จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 245
ฟางเหยียนมองผู้เฒ่าที่เสแสร้งคนนี้ แล้วดูแคลน “ทำบุญ! ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับฉันแบบนี้มาก่อน”
ในมือเขามีชีวิตของผู้รุกรานกว่าร้อยล้านคน ให้เขาทำบุญ! การฆ่าคนของเขานั่นแหละคือการทำบุญ!
“นั่นเป็นเพราะโยมยังไม่เจอพรหมลิขิต!” ผู้เฒ่ายังคงใช้หลักธรรมขั้นสูง
“เหอะเหอะเหอะ!” ฟางเหยียนหัวเราะออกมา แล้วกล่าว “อย่ามาแสร้งเป็นนักพรตหน่อยเลย มีพลังนี้เก็บไว้ภาวนาให้ตัวเองดีกว่านะ อย่าคิดว่าแกเป็นพรหมลิขิตของฉัน! แกไม่คู่ควร!”
ไม่ว่าจะยังไง คนนี้มันกำลังเสแสร้งอยู่ ทำเป็นเที่ยงตรงเป็นธรรม
เมื่อเห็นพวกเขา ฟางเหยียนเกิดโมโหทันใด ตนปกป้องประเทศ ปกป้องประชาชนแบบนี้ มันช่างน่าเศร้าเหลือเกิน!
“โยม! ชี่พิฆาตของโยมมันเยอะเกินไป อย่าฆ่าแกงกันอีกเลย อาตมาขอให้โยมวางดาบฆ่าคน แล้วบรรลุธรรมเป็นพุทธะเสีย!” ผู้เฒ่าตอแหลมากขึ้น มองตัวเองเป็นพุทธมามกะไปแล้ว
ฟางเหยียนรู้สึกตลก แล้วดูแเคลน จากนั้นสีหน้าบูดบึ้ง แล้วถาม “แกแน่ใจว่าจะยุ่งเรื่องของฉัน?”
ผู้เฒ่าท่าทางสงสัย แล้วกล่าว “อาตมาไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของโยม เพียงแต่ตระกูลเซียวเกี่ยวพันกับฉัน หวังว่าคุณผู้ชายจะให้เกียรตินักเต๋าอีเหมยอย่างอาตมา แล้วปล่อยเด็กและผู้ใหญ่ของตระกูลเซียวทั้งหมดเสีย”
นักเต๋าอีเหมย เขาขานฉายาของตัวเองออกมา เพื่อร้องขอไกล่เกลี่ยฟางเหยียน แน่นอน ฉายานี้ถือว่ามีชื่อเสียงในยุทธภพ ขอให้เป็นคนที่ศึกษายุทธภพจะรู้ ว่านี่ไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป
ตอนที่เซียวเจิ้นเที่ยนได้ยินฉายานี้ ก็ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วแล้ว นักเต๋าอีเหมย สามารถไล่ผีจับปีศาจได้ ไม่ว่าจะไปแห่งใด ภูตผีปีศาจต่างโดนเขาฆ่าตายทั้งหมด เขาเป็นยอดฝีมือตัวจริง และเป็นบุคคลในตำนาน คนมากมายได้ยินแค่ชื่อแต่ยังไม่เคยเจอตัวจริง
เขาไม่คาดคิด ว่าคนนี้จะเป็นอาจารย์ของลูกชายตัวเอง นี่เป็นความโชคดีของตระกูลเซียว โชคดีจริงๆ!
“ที่แท้ท่านก็คือนักเต๋าอีเหมย?!” เซียวเจิ้นเที่ยนกล่าวอย่างตัวสั่น
ผู้เฒ่าไม่ปริปากใดๆ เพียงแต่ใช้สายตานิ่งสงบมองไปยังฟางเหยียน สายตาโอหังของเขา เต็มไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง!
จำเป็นต้องพูด ว่าคนๆนี้นั้นมีความสามารถ
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฟางเหยียน กลับซีดเซียวไร้พลังอย่างเห็นได้ชัด
“ให้เกียรติ!” ฟางเหยียนกล่าวอย่างหนักแน่น “เกียรติของแกสำคัญไฉน! ถ้าแกยังยืนกรานจะยุ่งเรื่องของตระกูลเซียวละก็ ฉันจะฆ่าแกไปพร้อมๆเลยก็แล้วกัน! ให้เวลาแกสามวินาที รีบไสหัวไปจากระยะสายตาของฉันซะ!”
ผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นถอนหายใจแล้วกล่าว “ถ้าพูดแบบนั้น แสดงว่าโยมไม่ให้เกียรติอาตมาแล้ว?”
“คำพูด ฉันพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น! โอกาส ก็มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แกเสียโอกาสนี้ไปแล้วละ” ฟางเหยียนใช้น้ำเสียงสงบ แต่เต็มไปด้วยความอำมหิตที่สุด เขารับไม่ได้กับการที่คนอื่นเสแสร้ง
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าฮ่าฮ่าอย่างบ้าคลั่ง การหัวเราะบ้าคลั่งนี้ ราวกับเต็มไปด้วยพลังมหาศาล ทำให้คฤหาสน์ทั้งหลังสั่นสะเทือน! ผ่านไปหลายวินาที เขาหุบยิ้ม แล้วหน้าบึ้ง ดูแคลนแล้วกล่าว “วัยรุ่น แกถือดีเกินไปแล้ว! แกคิดว่าแกได้รับความดีความชอบในการรบมานิดหน่อย แล้วจึงไม่เห็นหัวคนอื่นแล้ว?”
ความดีความชอบในการรบมานิดหน่อย? แค่นิดหน่อยงั้นเหรอ?
เทพแห่งสงครามประเทศหวา จอมพลโผ้จวินสำนักเจ็ดพิฆาต ปกป้องประเทศชาติ เป็นบุคคลที่ทำให้กองทัพศัตรูได้ยินชื่อแล้วถึงกับหวาดกลัว แต่เมื่อออกมาจากปากเขากลับกลายเป็นได้รับความดีความชอบในการรบมานิดหน่อยเท่านั้น
ไล่กองทัพต่างชาติกว่าแปดแสนคน จัดการนายทหารระดับสูงขั้นต้นทั้งแปดประเทศ และยังมีทหารวิญญาณกว่าแสนนาย!
นี่ยังเรียกว่านิดหน่อยเหรอ?
ถ้าไม่มีฟางเหยียน พรมแดนของประเทศหวาไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปทิศทางไหนแล้ว!
ฟางเหยียนรู้สึกทุกอย่างประดังเข้ามาพร้อมกัน นี่คือประชาชนที่ตัวเองปกป้องอยู่นะ! ประชากรแบบนี้อยู่ในประเทศหวามันช่างเสียดายความพยายามของเขาเหลือเกิน มีชีวิตอยู่สู้ตายเสียจะดีกว่า
ความจริงแล้วอีเหมยวิเคราะห์จากนักรบกองทัพเหล่านั้นที่ฟางเหยียนพามา นักรบกองทัพกว่าร้อยคน ก็เป็นแค่หัวหน้าหน่วยเล็กๆไม่ใช่เหรอ? มากสุดก็คือแม่ทัพระดับสามดาว ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างสบายใจ
“เห็นหัว?” ฟางเหยียนส่ายหน้าแล้วกล่าว “ทำไมฉันต้องเห็นหัวแกด้วย? แกมีสิทธิ์อะไร? แกคิดว่าแกเป็นใคร? แกคิดว่าแค่แกพูดคำสองคำ แล้วฉันจะปล่อยพวกมันไป? อย่าว่าแต่พวกมันเลย แก ก็ต้องตาย!”
อีเหมยเดินก้าวไปด้านหน้า อย่างหน้าสั่น เขาหลับตาลงแล้วกล่าว “สาธุสาธุ เดิมทีอยากจะพูดดีๆกับแก ไม่คิดว่าแกจะอำมหิตได้ขนาดนี้ งั้นฉันก็ทำได้เพียงเป็นตัวแทนของสวรรค์ปกป้องความยุติธรรมแล้วละ!”
