คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 453 น้องหก
อันที่จริงจงซู่ไม่ได้ล่าถอยไปไหน เขาถอยจากแนวหน้าเดินทางไปอีกที่หนึ่งเพื่อรอซูถู หลังจากนำทัพด้วยตนเองกับมือมาครึ่งปีเขาเชื่อว่าเด็กสองคนนั้นจะร่วมกองทัพกันซึ่งเพียงพอที่จะจัดการกับน่าซูได้ขอเพียงตัดกำลังสนับสนุนได้ก็รอรับข่าวชัยชนะได้เลย
อย่างไรก็ตามในค่ายที่เขาคิดว่าแอบตั้งอย่างลับๆ ในเย็นวันหนึ่งก็มีแขกที่คาดไม่ถึงเดินทางมา
เมื่อทหารมารายงานจงซู่คิดว่าตนเองได้ยินผิด “เจ้าบอกว่าเขาเป็นผู้ใดนะ”
“เรียนท่านแม่ทัพ เขามีนามว่าจงเยวี่ย หมอเทวดาจงเยวี่ยขอรับ!” ทหารพูดอย่างตื่นเต้น
จงซู่สับสน “…เชิญเขาเข้ามา”
“ขอรับ” หลังจากนั้นไม่นานบุรุษวัยกลางคนก็เดินตามทหารเข้าไปในกระโจม เขาแต่งกายด้วยชุดสามัญชนใบหน้าอบอุ่น และร่างกายที่เพรียวยาวผอมบาง เขาถือตะกร้าหวายที่มีสมุนไพรสดจำนวนมากอยู่ในนั้นดูเหมือนคนเก็บสมุนไพรที่กำลังเดินอยู่บนภูเขา ทหารถอยออกไป จงซู่อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้น และเดินไปหาเขา
“น้องหกเป็นเจ้าจริงๆ หรือ…”
บุรุษวัยกลางคนที่อ้างว่าเป็นจงเยวี่ยประสานมือคารวะ และเดินไปหาเขา “พี่ใหญ่ เห็นท่านยังมีชีวิตอยู่ ดีจริงๆ”
จงซู่รู้สึกสับสน หากเป็นคนอื่นพูดประโยคนี้คงทำให้รู้สึกไม่พอใจฟังดูไม่ใช่คำพูดที่ดี แต่สำหรับเขาแล้วจงซู่ทำได้เพียงถอนหายใจ
บุรุษตระกูลจงยังมีชีวิตอยู่จนถึงอายุเท่านี้เป็นเรื่องที่ทำให้คนมีความสุขจริงๆ พี่น้องของเขาบางคนเสียชีวิตในวัยเยาว์ หลายปีก่อนเสียชีวิตไปสองสามคน ปีที่แล้วน้องสามเสียชีวิตจำนวนสมาชิกครึ่งหนึ่งได้จากโลกนี้ไปแล้ว
“น้องหก เจ้ามาได้อย่างไร” จงซู่เชิญให้เขานั่งลง
“ข้ามาที่ซีเป่ยนานแล้ว” จงเยวี่ยปลดตะกร้ายาบนหลังแล้วนั่งลง “เพื่อเขียนตำรับยาข้าจึงมาเป็นหมอที่ซีเป่ย”
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่มาหาข้าก่อนหน้านี้ล่ะ”
จงเยวี่ยยิ้ม “อย่างที่บอกไปปีนั้นข้าออกจากตระกูลจงแล้วไม่สามารถกลับไปได้หรอก”
จงซู่เงียบอยู่นานก่อนจะพูดว่า “ท่านพ่อเสียใจในภายหลังข้ารู้ว่าท่านคิดถึงเจ้าอยู่ตลอดเวลา”
“ข้าไม่ได้โทษท่านพ่อ” จงเยวี่ยพูดอย่างใจเย็น “พิธีศพของท่านพ่อข้าก็ไปบอกลาท่านแล้วยังแอบคำนับหน้าหลุมศพด้วย ที่ข้าไม่กลับตระกูลจงแค่ไม่ต้องการทำให้ชื่อเสียงของตระกูลจงมีมลทิน ข้าเลือกชีวิตที่ต่างออกไปเบี่ยงเบนออกจากกฎของบรรพบุรุษจึงไม่สมควรเกี่ยวพันกับตระกูลจง”
“เฮ้อ…ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วเจ้ายังดื้อดึงอยู่เลย”
เมื่อเห็นน้องชายที่พรากจากกันมาหลายปีจงซู่ก็เกิดความรู้สึกต่างๆ มากมาย กฎของบรรพบุรุษตระกูลจงเมื่อทายาทที่เป็นชายมีอายุครบสิบสองปีจะต้องไปที่ชายแดนใช้ชีวิตเพื่อปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง
พี่น้องของเขาและท่านลุงทั้งหมดล้วนปฏิบัติตามกฎนี้ แต่มีคนหนึ่งที่เลือกต่างออกไป นั่นก็คือน้องหกของเขา
