คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 452 เกาทัณฑ์ลับ
หยางชูพูดพลางสั่งให้คนไปล้อมรอบพวกเขาไว้เกรงว่าหากน่าซูรู้ว่าคนที่เขาพามามีไม่มาก แต่คนของน่าซูมีน้อยกว่า ที่นี่อยู่ใกล้กับค่ายของกองทัพแคว้นฉีมาก หากคิดแตะต้องกัวสวี่จะต้องไม่ทำให้กองทัพฉีแตกตื่น
ดังนั้นเขาจึงพาองครักษ์คนสนิทมาเท่านั้นซึ่งมีไม่เกินแปดเก้าคน แต่หยางชูมีสิบกว่าคนมองอย่างไรก็สองต่อหนึ่งชัดๆ แต่กัวสวี่อยู่ใกล้เขามาก หากน่าซูจะลงมือจริงๆ ก็สามารถลงมือปลิดชีวิตอีกฝ่ายก่อนที่หยางชูลงมือได้เลย
กัวสวี่หน้าซีดเขาร้องว่า “คุณชายหยาง ท่านพูดอะไรน่ะ ข้าเป็นทูตที่ฝ่าบาทมีพระราชโองการมาท่านกล้ายุให้ศัตรูสังหารข้าหรือ”
หยางชูมองเขาด้วยสายตารังเกียจแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก “หึๆ หากท่านไม่ใช่ข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ ท่านคงไม่ทราบว่ามีคนตายไปกี่คนแล้ว! ท่านมักยกมือวาดเท้าอยู่ในค่ายอย่างไม่รู้จักประมาณตนเอง ขุนนางอย่างพวกท่านอ่านตำรายุทธพิชัยสงครามสักสองเล่มก็บอกว่าตนมีความสามารถรอบด้านจนแทบอยากจะทำเองทุกอย่าง ออกโรงเป็นแม่ทัพหวนกลับเป็นเสนา ตอนนี้ความจริงถูกเผยออกมาพอขอให้ท่านกลับไปท่านก็ไม่กลับ หากตายตอนนี้ก็สมควรแล้ว!”
“ท่าน…” กัวสวี่ทั้งกลัวทั้งโกรธอยากจะด่า แต่ก็กลัวน่าซูจึงทำได้เพียงเปล่งเสียงตะโกนว่า “หากข้าตายพวกท่านทั้งหมดโดนประณามแน่!”
หยางชูหัวเราะ “เรื่องที่เราสองคนทะเลาะกันเมื่อครู่คนเห็นมีมากมายต่อให้เรื่องถึงเบื้องบนข้าก็อธิบายได้!”
“ท่าน ท่าน…ร้ายกาจมาก!”
“นี่เรียกว่าร้ายกาจหรือ ตั้งแต่เข้ามาในค่ายทหารท่านขโมยความดีความชอบของพวกเราไปตั้งเท่าไรข้าบอกท่านไว้เลยนะ ความโลภที่มากเกินไปล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย”
“หากข้าตายไปก็จะมีผู้ตรวจการกองทัพผู้อื่นเข้ามา!” กัวสวี่ยังคงโต้เถียง
หยางชูกลับตอบว่า “หากไม่ทำตัวว่านอนสอนง่ายก็ตายไปอีกหนึ่งเพื่อให้พวกท่านรู้ว่าการต่อสู้เป็นเรื่องของผู้บัญชาการทหาร ขุนนางหมอบอยู่ข้างหลังดีๆ จะดีกว่า!”
กัวสวี่โกรธจนตัวสั่น แต่ไม่รู้จะตอบกลับว่าอะไรจึงได้แต่ตะโกน “ไอ้หลานชาย! ละอายใจต่อชื่อเสียงบรรพบุรุษบ้างหรือไม่!”
หยางชูไม่สนใจอีกฝ่ายเขาเอาแต่มองน่าซู “องค์ชายน่าซูยังไม่รีบลงมืออีกหรือ ท่านฆ่าเขาข้าสามารถล้างแค้นให้เขาได้ บอกตามตรงว่าข้าเตรียมการไว้นานแล้วอีกสักพักหากพวกเขาเห็นว่าข้ายังไม่กลับมาจะต้องส่งคนออกมาสนับสนุน เวลาของท่านมีไม่มากแล้ว!”