เดิมที่ทำความผิด แต่ดันถูกเขาพูดเป็นตัวแทนของสวรรค์ปกป้องความยุติธรรม นี่คือยอดฝีมือนักบวชที่ว่ากัน
เมื่อพูดจบ อีเหมยพนมมือไหว้ เขาท่องบทสวด ไม่นาน เขาชี้นิ้วไป ที่ฟางเหยียน เห็นเพียงแสงกะพริบ โจมตีไปที่ฟางเหยียน
ฟางเหยียนไม่เคลื่อนไหว เพ่งไปยังสิ่งที่ลอยมา สิ่งนั้นเคลื่อนที่เร็วยิ่งกว่ากระสุนเสียอีก แต่ฟางเหยียนไม่สนใจ ในขณะที่สิ่งนั้นลอยมาได้ครึ่งทาง ฟางเหยียนกระทืบเท้าแรงๆ พื้นถูกกระทืบจนพัง ในขณะเดียวกันก็มีชี่ไร้รูปขึ้นมาจากเท้าของเขา ขัดขวางการโจมตีของแสงนั่นได้พอดี เมื่อแสงนั้นลอยมาถึงด้านหน้าของเขามันก็หายไปโดยปริยาย
อีเหมยเห็นเหตุการณ์นี้ ก็อดไม่ได้ที่จะชะงัก เขาคิดว่าท่าเดียวก็จะปราบชายผู้นี้ได้แล้ว ใครจะรู้ว่าเขาก็มีฝีมืออยู่เหมือนกัน เมื่อเห็นชี่ลอยขึ้นมาจากเท้าของฟางเหยียน ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นระดับต้าชี่
วัยรุ่นขนาดนั้นแล้วเป็นระดับต้าชี่ได้ นี่มันอัจฉริยะของอัจฉริยะจริงๆ ถ้าให้เขาได้ฝึกฝนต่อไป การเป็นระดับปรมาจารย์ก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น อีเหมยอดไม่ได้ที่จะอุทานจากใจจริง ตนฝึกฝนมาทั้งชีวิตเพิ่งจะฝึกได้ระดับนี้ ไม่คาดคิดว่าจะมีคนที่อายุน้อยขนาดนั้นแล้วเลื่อนขั้นเป็นระดับต้าชี่ได้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
เขาหลับตาแล้วกล่าว “ไม่คาดคิดว่าจะเป็นคนที่เป็นระดับต้าชี่ มิน่าล่ะที่โอหังได้ขนาดนี้! แต่เสียดาย ที่วันนี้แกเจอเข้ากับฉัน! การบำเพ็ญของแกจะถึงการอวสานแล้ว” น้ำเสียงของอีเหมยเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส มั่นใจอย่างมาก
เมื่อสิบปีก่อน เขาได้เป็นระดับต้าชี่แล้ว ถีงแม้ไม่ได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับปรมาจารย์ แต่ระดับต้าชี่ทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย เขามั่นใจมากว่าจะชนะยอดฝีมือระดับต้าชี่ได้ทั้งหมด วัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้า น่าจะเลื่อนขั้นเป็นระดับต้าชี่ได้ไม่นาน
ยอดฝีมือล้วนเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง! เขาไม่มีทางเชื่อว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาจะเป็นระดับปรมาจารย์ ถ้าวัยรุ่นขนาดนั้นแล้วเป็นระดับปรมาจารย์ได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นอัจฉริยะที่มาจากดาวอื่น
อัจฉริยะแบบนี้จะปรากฏกายอยู่ที่เมืองจินโจวเมืองเล็กๆนี้ได้อย่างไรกัน ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อ
เซียวเจิ้นเที่ยนมองจนงง ฟังคำพูดเขายิ่งฟังไม่เข้าใจ การต่อกรกันของทั้งสองคนเมื่อสักครู่นี้ ดูท่าทีแล้วเหมือนจะถูกฟางเหยียนตีพ่ายแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะกังวล ถ้าแม้แต่ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้ายังไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา งั้นตระกูลเซียวก็ต้องจบเห่แล้วอย่างแน่นอน
เขามองไปที่เซียวติ่งแล้วถาม “ติ่งเอ๋อ อาจารย์ของแกชนะมันได้มั้ย?”
นั่นเป็นคนที่รับกระสุนด้วยมือเปล่า การกังวลของเซียวเจิ้นเที่ยนนั้นมีเหตุผล