จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 289
ฟางเหยียนชะงักและถามว่า “ทำ? ทำอะไร?”
เทียนขุยสะอึกและกล่าวว่า “พวกท่านเข้าไปครึ่งชั่วโมงแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับพวกท่านตลอดครึ่งชั่วโมงนี้เลยเหรอ? คนด้านนอกทั้งหมดต่างคิดว่าเกิดบางอย่างขึ้นกับพวกท่านเสียอีก”
“เทียนขุย!” ฟางเหยียนเปลี่ยนเรื่องกลับมา คำรามออกมาด้วยเสียงเย็นชา เทียนขุยตกใจจนคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปบนพื้น แล้วกล่าวว่า “จอมพลโผ้จวินได้โปรดลงโทษ เทียนขุยไม่ได้คิดจะยุ่งเรื่องของจอมพลโผ้จวิน ฉันเพียงแค่อยากจะมาบอกท่าน ว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าไหว้หลังหลอก!”
ในขณะที่พูดอยู่นั้น เหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลออกมาบนใบหน้าของเทียนขุย ต่อหน้าจอมพลโผ้จวิน เขาพูดแบบนั้นออกมาได้อย่างไร จอมพลโผ้จวินช่วยชีวิตเขาเป็นครั้งที่สอง ถ้าไม่ได้จอมพลโผ้จวินป่านนี้เขาคงกลายเป็นเศษธุลีไปแล้ว
ฟางเหยียนส่งเสียงฮึเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “นายลุกขึ้นมาได้แล้ว!”
เทียนขุยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบว่า “รับทราบ!”
หลังจากที่อีกฝ่ายลุกขึ้นอีกครั้ง ฟางเหยียนก็กล่าวว่า “ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอเลย!”
เทียนขุยรู้สึกเหลือเชื่อ ผู้หญิงคนนั้นสวยมาก หญิงโสดกับชายโสดอยู่ด้วยกันบนรถแถมยังปิดกระจกมิดชิด บอกว่าไม่ได้ทำอะไรกัน นี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ
“เหตุผลที่ฉันทำอย่างนั้น ทั้งหมดก็เพื่อทำให้คนในองค์กรนั้นคิดว่าฉันมีความรัก คิดว่าฉันเป็นพวกเจ้าชู้คนหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็จะวางอุบายฉัน แน่นอน นี่ก็แค่การทดลองหนึ่ง พวกเขาไม่มีทางที่จะทำเรื่องระดับต่ำขนาดนั้น!”
เทียนขุยพยักหน้าอย่างแรงแล้วกล่าวว่า “ฉันเข้าใจแล้ว จอมพลโผ้จวิน!”
ทันใดนั้นดวงตาของฟางเหยียนก็มาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเทียนขุย มองดูใบหน้าหยาบกร้านเอาแต่ใจแล้วกล่าวว่า “นายสบายใจเถอะ ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก เอาล่ะ นายลงไปข้างล่างได้แล้ว!”
เทียนขุยเห็นด้วยแล้วเดินออกจากห้องของฟางเหยียนอย่างเงียบ ๆ
กลางดึก ณ บ้านตระกูลเหลียง
ในห้องรับแขกมีเพียงเหลียงจงที่นั่งหันหน้าเข้าหาชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบปี เหลียงจงก้มศีรษะด้วยความรู้สึกผิด สีหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ชายชราผู้นี้ชื่อว่าหูหยาน เขาเริ่มต้นทำธุรกิจกับพ่อของเหลียงจง อีกฝ่ายซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อพ่อของเขา ในตอนเด็ก เหลียงจงถูกเลี้ยงดูและให้การศึกษาอย่างดีโดยพ่อของตนเองและหูหยาน แม้ว่าจะไม่ได้ดีที่สุดแต่ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายอะไร
“เหลียงจง ลุงเคยบอกกับเธอแล้ว เมื่อทำสิ่งต่างๆ ข้างนอกให้จำใส่ใจไว้เสมอว่าต้องใช้หลักการและคุณธรรมในการสยบผู้คน ลุงไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้เธอจะทำอย่างไร แต่ครั้งนี้ เรื่องที่เธอทำเกือบทำให้บริษัทของพวกเราล้มละลาย สถานะของเธอได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เข้าใจไหม?”
