป็นของกัวสวี่
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมากัวสวี่ได้รับรางวัลมามากมาย รวมทั้งเรื่องที่ว่าเขาได้เข้าไปในค่ายศัตรูเพียงลำพังได้แพร่กระจายออกไป ในเมืองหลวงจึงได้จัดหาตำแหน่งรอเขาเอาไว้แล้ว แต่หากเป็นเช่นนี้เขายิ่งเล่นตัวมากขึ้นอยู่พึ่งพากองทัพซีเป่ยไม่ไปไหน
แต่ชื่อเสียงที่ดีนี้มีเริ่มต้นก็ต้องมีจุดจบ ท่าทีนี้ก็จะถูกพวกไม่รู้หนังสือประจบประแจง
เมื่อหยางชูและจงรุ่ยเจอหน้ากันก็จะร่วมมือกันแกล้งเขา พวกเขาสองคนที่มักขัดแย้งกันกลับมีความทะเยอทะยานในเรื่องนี้เหมือนกัน
ผู้อาวุโสผู้สุขสมหวังเดินเข้ามากล่าวทักทาย “แม่ทัพน้อย คุณชายหยาง พวกท่านทำอะไรอยู่หรือ”
“จะทำอะไรได้ก็คอยดูว่าฝั่งนั้นมีความเคลื่อนไหวอะไร” หยางชูตอบอย่างเกียจคร้าน
“ลำบากท่านทั้งสองแล้ว” กัวสวี่ยืนอยู่บนยอดเขาโดยยืนหันหลังให้ลม มองค่ายเผ่าหูจากที่ไกลๆ แล้วทอดถอนใจ “เมื่อก่อนอ่านหนังสือด้วยความอัศจรรย์ใจ แต่พอเจอประสบการณ์ด้วยตนเองถึงได้รู้ว่าการต่อสู้ไม่ง่ายเลย! เผ่าหูนั้นกล้าหาญ ไม่รู้จะมีทหารกี่นายมาเติมเต็มถึงสามารถรักษาใต้หล้าให้สงบสุขได้” หยางชูเหล่ตามองและสบตากับจงรุ่ย
ทั้งสองขยิบตาและหัวเราะผู้อาวุโสกัวที่วางมาดในใจ หัวเราะไปมาจู่ๆ หยางชูก็จิตใจคล้อยตาม
“ใต้เท้ากัว ได้ยินว่าท่านถนัดการเขียนพู่กันและวาดภาพ หลายวันมานี้ไม่เคยเห็นท่านแสดงฝีมือเลย!”
กัวสวี่โบกมืออย่างนอบน้อม “ไม่ถึงกับเชี่ยวชาญแค่มีความรู้เล็กน้อย ทุกวันนี้มีแต่สงครามจะมีเวลาว่างได้อย่างไร”
หยางชูพูด “ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันไม่สามารถทำสงครามได้ระยะหนึ่ง เหตุใดใต้เท้ากัวไม่วาดฉากการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองที่เหลียงชวนเล่า แม้ผู้อื่นจะไม่ได้สัมผัสประสบการณ์ด้วยตนเอง แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของสงครามจากภาพวาดได้”
กัวสวี่ถูกอีกฝ่ายย้ำเตือน…
“เป็นความคิดที่ดี” เขาพึมพำ
หยางชูยิ้ม “ใช่หรือไม่เล่า ท่านวาดแล้วแบ่งให้ข้าด้วยล่ะ ภายภาคหน้าข้าจะทิ้งไว้ให้ลูกหลานให้พวกเขาได้รู้ถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของท่านทวด!”
…………
[1] แมวตาบอดเจอหนูตาย : เปรียบเทียบตัวเองไม่มั่นใจ แต่โชคดีหรือบังเอิญจึงประสบความสำเร็จ