จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 367
“เนื่องจากเกิดสองเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ส่งผลให้โครงการนี้ซบเซาอีกครั้ง!ครั้งนี้ซบเซาไปหนึ่งปี เดิมคิดว่าโครงการนี้จะถูกล้มเลิกไปแล้ว สุดท้ายก็มีคนเข้ามารับช่วงพัฒนาต่อ เจ้าของคนนี้ไม่เหมือนกับสองคนก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนที่เชื่อเรื่องผีสาง เมื่อรับช่วงต่อก็ไม่พูดถึงเรื่องการทำงาน แต่เชิญอาจารย์ท่านหนึ่งมาทำพิธี ใช้เวลาไปสี่สิบเก้าวัน หลังจากที่ทำพิธีสี่สิบเก้าวันเสร็จจึงได้เริ่มดำเนินการ”
“เดิมทีโครงการนี้ก็เหลืออีกไม่มากแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทำพิธีหรืออะไร โครงการจึงได้เสร็จสมบูรณ์แบบ และก็ได้เป็นอย่างในปัจจุบันนี้ แต่เจ้าของตอนนี้ไม่ใช่เจ้าของพัฒนาโครงการคนที่สาม หลังจากที่เจ้าของโครงการคนที่สามทำโครงการเบ็ดเสร็จแล้ว เขาก็ไปต่างประเทศ และไม่กลับมาอีกเลย”
“ช่วงปีสองปีแรกของการเปิดสถานที่ท่องเที่ยว ทุกคนระวังตัวกันมาก ไม่กล้ามาเที่ยว แต่ทุกวันคนนอกพื้นที่ที่มาเจียงตูมีเยอะมาก คนในพื้นที่ไม่มา กลับมาคนนอกพื้นที่ที่ไม่รู้เรื่องราวมาเที่ยวมากมาย เมื่อทุกคนเห็นมีคนมาท่องเที่ยว แล้วยังไม่เกิดอะไรขึ้น ด้วยเหตุนี้เองคนหมู่มากจึงได้ลืมเรื่องเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมาไป ไม่ว่าจะเป็นคนในหรือนอกพื้นที่ต่างก็พากันมาเที่ยวแล้ว”
“เมื่อหลายปีก่อน ที่นี่ครึกครื้นมาก แต่ในค่ำคืนวันนั้น มีคู่รักคู่หนึ่งคิดจะตั้งแคมป์ทำเรื่องน่าสนใจที่นี่ แต่ได้เกิดเรื่องขึ้นในคนนั้น กลางคืนหลังจากที่พวกเขาทำเรื่องน่าสนใจนั้นเสร็จ ก็เริ่มนอน นอนไปนอนมาก จู่ๆทั้งสองก็ได้ยินเสียงครึกครื้นจากด้านนอก จึงได้ลุกขึ้นมา เปิดประตูแคมป์ดู นึกไม่ถึงว่าด้านนอกจะกลายเป็นหมู่บ้านที่สว่างไสว ในหมู่บ้านมีคนมากมายเดินไปมา มีคนซื้อของ มีคนขายของ แล้วยังมีผู้เฒ่ากำลังพูดคุยกันใต้ต้นไม้ เป็นฉากที่ครึกครื้นกว่าปกติ”
“แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองแปลกใจก็คือ ใบหน้าของคนเหล่านี้ พวกเขาดูไม่ชัดเจน เลือนรางมาก ยิ่งพวกเขาอยากดูให้ชัดเจนเท่าไหร่ ใบหน้าของคนนั้นก็จะยิ่งเลือนรางมากเข้าไปอีก แต่พวกเขาเห็นสิ่งก่อสร้างได้อย่างชัดเจน เป็นสิ่งก่อสร้างในหมู่บ้านสมัยโบราณ มองไม่เห็นหน้าตาของพวกเขา ก็น่าจะได้ยินที่พวกเขาคุยกัน ได้ยินคนพูดกันจริงๆ แต่ไม่เข้าใจที่พวกเขาพูดกัน เสียงของพวกเขาซับซ้อน เหมือนเป็นภาษาของชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง”