ทุกคำพูดของชายชราเปี่ยมไปด้วยความกังวานและทรงพลัง มีอายุและใจเย็น
เหลียงจงโน้มศีรษะลงไปกว่าเดิม กล่าวด้วยความละอายว่า “ผมรู้ ลุงหู! ผมจึงเชิญลุงหูมาเพื่อจัดการสถานการณ์ ผมรู้ว่าคุณลุงคือคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะมานั่งตำแหน่งนี้! คุณลุงไม่ต้องกังวลเรื่องพ่อผม ตอนนี้คนทั้งบริษัทไม่กล้าที่จะไม่เห็นด้วยกับคุณลุง”
สีหน้าของหูหยานเปลี่ยนไปในทันที กล่าวตำหนิ “เธอพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? เธอคิดว่าลุงอยากจะได้ตำแหน่งของเธอมากใช่ไหม ถ้าลุงอยากได้ ลุงคงรับช่วงต่อตั้งแต่ตอนที่พ่อเธอตายไปแล้ว”
ด้วยความโกรธเช่นนี้ เหลียงจงรีบลุกขึ้นยืนด้วยความหวาดกลัวและวิตกกังวล โน้มเอวลงเก้าสิบองศาเพื่อคำนับชายชราที่อยู่ตรงหน้า ตัวสั่นแล้วกล่าวว่า “ขอโทษด้วย ลุงหู ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น!”
หูหยานจ้องไปที่เหลียงจงแล้วกล่าวว่า “เหลียงจง ลุงจะพูดกับเธออย่างไม่อ้อมค้อมนะ ลุงบอกเลยนะว่าลุงนั้นแก่แล้ว สิ่งพวกนั้นลุงไม่สนใจหรอก! ลุงเป็นคนสะเพร่า ทำได้แค่รับมือกับเรื่องต่างๆ แต่ไม่สามารถจัดการกับปัญหาได้”
อธิบายวิธีการของตนเองภายในหนึ่งประโยค พูดง่ายๆก็คือ เขาจะช่วยแก้ไขปัญหา ใครเข้ามาทำให้บริษัทมีปัญหา เขาจะแก้ไขให้ แน่นอนว่าการแก้ไขปัญหาต่างๆ ก็จะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาแบบทั่วไป แต่เป็นวิธีแก้ปัญหาแบบที่เกี่ยวกับบนท้องถนน
เหตุผลที่บริษัทของตระกูลเหลียงครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับที่สองมาโดยตลอด ก็เพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหูหยานผู้นี้นี่แหละ
“ผมเข้าใจแล้ว ลุงหู!” เหลียงจงเกือบจะสำลักน้ำลาย ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“ดี นั่งลงเถอะ!” หูหยานกล่าวอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหลียงจงผู้นี้ไม่มีความใจเย็น สติปัญญาและความชำนาญแบบพ่อของเขา และมักจะทำเรื่องโง่ๆ อยู่เสมอ
เขาส่ายหัวอย่างขมขื่นแล้วกล่าวว่า “เรื่องแบบนั้น ผมจะไม่ให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองอีก! ครั้งนี้คนในตระกูลไม่โต้แย้ง ถ้าไม่อย่างนั้น กลุ่มตระกูลเหลียงของพวกเราคงไม่ถูกลบออกจากตะวันตกเฉียงใต้!”
ประโยคนี้ออกมาจากปากของหูหยาน เขาไม่กล้าที่จะสงสัย จึงถามต่อว่า “ลุงหู หาสถานะของฟางเหยียนเจอหรือไม่”
หูหยานหรี่ตาลง ก่อนจะส่ายหัวและกล่าวว่า “หาไม่เจอ ตัวตนของเขาเป็นความลับสุดยอด! แต่ลุงรู้ตัวตนอื่นของเขา เขาเป็นนายน้อยตระกูลฟางแห่งเจียงตู หลานชายของฟางจินหยวน”
“อะไรนะ?” เหลียงจงเบิกตากว้างในทันที อีกฝ่ายเป็นนายน้อยตระกูลฟางอย่างนั้นเหรอ! นั่นคือกลุ่มตระกูลฟางผู้นำแห่งเมืองจินโจว ไม่แปลกใจเลยที่เขาพูดและทำสิ่งต่างๆ ด้วยความมั่นใจและแข็งแกร่ง ที่แท้ก็เป็นนายน้อยแห่งตระกูลฟางนั่นเอง!
