คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 473 ไม่เต็มใจ
ข่าวเรื่องจี้เสียวอู่จะเข้าสู่การเป็นนักบวช และได้ยุติสัญญาหมั้นหมายนั้นแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จู่ๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งมาเยือนตระกูลจี้เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการแต่งงานของหมิงเวย
หมิงเวยได้ยินจี้ฮูหยินพูดเรื่องนี้ก็แปลกใจ “มีคนอยากขอหลานแต่งงานหรือเจ้าคะ”
สะใภ้ใหญ่ที่กำลังปักผ้าได้ยินก็ยิ้ม “เหตุใดน้องหญิงทำเสียงเช่นนั้นเล่า สตรีวัยสาวสะพรั่งจะไม่มีคนมาขอแต่งงานได้อย่างไร หากก่อนหน้านี้น้องไม่มีสัญญาหมั้นกับเสียวอู่ ธรณีประตูของบ้านเราคงไม่แห้ง”
หมิงเวยพูด “แต่ภูมิหลังครอบครัวข้า…”
บิดาของนางเป็นนักโทษกบฏถูกตัดสินตัดหัวเรื่องนี้ดูลำบากไปหน่อยไม่ใช่หรือ
“แล้วอย่างไร น้องหญิงเป็นผู้ที่ฝ่าบาทพระราชทานอภัยโทษ ไม่ต้องกังวลหรอก ยิ่งกว่านั้นสินเดิมของน้องก็มีมากมาย นอกจากครอบครัวท่านลุงแล้วก็ไม่มีญาติอื่นอีก แล้วน้องก็เกิดมางดงามเช่นนี้ในสายตาของผู้อื่นน้องสมบูรณ์แบบมากๆ”
“อ้อ…” หมิงเวยครุ่นคิด
น่าเสียดายที่ไม่มีภูมิหลังทางครอบครัว แต่หากอีกฝ่ายเดิมทีไม่คิดเดินในเส้นทางอาชีพขุนนางก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็บีบบังคับให้ทำเรื่องลำบากใจได้
พอลองคิดดูสตรีตัวเล็กที่ทั้งร่ำรวยและงดงาม ไม่มีฐานะชื่อเสียงทางครอบครัว เรื่องแต่งงานไม่ใช่ว่าทางครอบครัวเป็นคนจัดการหรอกหรือ
“คนในพื้นที่ของเรามีคนทำงานราชการหลายคน แต่อันที่จริงทรัพย์สินในบ้านมีน้อย เพื่อที่จะได้สินสอดทองหมั้นจึงแต่งงานกับแม่ค้าหญิงก็มี นับประสาอะไรกับน้องหญิงล่ะ”
ไม่ใช่ข้าราชการทุกคนที่อาศัยอยู่ในเรือนหลังใหญ่ สร้างครอบครัวใหญ่ได้ง่ายเช่นนั้น ที่ดินในหยุนจิงมีราคาแพงแค่ซื้อเรือนค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วหลายคนไม่สามารถซื้อได้จึงทำได้เพียงเช่าอยู่เท่านั้น
ในซอยที่ตระกูลจี้อาศัยอยู่มีข้าราชการจากที่อื่นมากมาย สามารถซื้อเรือนอาศัยอยู่ได้ถือว่าไม่เลวเลย
หมิงเวยมีลุงที่มีตำแหน่งซือเยว่ และมีพี่ชายที่มีตำแหน่งทั่วฮวาซึ่งดูมีอนาคตที่สดใส มีทั้งหน้าตาทั้งทรัพย์สิน สำหรับพวกเขาเหมาะสมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
พื้นฐานครอบครัวหรือ นั่นเป็นสิ่งที่ตระกูลใหญ่ให้ความสำคัญ แต่สำหรับพวกเขาช่างห่างไกล!
จี้เสียวอู่ถอนหมั้นมีคนไม่ดีหลายคนรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่ามีคนหัวเราะเยาะเขากี่คน สตรีที่ดีเช่นนี้กลับไม่ต้องการเพียงเพราะอยากออกบวช
จี้ฮูหยินกำลังเย็บเสื้อผ้ากับแม่นมถงเดือนสามผ่านไปฤดูร้อนก็มาถึงอย่างรวดเร็ว หากไม่เริ่มตัดเสื้อผ้าฤดูร้อนตอนนี้ก็คงไม่ทันการ
นางพูดว่า “อย่าไปสนใจคนพวกนั้นเลย ในสายตาของพวกเขาคงมีแต่สินเดิมของเจ้า หึ! คงมองว่าเจ้าเป็นเด็กเรียกทรัพย์!”
