คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 455 คลี่คลาย
สาเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน นางถูกตามล่าเป็นพันลี้ และหยางชูก็ไปช่วยนาง
ตอนนั้นนางตระหนักถึงสิ่งหนึ่ง เหมือนตนเองจะเลือดร้อนแล่นขึ้นสมอง
ในตอนที่รับปากเขานางคิดว่าทุกอย่างมันเรียบง่าย เขาชอบนาง แต่ตนมีความคิดบางอย่างได้พบกันในช่วงเวลาที่ดีที่สุดเช่นนั้นก็ทิ้งความทรงจำที่สวยงามไว้ให้กันและกัน เพราะอย่างไรวันหนึ่ง…นางก็ต้องจากไป
ความรักในวัยเยาว์ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องหายไป เพียงแต่นางไม่ได้คิดว่าความรู้สึกของเขาจะร้อนแรงเช่นนี้ทำให้ตนรู้สึกว่าค่อยๆ แยกจากกันได้ยาก
เมื่อกลับจากเป่ยเทียนเหมินหมิงเวยระงับเรื่องนี้ไว้ในใจ ครึ่งปีที่เขาไม่อยู่ ทุกครั้งที่นึกถึงก็จะรู้สึกหนักอึ้งในใจ
หนิงซิวตั้งใจฟังแล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว ที่ท่านโกรธเมื่อครู่มีเหตุผลอยู่สองอย่าง หนึ่งโกรธที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ สองคือหลายวันมานี้กังวลมากเกินไปจึงใช้โอกาสนี้ระบายอารมณ์”
“…” หมิงเวยพูดเสียงเบา “ข้าเด็กมากเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หนิงซิวยิ้ม
หมิงเวยไม่พอใจ “อาจารย์ ท่านยิ้มทำไมเจ้าคะ”
“ท่านกดดันมากเกินไป” หนิงซิวพูด “อันที่จริงข้าคิดมาตลอดว่าท่านใช้สมองมากไป เมื่อเห็นท่านกับศิษย์น้องอยู่ด้วยกันผู้ที่ก่อกวนคือเขา ผู้ที่เดือดร้อนคือท่าน ผู้ที่พูดไร้สาระทำเรื่องโง่ๆ ก็คือเขา แต่ท่านก็ปล่อยให้เขาก่อกวนอยู่เสมอ และยึดมั่นในความสัมพันธ์ระหว่างพวกท่าน”
“เช่นนั้นไม่ดีหรือเจ้าคะ”
หนิงซิวส่ายหน้า “ไม่ดี พูดถึงเรื่องความรักก็ควรมีความสุข และเอาแต่ใจ อยากเถียงก็เถียง อยากทำก็ทำ ผู้อื่นมองว่าเด็กมองว่าตลก แต่นี่ก็เป็นสีสันอย่างหนึ่งเหตุใดท่านจะอารมณ์เสียไม่ได้ อย่างไรเดี๋ยวก็มีคนปลอบประโลมแล้วการสร้างปัญหาอย่างไร้เหตุผลน่ะ ไม่ขอโทษก็ไม่ต้องขอโทษ”
หมิงเวยหัวเราะ “อาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้ข้าก็โกรธไม่ลงหรอกนะเจ้าคะ”
หนิงซิวยิ้มบาง “ข้าเห็นเด็กคนนั้นขัดตามานานแล้วเห็นเขาล้มบ้างก็ดีใจ กลับไปก็อย่าหายโกรธเร็วเกินไป มันไม่สมเหตุสมผลที่จะปลอบเขาตลอดเวลา บางครั้งก็ควรอารมณ์เสียให้เขาปลอบเราบ้างก็ดีเหมือนกัน”
“อาจารย์…”
“ใจเย็นๆ ไม่ใช่ว่าไม่ทำอะไรเลย มีคนรักก็ต้องมีคนเอาแต่ใจ”
อืม…เพราะฉะนั้นเขาที่ไม่มีผู้ใดรัก จู่ๆ ก็คิดอะไรแปลกๆ ขึ้นมาเพื่อแกล้งเขา…
อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเศร้าไม่อยากเกลี้ยกล่อมแล้ว จะทำอย่างไรดี
หมิงเวยหัวเราะแล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง “อาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาของข้าได้เลยเจ้าค่ะ!”