“ในขณะที่ทั้งสองกำลังประหลาดใจอย่างไม่ไหวแล้วนั้น จู่ๆ บนท้องฟ้าก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว จากนั้น พายุฝนที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ตกลงมา คนที่อยู่ที่ถนนหายไปทันที กลับไปที่บ้านของตัวเองทั้งหมด คู่รักก็ต้องหาที่หลบฝนเช่นกัน แต่ยิ่งอยู่ฝนยิ่งตกหนักมากขึ้น และก็ไม่รู้ด้วยว่าตกมานานเท่าไหร่แล้ว จู่ๆ ได้มีเสียงฟ้าร้องขึ้นอีกครั้ง แต่นี่ไม่เหมือนเสียงฟ้าผ่า มันกลับเหมือนกับ…น้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนต่างไหลมา”
“วินาทีถัดมา ทั้งสองยังไม่ทันได้เตรียมตัว น้ำป่าไหลหลากมาทันใด ทั้งหมู่บ้านถูกปกคลุมด้วยโคลนทั้งหมด รวมทั้งคู่รักทั้งสองนั้นก็โชคไม่ดี ตายเพราะน้ำท่วม วันต่อมา ผู้คนพบศพของคู่รักคู่นั้นในแคมป์ บนร่างของพวกเขาเต็มไปด้วยโคลนหนาเตอะ เหมือนกับจมลงไปกับโคลนอย่างไรอย่างนั้น ต่อมาเมื่อชันสูตรศพพบว่าพวกเขาเสียชีวิตจากน้ำท่วมฉับพลัน ถูกของหนักกระแทกจึงเสียชีวิต อวัยวะตันทั้งห้าและอวัยวะกลวงทั้งหกแตก!คืนวันก่อนหน้า เจียงตูไม่มีฝนตก ท้องฟ้าโปร่งใส ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาเสียชีวิตได้อย่างไร”
“และหลังจากนั้นเป็นต้นมา สถานที่ท่องเที่ยวแห่งนั้นจะมีคนตายเป็นประจำ ในหนึ่งเดือนอย่างน้อยจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสองครั้ง ช่วงกลางคืนที่วัยรุ่นที่มาเที่ยวที่นี่จะบอกว่าตัวเองเห็นผี ข่าวลือแบบนี้ยิ่งพูดยิ่งประหลาดขึ้น แบบนี้ จนเริ่มไม่ค่อยมีคน อย่างช้าๆ เป็นแบบนี้ จนที่นี่จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวรกร้างไปแล้ว”
หลังจากที่ได้ยินเรื่องเล่านี้ของเทียนขุยแล้ว ฟางเหยียนก็เงียบไป ไม่นาน ได้ถามเขาว่า “นี่คุณกำลังเล่าเรื่องผีให้ผมฟังอยู่หรือเปล่า?”
เทียนขุยหัวเราะออกมา แล้วกล่าว “ผมพูดความจริงครับ!นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในสถานที่แห่งนี้”
“แล้วคุณรู้ได้อย่างไร?”ฟางเหยียนถาม เทียนขุยไม่ใช่คนเจียงตู มันค่อนข้างแปลกประหลาดที่เขารู้เรื่องนี้
เทียนขุยกล่าว “เมื่อก่อนตอนที่ผมเพิ่งเข้ากองทัพ ได้ยินเพื่อนร่วมห้องทหารคนใหม่พูด เขาเป็นคนพื้นเมืองเจียงตู บ้านอยู่ที่สุ่ยหยุนต้งเทียน ตอนนั้นการเป็นทหารน่าเบื่อมาก ถ้าไม่เล่าเรื่องแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะฆ่าเวลายังไง ตอนนั้นผมก็คิดว่าเป็นเรื่องผี แต่ตอนนี้เมื่อถึงที่นี่ เห็นวิวทิวทัศน์แบบนี้ ผมก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องโกหก”
ฟางเหยียนอืมออกมา พยักหน้าอย่างครุ่นคิดแล้วกล่าว “ไม่ได้โกหกหรอก สถานที่แห่งนี้มีพลังด้านมืดมหาศาล!”