น่าซูมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เด็กหนุ่มผู้กระตือรือร้นเอียงศีรษะ และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พี่เจ็ดบอกกับข้าว่าหากติดต่อกับคนจงหยวน อย่าเชื่อในสิ่งที่พวกเขาพูดมากเกินไปให้ดูในสิ่งที่พวกเขาทำดีกว่า ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้นึกถึงมาก่อนพอหลังจากถูกสตรีผู้หนึ่งหลอกให้ข้าพานางมาที่เขาเทียนเสิน ผลกลับกลายเป็นว่านางทำให้เผ่าทั้งแปดของพวกเราตกอยู่ในความวุ่นวาย…”
“…” หยางชูพูด “องค์ชายน่าซูแค้นฝังใจจริงๆ! แต่เรื่องนี้ข้าจำได้แม่นว่าตอนแรกท่านเป็นฝ่ายโกหกก่อนคิดจะใช้นางจัดการกับศัตรูของตนเองนี่คงเป็นการล้างแค้นคืนเสียมากกว่า”
น่าซูพูดต่อว่า “ต่อมาพวกเราติดต่อกันมากขึ้นข้าค้นพบว่าคนจงหยวนพูดอย่างหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วทำอีกอย่างหนึ่ง อย่างเช่นท่านในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าอยากช่วยเขา แต่แสร้งทำเป็นดูถูกเขาปากเขาพูด แต่ก็แอบส่งสัญญาณให้ท่าน”
สิ้นเสียงนั้นเขาก็สะบัดข้อมือข้างที่ถือมีด และด้ามมีดนั้นก็กระแทกกับไหล่ของกัวสวี่อย่างแรง
“อา!” กัวสวี่กรีดร้องไหล่ของเขาเคล็ดจนเกิดเสียง ‘กึก’ และก็ล้มไปข้างหน้า
องครักษ์ของน่าซูเตรียมพร้อมและจับกุมเขาอย่างรวดเร็ว
“หยางชู!” คราวนี้กัวสวี่โกรธขึ้นมาจริงๆ แม้แต่คำว่าคุณชายเขาก็ไม่เอ่ยขึ้น จากนั้นเขาก็ตะโกนด้วยดวงตาอันแดงก่ำ “วันนี้หากข้าตายลงที่นี่ท่านจะต้องถูกประชาชนฝังกลบด้วยคำครหาแน่!”
มารดาเถอะ เหตุใดเขาถึงได้หละหลวมไปชั่วขณะแล้วตกไปอยู่ในแผนของเด็กคนนี้ได้!
น่าซูยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านไม่ตายหรอกขุนนางแคว้นฉีมีค่ามากข้ามาเพื่อจับท่านไม่ได้มาเพื่อฆ่าท่าน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเงื่อนไข หรือการแลกเปลี่ยนเงินล้วนมีประโยชน์มากกว่าการฆ่าท่านเสียอีก”
หยางชูพูดขึ้นทันที “องค์ชายน่าซูพูดเช่นนั้นข้าก็วางใจบอกตามตรงถึงแม้แทบรอไม่ไหวที่จะให้ตาแก่นี่ตาย แต่หากเขาตายขึ้นมาพวกเรามีปัญหาแน่ ท่านไม่ฆ่าเขาแสดงว่าข้ายังมีโอกาสแย่งเขากลับมาใช่หรือไม่”
น่าซูกำกระบี่ในมือแววตาดุร้ายดั่งหมาป่า “ใช่ แต่ข้าคิดว่าท่านทำไม่ได้หรอก”
“ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก จริงหรือไม่” หยางชูยังคงยิ้มมือของเขาจับร่มหนังปลาฉลามที่ห้อยอยู่ข้างเอวเรียบร้อยแล้วเหล่ายอดฝีมือก็รีบเข้ามารุมล้อมอย่างรวดเร็ว
น่าซูรู้ว่าตนเองมีเวลาไม่มากตอนที่เขาพาคนมาที่นี่รู้ดีว่าการจับคนต้องทำเวลาโดยไว ตำแหน่งนี้ใกล้กับค่ายทหารแคว้นฉีทันทีที่ส่งสัญญาณกองทัพแคว้นฉีก็จะมาถึงที่นี่ในไม่ช้า ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งทหารของเผ่าหมาป่าหิมะยกกระบี่ขึ้นฟันอย่างดุเดือดอย่างไม่ลังเล