หนิงซิวเลิกคิ้ว “ท่านต้องการแก้ปัญหาอะไรไม่อยากให้ตัวเองจมปลักลึกเกินไป หรือไม่ต้องการให้เขาจมปลักลึกเกินไปกันแน่”
“…ทั้งสองเจ้าค่ะ”
“เรื่องนี้มันแก้ได้ง่ายมาก เรื่องของความรักหากอยากทำลายทิ้งก็ทำได้ในชั่วพริบตา ข้าถามท่านท่านยินดีไปจากเขาตอนนี้หรือไม่” หมิงเวยขมวดคิ้วไม่พูดอะไร
“ดูเหมือนจะไม่อยากนะ”
หมิงเวยพูด “แม้ข้าจะคิดว่านั่นเป็นเรื่องของอนาคต แต่มันยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่อาจทราบได้ เพื่อเรื่องที่ไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้น หากจะตัดทิ้งตอนนี้ข้ารู้สึก…”
“โง่หรือ” หมิงเวยยิ้มอย่างละอายใจ
หนิงซิวพยักหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ก็ค่อนข้างโง่ในเมื่อท่านเคยคิดคำถามที่โง่เช่นนี้ ดูเหมือนว่าท่านจะชอบศิษย์น้องจริงๆ เรื่องนี้ท่านแค่ป้องกันตนเองเพราะคาดว่าเมื่อถึงเวลานั้นคงจะเจ็บปวดและเสียใจ แต่ความเจ็บปวดและความโศกเศร้าในตอนนั้นเป็นการสืบเนื่องของความสุขและความงดงามในปัจจุบัน ท่านไม่ถามตนเองล่ะว่าเต็มใจเอาความเจ็บปวดและความทุกข์ในอนาคตแลกกับความสุขและความงดงามในปัจจุบันหรือไม่”
“…เต็มใจเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็จบแล้ว” หนิงซิวยื่นมือมาลูบหัวนางสำหรับเขาแล้วนี่เป็นวิธีแสดงความใกล้ชิดที่หายาก “ในอนาคตอาจจะเจ็บปวด อาจจะเศร้า ดังนั้นตอนนี้ต้องมีความสุข”
“เจ้าค่ะ…”
“ส่วนเรื่องโกรธนั้นเป็นเรื่องที่สมควรแล้วเด็กคนนั้นไม่รู้ตัวว่าทำให้หลายคนกังวลเพียงใด พวกเราอาบแดดที่เนินกรวดอยู่ดีๆ เหตุใดเราจะโกรธเพราะเรื่องเหลวแหลกที่เขาก่อจนเราต้องวิ่งไปมาไม่หยุดไม่ได้เล่า ท่านควรสอนบทเรียนให้เขา และทำให้เขารู้ว่าเขาไม่สามารถทำเรื่องสุ่มสี่สุ่มห้าได้”
หมิงเวยได้ยินก็หัวเราะ เหตุใดเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้ถึงทำให้หนิงซิวพูดได้อย่างมีเหตุผลเช่นนี้
เมื่อเห็นนางไม่สับสนแล้วหนิงซิวก็วางใจ “พวกเรากลับกันเถอะไม่รู้ว่าค้างคาวราตรีซ่อนตัวอยู่ที่ใดข้างนอกไม่ปลอดภัยนัก”
“เจ้าค่ะ”
…………
หมิงเวยเดินหน้านิ่งกลับค่าย หยางชูได้รักษาบาดแผลที่ปริออกเรียบร้อยเขามองนางอย่างขวัญหนีดีฝ่อเขายื่นมือไปดึงแขนเสื้อนางอย่างระมัดระวัง “ข้าขอโทษ อย่าโกรธเลยนะ…”
หมิงเวยเหลือบมองอย่างเย็นชาจนเขาหดมืออย่างรวดเร็วด้วยความกลัว
กัวสวี่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บของเขาในกระโจมข้างๆ ไม่รู้ว่าแพทย์ทหารจงใจยื่นมือหนักไปหรือเปล่าเขาเจ็บจนร้องหาบิดามารดา
ผ่านไปครู่หนึ่งจงรุ่ยก็กลับมา “ตาแก่นั้นดวงแข็งแค่ข้อมือเคล็ดที่เหลือไม่มีปัญหาอะไร”
