คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 474 ไร้วาสนา
เสวียนเฟยโกรธมาก สตรีผู้นี้พูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ออกมาอย่างฉะฉานได้อย่างไร หลอกให้เขาช่วยเรื่องต่างๆ แต่ยกประโยชน์เข้าตัวเอง
เพื่ออะไร อยากให้เขาเป็นราชครู…
“ท่านราชครู นิสัยเคยชินของท่านไม่ดีเลย เหตุใดท่านมักจะคิดลบในทุกเรื่องกันเจ้าคะ”
เสวียนเฟยแค่นหัวเราะ “ท่านบอกมาว่าจะให้คิดดีอย่างไร”
หมิงเวยพูด “ประโยชน์ข้อแรกข้าพูดไปแล้ว มาเรื่องที่สองต่อเจ้าค่ะ”
นางมองเสวียนเฟยด้วยสายตาอันเป็นมิตร “จำดาวมารเมื่อตอนนั้นได้หรือไม่ ท่านมีพยากรณ์ดวงดาวในช่วงสองปีนี้บ้างหรือไม่เจ้าคะ”
เสวียนเฟยตอบอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอน” เขาเป็นราชครู การพยากรณ์ดวงดาวเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว “ดาวมารอะไร ข้าไม่เคยเห็น”
“ข้าบอกไปแล้วว่าท่านเป็นดาวมารจะมองเห็นตัวเองได้อย่างไร” หมิงเวยมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ “ข้ารู้ว่าตอนนี้ท่านเสียใจมากไม่รู้ว่าเหตุใดท่านถึงกลายเป็นดาวมารได้ แต่ท่านลองมาเป็นข้าดูสิปล่อยดาวมารอย่างท่านไปข้าแบกรับความเสี่ยงมากเพียงใด ทั้งหมดไม่ใช่เพื่อท่านหรือ พูดก็พูดเถอะเรื่องอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้ไม่รู้ว่าท่านจะเกิดปัญหาเมื่อไร การกำจัดท่านจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
“…”
“แต่ข้าไม่ทำเช่นนั้น แล้วยังช่วยให้ท่านเป็นราชครู อีกทั้งยังใช้วิชาลับกับท่าน ทั้งหมดนี้เพื่อความปลอดภัยของท่าน! ข้าพยายามมากมายเช่นนี้ท่านจะไม่ตอบรับน้ำใจของข้าบ้างเลยหรือเจ้าคะ”
เสวียนเฟยกระตุกมุมปากถามนาง “ข้าต้องขอบคุณท่านด้วยหรือไม่”
“แน่นอนเจ้าค่ะ” หมิงเวยไม่หน้าแดงเลยสักนิด “ข้าช่วยชีวิตท่านเพื่อเลี่ยงไม่ให้ท่านกลายเป็นดาวมารจนเหม็นโฉ่หมื่นปี[1]”
เสวียนเฟยไม่ต้องการสนทนากับนางอีกเพื่อไม่ให้ตนโกรธจนอกแตกตาย
ดาวมารอะไรกัน เรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นเหตุใดต้องดูเอาจริงเอาจังเช่นนั้น เขามีเหตุผลอะไรต้องก่อความหายนะนั้นด้วยเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้
“เป็นเรื่องปกติที่ท่านจะไม่เชื่อ” หมิงเวยพูด “ไม่อย่างนั้นพวกเรามาพนันกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
“พนันอะไร”
“ข้าคาดการณ์ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงภายในสามถึงห้าปีนี้ หากถึงตอนนั้นยังไม่มีอะไรผิดปกติก็ถือว่าข้าแพ้ และจะมอบทักษะทั้งหมดที่มีให้กับท่าน”
เสวียนเฟยใจเต้น “จริงหรือ”
“จริงเจ้าค่ะ” หมิงเวยให้สัญญา
“เช่นนั้นท่านต้องบอกเวลาที่แน่นอน”
หมิงเวยคิด “ศักราชหย่งเจียปีที่ยี่สิบห้า เดือนแปด”
“…” นางเจาะจงเวลาจริงๆ เสวียนเฟยที่ตอนแรกไม่เชื่อแม้แต่น้อย ตอนนี้เริ่มหวั่นไหว