ทว่าประโยคต่อมาของหูหยานกลับทำให้เขาตกตะลึงมากยิ่งขึ้นไปอีก หูหยานกล่าวว่า “แต่เขาควรจะมีสถานะและเบื้องหลังที่แข็งแกร่งมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถทำให้กลุ่มตระกูลเหลียงที่กำลังรุ่งโรจน์ล้มละลายได้ด้วยการโทรศัพท์เพียงสายเดียว สามารถคุมเศรษฐกิจของตะวันตกเฉียงได้ทั้งหมด ความสามารถแบบนี้เกรงว่าถ้าเป็นคนธรรมดาคงจะทำไม่ได้”
ใช่แล้ว ลำพังเพียงแค่สถานะนายน้อยแห่งตระกูลฟางคงไม่สามารถทำให้สถานการณ์ของกลุ่มตระกูลเหลียงพังครืนลงมาได้จริง ๆ ต้องเป็นคนที่มีเบื้องหลังแข็งแกร่งมากเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องมีเบื้องหลังที่แน่นมากจริงๆแน่ๆ
คนๆ เดียวทำอะไรกันแน่ ถึงขึ้นไปอยู่จุดนั้นได้?
“ลุงหู ถ้าอย่างนั้นที่ลุงพูดว่าการตายของตระกูลเซียวในจินโจว คือฝีมือเขาใช่ไหม” เหลียงจงถาม
หูหยานสูดลมหายใจเข้า พยักหน้าอย่างครุ่นคิดและกล่าวว่า “ยังต้องถามอีกเหรอ?”
ในเวลานี้ มีหญิงงามรวยเสน่ห์คนหนึ่งเดินเข้าประตูมา รูปร่างงดงามมาก ดูแล้วน่าจะอายุสามสิบ สวมชุดผ้าชีฟองที่ขับให้หุ่นของเธองดงามยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากหุ่นดีและใบหน้างดงาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเสน่ห์แบบผู้ใหญ่บนร่างกายของเธอ เธอเป็นภรรยาของเหลียงจง แม่ของเหลียงเจิ้ง
ในตอนนี้เหลียงเจิ้งเดินตามหลังเธอไป ทั้งสองคนดูไม่เหมือนแม่และลูกชาย ทว่าเหมือนคู่รัก
หลังจากเดินเข้ามาแล้ว หญิงงามพูดด้วยน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียด “เหลียงจง ลูกชายคุณถูกรังแก! เรื่องนี้จะจัดการไหม?”
“เกิดอะไรขึ้น?” เหลียงจงขมวดคิ้ว มองไปรอบๆ เหลียงเจิ้ง แล้วกล่าวว่า “นี่ไม่ดีเหรอ ไหนแผลที่ถูกรังแก? ถ้าพูดให้ถูกคือลูกคุณไม่ไปรังแกคนอื่นจะดีกว่า”
“คุณ!” หญิงงามชี้ไปที่เหลียงจงแล้วกล่าวว่า “คุณเป็นคนแบบนี้ไปได้ยังไง ลูกชายคุณจะต้องถูกตีก่อนเหรอ ถึงเรียกว่าถูกรังแก?”
“ปัง!” เหลียงจงยังไม่ทันตอบ หูหยานก็ตบโต๊ะอย่างแรงแล้วตะโกนสุดเสียง “พวกเธอคิดว่าที่นี่คือที่ไหน? นี่คือห้องโถงของตระกูลเหลียง อยากให้ฉันจัดการเรื่องในครอบครัวของพวกคุณอีกหรือไง!”