หมิงเวยยิ้มนางนั่งช่วยสะใภ้ใหญ่สนเข็มอยู่กับจูเอ๋อร์
“ท่านแม่ พูดเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ หากไม่มองเรื่องทรัพย์สิน น้องหญิงก็เป็นที่หนึ่ง! พวกเขาดูถูกน้องหญิงถือว่าตาบอดมาก”
จี้ฮูหยินคิดตาม “ก็จริง”
สะใภ้ใหญ่ถามต่อว่า “น้องหญิง เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”
“คิดเห็นอย่างไรหรือเจ้าคะ”
จูเอ๋อร์ขัดจังหวะ “ท่านอา ท่านแม่ถามว่าท่านอาอยากแต่งกับคนเช่นไรเจ้าค่ะ”
หมิงเวยยิ้มแล้วบีบแก้มนุ่มๆ นั้นเบาๆ “จูเอ๋อร์รู้จักคำว่าแต่งงานแล้วหรือ รู้หรือไม่ว่าหมายถึงอะไร”
“เหมือนกันกับท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ!” จูเอ๋อร์พูด “กินข้าวด้วยกัน นอนด้วยกันแล้วก็คลอดทารกเยอะๆ” หมิงเวยหัวเราะเสียงดัง
สะใภ้ใหญ่พูดไปด้วย “เด็กคนนี้รู้เยอะจริงๆ”
“แน่นอน” จูเอ๋อร์ดูภูมิใจมาก “ลูกยังรู้ว่าในท้องท่านแม่มีทารกน้อยๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นน้องสาวหรือน้องชาย”
หมิงเวยมองสะใภ้ใหญ่อย่างตกใจ
สะใภ้ใหญ่เขินอาย “อายุครรภ์ยังน้อยอยู่เลยไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ไปได้ยินตอนไหน”
“เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ เจ้าค่ะ”
จูเอ๋อร์มีอายุห้าปีแล้ว พี่ใหญ่ก็มีอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกหากเป็นคนอื่นถือว่าเร็วไป
จี้ฮูหยินดึงกลับสู่หัวข้อสนทนาเดิม “เสี่ยวชี เรื่องนี้หลานมีความเห็นว่าอย่างไร หลานพูดออกมาให้พวกเรามั่นใจหน่อย”
หมิงเวยหัวเราะรู้ว่าพวกเขาต้องการสอบถามตน เรื่องหมั้นก็ถอนไปแล้ว ทางนั้นมีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่ หากมีจะได้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ นางตอบไปว่า “ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ อย่างไรสถานะก็ต่างกัน”
สะใภ้ใหญ่พยักหน้า ก่อนที่คนผู้นั้นจะกลับสู่ราชวงศ์สถานะก็ต่างกันมากอยู่แล้ว ตอนนี้เขามีสถานะนั้นยิ่งห่างเข้าไปใหญ่อีก
ถึงแม้เรื่องที่จี้เสียวอู่ออกบวชจึงถอนหมั้นไม่นับเป็นเรื่องอัปยศ แต่สตรีที่เคยถอนหมั้นแล้วพูดเรื่องแต่งงานใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร
จี้ฮูหยินพูด “หลานอย่าเพิ่งถอยออกมาหนึ่งก้าวเพียงเพราะว่าสถานะที่ต่างกัน ไม่ว่าสถานะของเขาจะเป็นอย่างไร ความห่างของหนึ่งก้าวนั้น ก็อาจจะไม่ใช่คนรักกันแล้ว”
หมิงเวยตอบกลับ “เจ้าค่ะ”
จี้ฮูหยินถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าลุงของหลานเสียใจมากี่รอบแล้ว ครั้งแรกยอมให้แม่ของหลานแต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ ผลกลายเป็น…พวกเราไม่ต้องการเกียรติยศความมั่งคั่งขอเพียงแค่ความสงบสุขก็พอ”
หมิงเวยไม่พูดอะไรกับพวกนางมากนักหากไม่ใช่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ นางก็ไม่คิดจะแต่งงาน ตอนนี้ไม่เพียงยืนอยู่ในตำแหน่งนั้น แต่ยังยืดเวลาไปหลายปี หากทำสำเร็จสองสามปีหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วหากไม่สำเร็จทุกคนก็จบไปด้วยกัน
ใช่ ต้องหาโอกาส ต้องสังเกตจากน้ำเสียงของพี่ใหญ่ว่าเขาต้องการหนีภัยอยู่ด้านนอกหรือไม่
………..