ฟางเหยียนไม่เข้าใจเรื่องฮวงจุ้ย แต่ก็รู้มากกว่าคนทั่วไปเยอะมาก เพียงแค่เขาผ่านทางนี้ ก็รู้สึกได้ว่าที่นี้มีพลังด้านมืดมหาศาล เหมือนกับที่เทียนขุยได้ว่าไว้ ว่าใต้ดินจะต้องมีคนจำนวนไม่น้อยถูกฝังอยู่
แต่มีจุดหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นไปได้สักเท่าไหร่ ทำไมเจ้าของคนที่สองถึงได้ขุดเจอมังกรได้ล่ะ?ตามหลักแล้วที่ที่ฮวงจุ้ยแย่ๆจะไม่มีมังกรอยู่ ที่ที่มังกรอยู่นั้นจะต้องเป็นที่ที่ฮวงจุ้ยดีมากๆสิถึงจะถูก
ขณะนี้ เทียนขุยได้พูดกับตัวเองว่า “ไม่รู้จริงๆว่าตระกูลเจี่ยคิดอะไรอยู่ ที่ดีไม่เลือก ดันไปเลือกสถานที่แบบนี้ การที่จะผ่านที่ตรงนี้ไปได้ คงต้องใช้ความกล้าอย่างมากเลยสินะ”
ฟางเหยียนยิ้ม ไม่พูดอะไร
ผ่านไปสักพัก ได้ขับรถมาถึงหมู่บ้านของคฤหาสน์อันหรูหรา ที่นี่คนน้อยมาก จนเริ่มจะรกร้าง บนป้ายใหญ่ที่อยู่ด้านนอกประตู ติดประกาศขายบ้านราคาถูกไว้เต็มไปหมด ดูท่าทางแล้วหมู่บ้านคฤหาสน์นี้เจ้าของเป็นคนเดียวกับที่พัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว คนที่ซื้อในช่วงปีสองปีแรกที่เป็นกระแสร้อนแรง ต่อมาเมื่อเกิดปัญหา ก็ขายไม่ออกทั้งหมด
เทียนขุยขับรถเข้าไปโดยตรง ไม่นาน ก็มาถึงในหมู่บ้านคฤหาสน์สไตล์สวนหย่อม เทียนขุยได้จอดรถ ที่ประตูของคฤหาสน์หลังสุดท้าย
ด้านนอกของคฤหาสน์เป็นประตูเหล็กที่หนัก ข้างๆประตูเหล็กเป็นกำแพงสูงมากล้อมรอบไว้ จนขวางทัศนียภาพ ทำให้คนมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน ทำได้เพียงมองลอดจากช่องประตูเหล็กไป
ฟางเยียนเงยหน้ามอง ข้างบนของประตูเหล็กใช้ป้ายไม้เขียนอักษรเจี่ยไว้หนึ่งตัว!อักษรเจี่ยตัวนี้เขียนได้อย่างมีสไตล์ เขียนด้วยตัวอักษรจารึกบนกระดองเต่าสมัยโบราณ ปกติคนที่เรียนประวัติศาสตร์เห็นเข้าจะไม่รู้จริงๆว่านี่คือตัวอักษรเจี่ย
ไม่ต้องสงสัยเลย ที่นี่คือตระกูลเจี่ย เมื่อดูจากป้ายไม้ บ้านหลังนี้เป็นของตระกูลเจี่ยมานานมากแล้ว
เทียนขุยเดินเข้าไป กำลังเตรียมจะกดกริ่ง ยังไม่ทันได้กด ประตูก็ได้เปิดออกเอง ด้านในมีผู้ชายที่มีความสุขกำลังเดินออกมา ผู้ชายใส่แว่น สวมชุดนักพรตเต๋าสีเหลือง บนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นจากการถูกทำร้าย แผลนั้นอยู่ที่มุมปาก ดูท่าทางแล้วเพิ่งจะถูกทำร้าย
เขาใช้สายตาประหลาดใจมองทั้งสองตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วถาม “ท่านทั้งสองมารักษาโรคเหรอ?”
เทียนขุยขมวดคิ้วมองชายคนนั้น แล้วถามอย่างไม่เกรงใจว่า “คุณเป็นใคร?”