จงรุ่ยพูดจบก็หันไปทักทายหมิงเวย “แม่นางหมิง พวกท่านมาได้อย่างไร”
หนิงซิวเหลือบมองนางแล้วเป็นฝ่ายตอบแทน “พวกเราได้รับข่าวว่ามีคนจ้องเอาชีวิตเขา”
เขาที่ว่าหมายถึงหยางชู
จงรุ่ยตกใจ “เกิดอะไรขึ้น” หยางชูกลับมารักษาอาการบาดเจ็บก่อนเขาเลยยังไม่รู้เรื่องนี้
หนิงซิวหยิบเกาทัณฑ์ลับออกมา จงรุ่ยหยิบมันขึ้นมาดูแล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“ท่านรู้จักงั้นหรือ”
จงรุ่ยพยักหน้าแล้วพูดเสียงเบา “ข้าจะไม่รู้จักฝีมือของกองอำนวยการสร้างพระราชวังได้อย่างไร” เขามองหยางชูด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปในช่วงเวลาสั้นๆ เกิดความคิดขึ้นหลายอย่าง
หยางชูมองเขาอย่างเย็นชา “คุณชายจง ท่านคงไม่คิดจะจับข้าส่งไปใช่หรือไม่”
จงรุ่ยถูกเขาจ้องก็รีบปฏิเสธ “จะเป็นไปได้อย่างไร!”
เมื่อคิดดูอีกทีเขาก็ถามเสียงเบา “เป็นฝีมือผู้ใดหรือ”
“ท่านคิดว่าผู้ใดล่ะ” หยางชูยิ้มหยัน
จงรุ่ยเงียบเขานั่งจิบชาถ้วยแล้วถ้วยเล่า จิตใจของเขาสับสนเล็กน้อย เกาทัณฑ์ลับนี้มาจากกองอำนวยการสร้างพระราชวัง หมายความว่าผู้ที่ลอบสังหารหยางชูมาจากเมืองหลวง เช่นนั้นอาจเป็นไท่จื่อหรือองค์ชายสักพระองค์ หรือ…
จงรุ่ยหนาวจนตัวสั่นระริกไม่กล้าคิดต่อไป
หลังจากคิดดูแล้วเขาก็ถามขึ้นว่า “ท่านรู้ใช่หรือไม่ว่าผู้ใดต้องการเอาชีวิตท่าน”
หยางชูพูด “ข้ากลัวว่าจะทำให้ท่านตกใจ”
“…” เอาเถอะ พูดเช่นนี้เขาก็พอเข้าใจแล้ว
หากเป็นคนที่ไท่จื่อส่งมาพวกเขาตระกูลจงไม่กลัวเพราะพวกเขาภักดีต่อคนเพียงคนเดียวเรื่องไม่ดีเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับคนอื่น แต่คนที่ทำให้พวกเขากลัวได้คือเป้าหมายของความภักดีของตระกูลตน
จงรุ่ยคิดอยู่นานและพูดว่า “ข้าจะเขียนจดหมายหาท่านพ่อ”
หยางชูพยักหน้าหากไม่ลำบากใจเขาคงตัดสินใจไปแล้ว แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้จงรุ่ยเองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้
เมื่อจงรุ่ยเดินจากไปเขารู้สึกหนักใจ และไม่รู้ว่าตระกูลจงจะเลือกทางไหน
ตามสามัญสำนึก ตระกูลจงไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ แต่หลายวันมานี้ทั้งจงซู่และจงรุ่ย ทัศนคติของพวกเขาก็ทำให้เขามีความหวังอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” หยางชูเรียกกำลังใจและเอ่ยปากถาม “เหตุใดจู่ๆ เขาถึงอยากเอาชีวิตข้า หรือเกิดเรื่องขึ้นที่เมืองหลวง หรือว่ากุ้ยเฟย…”
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ใบหน้าของหยางชูก็ซีดลง หรือมีบางอย่างเกิดขึ้นกับกุ้ยเฟย ฮ่องเต้ถึงไม่คิดทนกับเขาอีก