สตรีผู้นี้หากไม่สนว่าจะเลวร้ายแค่ไหน เคล็ดวิชาของนางทรงพลังจริงๆ เขาคิดว่าตนได้รับสืบทอดทุกอย่างมาจากอาจารย์ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางก็มีความรู้สึกชื่นชมอยู่เสมอ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เคล็ดวิชาของนางนั้นสูงกว่าเขาอย่างน้อยหนึ่งระดับ
ยิ่งปีนขึ้นไปมากเท่าไรยิ่งเลื่อนระดับยากขึ้นเท่านั้น เสวียนเฟยรู้สึกว่าตั้งแต่กลับจากท่องยุทธภพ เคล็ดวิชาของเขาพบกับอุปสรรค อาจต้องใช้เวลาหลายปีในการขัดเกลาถึงจะสามารถผ่อนคลายได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มั่นใจว่าวันหนึ่งเขาจะสามารถเอาชนะนางได้
ครั้งนั้นที่เสวียนตูกวัน การพยากรณ์โชคชะตาแผ่นดินของนางทำให้เขาประทับใจ หลังจากที่จากไปสองสามปีนี้นางได้ยืนยันสิ่งที่นางพูดด้วยการกระทำของนางเอง ตอนนี้ทั้งแปดเผ่าในเป่ยหูกระจัดกระจายเป่ยเจียงอยู่ในความสงบ
บางทีนางอาจจะมองเห็นบางอย่างถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา
“ยอมรับหรือไม่เจ้าคะ” เสวียนเฟยเงียบ
หมิงเวยหัวเราะ “เช่นนั้นถือว่าเป็นอันตกลง!”
จากนั้นนางก็เปลี่ยนน้ำเสียง “จริงสิ ข้ามีเรื่องอยากรบกวนท่าน…”
เสวียนเฟยรู้ได้ทันทีว่าเขาตกลงไปในหลุมแล้ว ก่อนหน้าที่นางพูดมามากมายเช่นนี้ก็เพื่อให้เขาทำงานหนักหรือ
………..
“กระหม่อมเสวียนเฟย ถวายพระพรฝ่าบาท”
วันนี้ฮ่องเต้ให้เขามาพบที่หอสังเกตการณ์ เมื่อมองจากที่นี่จะมองเห็นคนเดินถนนที่ผ่านไปมาบนถนนสายหลัก เหล่าร้านค้า เหล่าประชาชน เหล่าลมหายใจแห่งชีวิต
ฮ่องเต้รู้สึกเสมอว่าแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ฮ่องเต้ผู้ทรงปรีชาอย่างไรก็เป็นฮ่องเต้ที่มีคุณสมบัติที่สามารถปกป้องบ้านเมืองได้
ดูสิ บ้านเมืองสงบสุขภายใต้การปกครองของเขา
“ท่านราชครูมาถึงแล้ว” เขาโบกมือ “มาดูแผ่นดินต้าฉีอันยิ่งใหญ่กับเจิ้นสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสวียนเฟยเดินเข้าไปหา และยืนอยู่ด้านหลังห่างจากอีกฝ่ายครึ่งก้าว
เมื่อเห็นว่าฟ้าใกล้มืดแล้ว ในที่สุดฮ่องเต้ทอดพระเนตรจนพอใจจึงโบกมือให้ข้ารับใช้ถอยออกไปแล้วพูดว่า “ท่านราชครูชำนาญการพยากรณ์ดวงดาว ท่านช่วยตรวจดูดวงชะตาปาจื้อของคนผู้หนึ่งได้หรือไม่”
เสวียนเฟยคารวะด้วยความเคารพ “ฝ่าบาทมีพระประสงค์กระหม่อมจะปฏิเสธได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองเข้าไปในหอสังเกตการณ์ซึ่งภายในนั้นมีเพียงแสงไฟสลัวเท่านั้น
ฮ่องเต้ชี้ไปที่กระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะ เสวียนเฟยหยิบมันขึ้นมา และเห็นว่ามันเป็นดวงชะตาปาจื้อ
เขาคำนวณอย่างเงียบๆ…
“ฝ่าบาท!” เขาทำหน้าสงสัย
ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “ทำไมหรือ ดวงชะตาปาจื้อนี้มีปัญหาหรือ”