………
เมื่อได้รับข่าวช้าไปหน่อยหมิงเวยและหนิงซิวจึงเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้กว่าจะมาถึงเหลียงชวน หนิงซิวทำการสำรวจป่าเขาอยู่พักหนึ่งแล้วเขาก็กลับมาพร้อมโซ่ตะขอ” สิ่งนี้พบใต้หน้าผาอีกฝ่ายอาจทิ้งไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ”
“…ท่านพบเจอสิ่งนี้หรือ”
“พบเจอโดยบังเอิญ”
หมิงเวยมองโซ่ตะขออย่างละเอียด “วัสดุนี้เป็นงานฝีมือของกองอำนวยการสร้างพระราชวังแน่นอน ดูเหมือนว่าค้างคาวราตรีจะติดตามมานานแล้วไม่รู้ว่าพวกเขามีกี่คน”
“นายท่าน” งูขาวตัวเล็กออกมาจากแขนเสื้อแล้วดมกลิ่น “ข้าได้กลิ่นชี่ของคนสามคนเจ้าค่ะ”
หมิงเวยยิ้ม “ข้าลืมเจ้าไปได้อย่างไรดูเหมือนเจ้าจะมีประสาทสัมผัสที่ดีขึ้น รู้แม้กระทั่งจำนวนคน”
งูขาวตัวน้อยพูดอย่างภาคภูมิใจ “ในตอนที่เดินทางศิษย์พี่ตัวฝูแบ่งพลังปีศาจให้แก่ข้าให้ข้าปกป้องนายท่าน ยังบอกด้วยว่าหากปฏิบัติหน้าที่สำเร็จเมื่อกลับมาจะให้ข้าดื่มจิงกับเลือด”
“กลับไปข้าจะช่วยพูดให้เจ้า”
“ขอบคุณนายท่าน!”
หนิงซิวพูด “ได้ยินว่าค้างคาวราตรีของหวงเฉิงซือทำงานเดี่ยวมาโดยตลอด ครั้งนี้มาถึงสามคน เกรงว่าอีกฝ่ายต้องการให้ภารกิจสำเร็จเท่านั้น พวกเราต้องรีบแล้วหากไร้การป้องกันศิษย์น้องคงหลบเลี่ยงได้ยาก”
“เจ้าค่ะ”
ทั้งสองอยู่ใกล้ที่ตั้งค่ายทหารมากพอพลบค่ำพวกเขาก็เห็นค่าย หมิงเวยต้องการตรงไปที่ค่ายทหาร แต่งูขาวเลื้อยมาบอกว่า “นายท่าน! เมื่อครู่ข้าเจองูตัวอื่นมันบอกว่าสามคนนั้นอยู่แถวนี้เจ้าค่ะ!”
“…เจ้าสามารถสื่อสารกับสัตว์ประเภทเดียวกันได้หรือ”
งูขาวตอบอย่างถ่อมตัว “ล้วนบังเอิญเจ้าค่ะ”
“ดี จัดการดึงพวกเขาออกมาได้ค่อยว่ากันทีหลัง”
………….
กระบี่ฟันเข้าที่แขนของน่าซูในมุมที่ยากต่อการรับมือ หยางชูจดจ่ออย่างเต็มที่ หากสามารถเอาชนะน่าซูได้สงครามครั้งนี้พวกเขาอาจชนะ เมื่อซูถูกลับมารับช่วงต่อกองทัพหมาป่าหิมะที่สูญเสียผู้นำไป พวกเขาก็ยืนหยัดอย่างมั่นคงที่เหลียงชวนแล้ว ซึ่งเทียบเท่ากับขยายเส้นชายแดนแคว้นต้าฉีไปข้างหน้าหลายร้อยลี้ ฮ่องเต้คงไม่มีเหตุผลที่จะหยุดทำสงครามกับเป่ยหู
เมื่อตอนที่กระบี่กำลังเข้าถึงตัวน่าซูเขารู้สึกเย็นวาบที่หลังรู้สึกถึงภัยอันตรายที่ร้ายแรงจากก้นบึ้งของหัวใจ เขาถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้คิดอะไร ทิ้งโอกาสที่จะจัดการน่าซู จากนั้นก็สะบัดมือซ้ายกางร่มหนังปลาฉลามออกสกัดกั้นเกาทัณฑ์ลับที่พุ่งเข้ามา
หยางชูหุบร่มแล้วมองเกาทัณฑ์ที่ตกอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าที่ไม่น่ามองของสิ่งนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีมันคืออาวุธลับของหวงเฉิงซือ