ฮ่องเต้เองก็กำลังไตร่ตรองเรื่องนี้ หยางชูก็อายุเท่านี้แล้วหากทำตัวเป็นโสดก็คงไม่ได้ เด็กคนนั้นมีความคิดอย่างไรเขามองออกชัดเจนอยู่แล้ว แต่เขาไม่รู้เรื่องราวภายในจึงตอบรับไป ภรรยาธรรมดาที่ไม่มีภูมิหลังทางครอบครัวคือสิ่งที่เขาสบายใจที่สุด แต่ข้อมูลจากนกอินทรีก็เพียงพอแล้วที่แสดงให้เห็นว่าสตรีผู้นั้นไม่ธรรมดา
ก่อนอื่นทำให้เขาเทียนเสินเกิดการนองเลือดจากนั้นก็กลับมาอย่างปลอดภัยจากการไล่ล่าของซูถู ตามด้วยสถานการณ์ที่เนินกรวดใช้เคล็ดวิชาสร้างหนทางรอดชีวิต
พูดกันตามตรงเป่ยหูสงบลงได้เพราะนางไปโจมตีรากฐานของพวกเขา สตรีชั้นสูงมีความสามารถถึงเพียงนี้เลยหรือ นี่เป็นความดีความชอบในการเปิดพรมแดน ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอีกต่อไปแล้ว
แต่เด็กคนนั้นลงมือก่อนถึงควบคุมอีกฝ่ายหนึ่งได้ พอบอกว่าจะแต่งงานกับเขา แค่ปล่อยคำพูดนั้นออกไปก่อนว่าตนมีคนในดวงใจแล้ว ยศถาบรรดาศักดิ์ที่สูงผู้ใดจะไร้ยางอายรีบทำให้คนเกลียดกัน
นอกจากนี้เผยกุ้ยเฟยก็มาขอร้อง…ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอนเพียงมองหาเหตุผล…
เขาครุ่นคิดจากนั้นก็ออกคำสั่ง “เรียกราชครูเข้าวัง”
เสวียนเฟยในตอนนี้กำลังโมโหเหตุผลก็คือ หลังจากวางแผนอย่างลับๆ ในคืนนั้นหมิงเวยก็มาพบเขา เสวียนเฟยเห็นนางก็ของขึ้นแล้วถามออกไปว่า “วิชาลับนั้นถอนออกอย่างไร”
หมิงเวยกะพริบตา “ท่านราชครูพูดอะไรน่ะ อ้อ วิชาลับนั้นหรือ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ!”
เสวียนเฟยโกรธ “อย่าให้มันมากไปข้าทำทุกอย่างที่สัญญาไว้ แต่ท่านหลอกข้า”
“จะเรียกว่าหลอกได้อย่างไรเจ้าคะ!” หมิงเวยหัวเราะ “วิชาลับนี้ทำให้เรามีวิธีรับรู้อันตรายของกันและกัน ไม่ดีหรือ ข้ารู้สึกถึงท่าน ท่านรู้สึกถึงข้า ยุติธรรมมาก!” เสวียนเฟยแค่นหัวเราะ ยุติธรรมงั้นหรือฟังดูเหมือนมันจะเป็นอย่างนั้น แต่วิชาลับนี้เป็นของนาง! นางฝึกฝนอย่างสงบมานาน แต่ตนนั้นรับรู้ได้น้อยมาก ตรงกันข้ามกลับรู้สึกได้ถึงอันตรายเป็นครั้งคราว และรู้สึกว่าความคิดของตนนั้นไม่สามารถปกปิดได้เลย
ความรู้สึกนี้มันแย่มากราวกับว่าไม่ได้สวมเสื้อผ้าใดๆ เลยให้อีกฝ่ายเห็นมันทั้งหมด
“ท่านประหม่าเกินไปเจ้าค่ะ” หมิงเวยปลอบเขา “อย่างแรกเลยสิ่งที่ท่านสัมผัสได้คืออารมณ์ที่คลุมเครือ เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความคิดที่ชัดเจน และตรงกันเท่านั้นถึงจะแบ่งปันภาพบางส่วนได้ ชิ้นส่วนพวกนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ความทรงจำรั่วไหล ตราบใดที่ใจเย็นข้าก็จะไม่สามารถสอดแนมได้ ในทางตรงกันข้าม เมื่อท่านตกอยู่ในอันตราย ท่านสามารถให้ข้ารับรู้ได้เพื่อขอความช่วยเหลือ พูดตามตรงหากไม่ใช่สำหรับคนไม่กี่คนที่สามารถมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขของวิชาลับ ข้าก็ไม่อยากเสียมันให้ท่านหรอกเจ้าค่ะ”