เสวียนเฟยทำหน้าไม่เข้าใจ “เหตุใดฝ่าบาทถึงให้กระหม่อมคำนวณดวงชะตาของคนตายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตกใจ “คนตายงั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสวียนเฟยพูด “ดูจากปาจื้อแล้วคนผู้นี้เสียชีวิตตั้งแต่เด็กไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
ฮ่องเต้เงียบอยู่นานก่อนจะตอบว่า “แต่นางยังมีชีวิตอยู่จริงๆ”
“เช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสวียนเฟยครุ่นคิด “บางทีครอบครัวของนางมีความดี หรืออาจได้พบกับผู้ที่สามารถช่วยชีวิตได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางคงอยู่ได้ไม่นาน”
“ไม่มีเหตุการณ์นอกเหนือจากนั้นหรือ”
เสวียนเฟยตอบ “มีอยู่พ่ะย่ะค่ะ อย่างพวกเราที่เรียนรู้เคล็ดวิชาก็จะสัมผัสถึงวิถีแห่งสวรรค์และมนุษย์ อาจจะสามารถต่ออายุชีวิตของเราได้ แต่โชคร้ายยังคงดำเนินต่อไปยากที่จะบอกว่าจะตายเมื่อใด”
ฮ่องเต้พูด “นางเป็นเคล็ดวิชา”
“เช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจ” เสวียนเฟยพยักหน้า “ไม่ว่าอย่างไรฝ่าบาทไม่ควรเข้าใกล้บุคคลนี้มากเกินไป ตัวนางไร้วาสนาหากอยากมีชีวิตอยู่ต่อจะต้องยืมวาสนาของผู้อื่น อาจได้รับวาสนาครั้งใหญ่ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงมายาที่นำเอาวาสนาของผู้อื่นมาไว้กับตนเอง เมื่อวาสนานั้นหมดไปย่อมได้รับผลสะท้อนกลับเมื่อถึงเวลานั้นก็อาจจนตรอกไร้หนทางอีกต่อไป”
“อ้อ” ฮ่องเต้คล้อยตามแล้วถามว่า “ข้าเห็นนางโชคดีมากเป็นเพราะเรื่องนี้หรอกหรือ”
เสวียนเฟยชี้ตัวอักษรปาจื้อบนโต๊ะ “พ่ะย่ะค่ะ ยกตัวอย่าง คนข้างกายนาง วาสนาคือสระน้ำ นางก็เป็นทางระบายน้ำ ตอนนั้นอาจงามตระการตาดั่งระบายน้ำป่า แต่เมื่อผ่านไปน้ำก็แห้ง”
เขาชะงักแล้วถามว่า “กระหม่อมเห็นดวงชะตาปาจื้อนี้คิดว่าน่าจะเป็นสตรี ขออภัยหากกล่าวอะไรไม่สมควร หากฝ่าบาทคิดจะตั้งนางเป็นสนมเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”
หัวใจของฮ่องเต้ราวกับกลับมาเต้นเป็นจังหวะอีกครั้ง เหมาะสมมาก เขาตอบกลับไปว่า “ในเมื่อท่านราชครูกล่าวเช่นนั้นเจิ้นมีคำตอบในใจแล้ว”
เมื่อกลับไปฮ่องเต้ได้เสด็จไปยังพระราชวังเชียนชิวตรัสกับเผยกุ้ยเฟยว่า “เจิ้นคิดไปคิดมา ในเมื่อทนเห็นเขาผิดหวังไม่ได้ แต่พื้นฐานครอบครัวของแม่นางผู้นั้นต่ำไปหน่อย สนมรัก เจ้าถามเขาหน่อยว่าแต่งนางเป็นชายารองได้หรือไม่”
เผยกุ้ยเฟยยิ้มอย่างขมขื่น “ฝ่าบาท นิสัยของเขาเป็นอย่างไรท่านไม่ทราบหรือ เขาดื้อดึงมาก หากเขายอมรับคงไม่ก่อเรื่องจนถึงทุกวันนี้หรอกเพคะ”
ฮ่องเต้ลำบากใจ “แล้วจะให้เจิ้นทำอย่างไร สถานะนั้นไม่คู่ควรกับเขาเพราะปัญหาที่เขาก่อ เจิ้นรู้สึกผิดต่อเสด็จพี่ใหญ่ที่สิ้นไปมาโดยตลอด” เขาถอนหายใจ สุดท้ายก็พูดว่า “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ให้เสด็จพี่ใหญ่เป็นคนพูดด้วยตนเอง”
……………
[1] เหม็นโฉ่หมื่นปี : เป็นคำที่ใช้ประณามผู้ที่ทำชั่วว่าจะมีชื่อเสียติดตัวไปตราบนานแม้ตายก็ยังเป็นที่รังเกียจของผู้คน