น้องหกผู้นี้ชอบเรียนแพทย์มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ชอบเรียนวรยุทธ์ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็เปลี่ยนใจเขาไม่ได้ เข้าร่วมกองทัพเมื่ออายุสิบสองระยะเวลาสี่ปีพี่น้องคนอื่นๆ ได้รับการเลื่อนยศเป็นนายทหาร แต่เขาเป็นแค่ทหารยศต่ำ
จนกระทั่งอายุสิบหกเขาไปพูดต่อหน้าท่านพ่อว่าจะปลดประจำการเพื่อไปเป็นแพทย์ ท่านพ่อโกรธมากจึงสั่งโบยเขาไม่หยุดไม่คิดอ่อนข้อแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเขาถูกตีจนใกล้ตายพี่น้องคนอื่นๆ จึงเกลี้ยกล่อมเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วคนที่ถูกเกลี้ยกล่อมคือจงซู่
น้องหกบอกกับเขาว่าสี่ปีที่ผ่านมาเขาพยายามมาโดยตลอด และในที่สุดเขาก็พบว่าไม่ว่าจะพยายามเพียงใดเขาก็เป็นได้แค่ทหารยศต่ำนายหนึ่ง ตระกูลจงเป็นตระกูลทหารซึ่งระหว่างพวกเขามีพรวรรค์ที่สูงต่ำ ตัวอย่างเช่นจงซู่ที่นิดเดียวก็เข้าใจแล้ว แต่เขานั้นไม่รู้อะไรเลย
แทนที่จะเป็นทหารเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงไม่โดดเด่นเขาอยากเป็นหมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกมากกว่า
เขาไม่มีพรสวรรค์ในกองทัพ ใครๆ ก็สามารถแทนที่ได้ แต่ถ้าเขาเป็นหมอ เขาเชื่อว่าเขาทำได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่ การปกป้องบ้านเมืองกับการช่วยเหลือผู้คนนั้นไม่มีความแตกต่างกันเลยดังนั้นแม้เขาจะละเมิดกฎของบรรพบุรุษ แต่เขามีมโนธรรมที่ชัดเจน
จงซู่คิดตามก็รู้สึกว่าสิ่งที่น้องหกพูดนั้นสมเหตุสมผลดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะไปพูดกับบิดา บิดานั้นไม่คิดจะฆ่าเขาเลยสักนิดจึงปล่อยให้เขาเดินออกจากบ้านไป แต่หลังจากที่ก้าวออกจากบ้านนั้นเขาจะไม่ใช่สมาชิกในตระกูลจงอีกต่อไป
ตั้งแต่นั้นมาตระกูลจงไม่มีบุตรชายคนที่หกเมื่อคนอื่นพูดถึงก็ตอบเพียงแค่ว่าบุตรชายคนที่หกละเลยวรยุทธ์ และเสียชีวิตในสนามรบ
จงซู่ไม่ได้เจอน้องหกของเขาจนกระทั่งหลายปีต่อมาเมื่อชื่อของเขาในฐานะหมอเทวดาได้แพร่กระจายไปทั่วหล้า เนื่องจากสถานการณ์สงครามที่ตึงเครียดเขาจึงมาที่ประตูชายแดนเพื่อเป็นแพทย์ทหารอยู่ระยะหนึ่งแล้วจากไป
ก็ถือว่าไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปีแล้ว
“พี่ใหญ่ไม่ต้องคิดมากตระกูลจงไปได้ดี ตอนนี้ข้าสบายดีมาก แต่ละคนก็มีทางเดินของตัวเองนี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”
“ข้าเถียงสู้เจ้าไม่ได้จริงๆ” จงซู่ส่ายหัว และยิ้มอย่างขมขื่นแล้วถามเขาว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าตั้งค่ายอยู่ที่นี่”
จงเยวี่ยยิ้ม “อย่างไรข้าก็เป็นคนในตระกูลจงยังเข้าใจวิธีติดตามร่องรอยของการเดินทัพ”
เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า “อันที่จริงครั้งนี้ข้าตั้งใจมาหาพี่ใหญ่”
“ตั้งใจหรือ”
จงเยวี่ยพยักหน้า “ไม่กี่วันก่อนข้าได้รับจดหมายจากสหายผู้หนึ่ง เขาไหว้วานให้ข้ามาโน้มน้าวท่าน”
“โน้มน้าวงั้นหรือ!” จงซู่เลิกคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร”
จงเยวี่ยไม่มีเจตนาปกปิด เขาหยิบจดหมายออกมาแล้วยื่นให้จงซู่ จงซู่อ่านจบอย่างรวดเร็วสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปชั่วขณะเขาทั้งตกใจและเสียใจ
เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายจงเยวี่ยก็ถอนหายใจ “พี่ใหญ่เสียใจมากหรือ บอกตามตรงข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกันเมื่ออ่านจดหมายจบ คนที่พวกเราตระกูลจงทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปกป้องกลับกลายเป็นเช่นนี้…”
“น้องหก!” จงซู่ตะโกนห้ามเขา “พวกเราจงรักภักดีต่อผู้ที่อยู่ตำแหน่งนั้น เรื่องอื่นเราไม่เกี่ยวข้อง หากมีจิตใจกล่าวโทษก็ถือว่ามีใจที่ไม่บริสุทธิ์”
จงเยวี่ยมองเขาเงียบๆ อยู่นานก่อนจะพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่เหมือนท่าน ออกจากตระกูลจงมาหลายปีคงไม่เป็นเหมือนท่านอีกต่อไปที่ต้องแสดงความจงรักภักดีเป็นอันดับแรก”
“งั้นเจ้ามาทำไมล่ะ จะโน้มน้าวให้ข้าทำผิดกฎบรรพบุรุษหรือ” เสียงของจงซู่สูงด้วยความโกรธเล็กน้อย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้ไม่ต่างจากข้ามขอบเขตที่ไม่สามารถก้าวเข้าไปได้เพราะหากก้าวเข้าไปตระกูลจงของพวกเราเป็นอันจบสิ้นแน่”
การแสดงออกของจงเยวี่ยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และเขาพูดอย่างเฉยเมย “พี่ใหญ่เป็นหัวหน้าตระกูลพูดแล้วผู้อื่นต้องเชื่อฟัง ข้ามาที่นี่เพื่อพูดในสิ่งที่ข้าต้องการจะพูดและข้าพูดจบแล้ว ท่านจะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของท่านข้าไม่สามารถบังคับได้”
จงซู่สงบลง “ได้ เจ้าว่ามา”
จงเยวี่ยชี้ไปที่จดหมาย “ปีนั้น…ท่านพ่อเข้าร่วมงานเลี้ยงของซือฮว๋ายไท่จื่อใช่หรือไม่”
จงซู่ไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าพูดถึงท่านพ่อเช่นนั้นเหตุการณ์นั้นแต่เดิมเป็นอุบัติเหตุ ท่านพ่อไม่ได้เข้าร่วมพรรคด้วยก็แค่เคยร่วมงานกับองค์ชาย และโน้มน้าวใจเขาเท่านั้น ไท่จื่อเป็นองค์รัชทายาทหากเขาไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น”
จงเยวี่ยพูด “ข้ารู้ว่าท่านพ่อเป็นคนอย่างไร แต่ในสายตาของผู้อื่น ตอนนั้นการกระทำของพ่อก็ไม่ต่างจากการเข้าร่วมพรรค จนกระทั่งสุดท้ายผู้ใดจะรู้ว่าคนที่นั่งตำแหน่งนั้นจะเป็นคนผู้นั้น ท่านพ่อไม่ได้ตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วหรือว่าจะสนับสนุนซือฮว๋ายไท่จื่อ”
จงซู่เงียบ ที่พูดเช่นนั้นมัน…
“จนกระทั่งตอนนี้ข้าจะไม่พูดเรื่องเก่า ตอนนี้มีผู้อื่นอยู่ในบัลลังก์ดังนั้นเราจะไม่พูดเรื่องอดีต แต่ในเมื่อมีไมตรีจิตความรักใคร่ต่อกันพี่ใหญ่ช่วยบอกที ทายาทของเขาสมควรได้รับการช่วยเหลือหรือไม่”