จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 372
“ฮะฮะ!” เหมิงซานลูบเครา พูดอย่างไม่แคร์ใครว่า “โลกนี้สิ่งที่ไร้สาระที่สุดคือลางสังหรณ์! บางทีการกระทำของคุณอาจจะทำลายชีวิตของคุณชายน้อยก็ได้ คุณเข้าใจไหม?”
“ฉันเข้าใจค่ะ!” ผู้หญิงชุดดำพูดอย่างมั่นใจ
จากนั้นก็ถามต่อ งั้นขอถามผู้อาวุโสเหมิงซานหน่อยว่าจะรักษาอาการป่วยคุณชายน้อยเราได้ไหม?”
สีหน้าเหมิงซานชะงักอย่างเก้อเขิน พลางว่า “ไม่ได้ครับ แต่ผมสามารถทำให้อาการป่วยคงที่ได้”
“คงที่? คุณจะคงที่ได้ยังไง? ทำให้คุณชายได้แต่นอนบนเตียงหรือไง?” ผู้หญิงชุดดำย้อนถามหน้าตาเฉยพลางว่า “ในเมื่อผู้อาวุโสเหมิงซานตัวคุณเองก็รักษาไม่ได้ เทียบกับการให้คุณชายน้อยทนรับความทรมานต่อไป ไม่สู้ให้คุณคนนี้ลองดูหน่อย”
“ฉันคิดว่า การแพทย์ของเขาไม่ด้อยไปกว่าคุณเลย!”
“บังอาจ!” เหมิงซานโมโหมาก เย่โล่คนนี้เอาแต่ใจจริงๆ กล้าพูดว่าการแพทย์คนคนนี้ไม่ด้อยไปกว่าตนเลย ทั่วทั้งประเทศหวา ต่อให้เป็นจู่เห้อ น่ากลัวจะไม่กล้าพูดแบบนี้ด้วยซ้ำ
เขามีชื่อเสียงแต่ไม่มีความสามารถงั้นหรอ? มันผ่านการเก็บสะสมมาเรื่อยๆ สีหน้าเหมิงซานเปลี่ยนไปไม่หยุด มองเย่โล่ด้วยความโกรธจนตัวสั่น แต่เขาเกรงใจเจี่ยเกิงจื่อ เลยไม่ได้ย้อนเย่โล่อะไรไป ได้แต่หันไปมองเจี่ยเกิงจื่อที่อยู่ด้านข้าง
เจี่ยเกิงจื่อครั้งนี้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองสำรวจเย่โล่อย่างแปลกใจ เย่โล่ตามติดเมียเขาแต่เล็ก เป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองเมียเขา พูดน้อยมาก และเป็นผู้หญิงที่ลึกลับดูยาก ครั้งนี้กลับพูดแทนคนคนหนึ่งขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดาแน่
ดังนั้นเขาเลยถามขึ้น “เย่โล่ เธอไม่ควรพูดจาอย่างเมื่อกี้!”
เย่โล่กลืนน้ำลายหนึ่งเอื๊อกก่อนว่า “ฉันรู้ค่ะ คุณท่าน! แต่ฉันคิดว่าพวกเขาสามารถรักษาคุณชายน้อยได้”
“เหอะเหอะ!” เหมิงซานยิ้มเย็นออกมาพลางว่า “คุณแน่ใจหรอว่าฝีมือการแพทย์คนนี้อยู่เหนือกว่าผม?” เขารู้สึกว่าโดนท้าทายชื่อเสียงตน ดังนั้นน้ำเสียงเลยเปลี่ยนเป็นเย็นชา ฟังดูไม่สบอารมณ์เลย
เย่โล่ยังไม่ได้พูดอะไร เทียนขุยก็โพล่งออกมาก่อนเลยว่า “ใช่ ฝีมือแพทย์ของโผ้จวิน แกทาบไม่ติดหรอก”
เหมิงซานลูบเครา ตะคอกใส่เทียนขุยด้วยความโกรธจนตัวสั่นว่า “คนธรรมดาคนหนึ่ง กล้าพูดว่าฝีมืออยู่เหนือฉัน งั้นดี ขอดูหน่อยสิว่าแกอยู่ระดับไหน!” ระหว่างพูด เขาก้าวเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ความหยิ่งผยองแผ่ซ่านทั่วตัว เขาหลับตาพลางก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ลมปราณแผ่ซ่านไปทั่วร่างเขา จู่ ๆก็มีลมพายุอยู่ด้านหลังเขา ชุดคลุมยาวโดนลมจนพลิ้วไสวขึ้นมา
นี่เป็นลมปราณชนิดหนึ่ง คนที่เรียนแพทย์มักจะฝึกฝน รวมวิชาไว้ในตัว
ดังนั้นพวกเขาเลยจะเป็นปรมาจารย์ระดับท็อปของโลกนี้ด้วย ปรมาจารย์หลีกเร้นโลก!
เทียนขุยกางสองแขนออก ตะคอกอย่างโกรธจัดว่า “ไอ้แก่นี่ ยังไม่คู่ควรให้โผ้จวินลงมือ!”
ฟางเหยียนหันกลับมา พลางยกมือขึ้นห้ามเทียนขุย พลางว่า “ฉันเอง!”
เขาพยายามประนีประนอมกับเหมิงซานคนนี้ แต่เหมิงซานกลับไม่ยอมถอยให้เลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับได้คืบจะเอาศอก ถือตนว่าอาวุโสกว่า
ฟางเหยียนไม่ใช่นักบุญอะไร เขาฆ่าคนมาหลายปี ความอดทนไม่มีขีดจำกัด
ถ้าเป็นเมื่อก่อน มีคนกล้าว่าเขาแบบนี้ คนนี้คงกลายเป็นศพไปนานแล้ว!
เขาจ้องมองเหมิงซานเขม็ง เหมิงซานสบตากับเขา พลันบรรยากาศเงียบลงฉับพลัน
สิ่งที่กลัวที่สุดคือบรรยากาศพลันเงียบลง แต่อากาศกลับนิ่งสงบทันที ฟางเหยียนจ้องเหมิงซานเขม็ง ถามเน้นทีละคำว่า “คุณแน่ใจว่าอยากเห็นระดับของผมหรือ?”
พูดจบ ในมือฟางเหยียนไม่รู้รวมพลังแสงสดใสไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แสงนั้นเป็นสีแดงอ่อนเกือบเหลือง ทุกคนในที่นั้นเห็นได้อย่างชัดเจน นั่นเป็นแสงไฟที่โผล่ออกมาจากกลางฝ่ามือของฟางเหยียน
ลมปราณภายในปล่อยออก แถมยังมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า นี่มันเกินสามัญสำนึกของทุกคนแล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่า ไม่มีทางมีไฟออกจากร่างคนได้ มันผิดหลักธรรมชาติ!
ในตอนที่ทุกคนพากันตกตะลึง ฟางเหยียนปล่อยพลังกลางฝ่ามือนั่นออกไป พอดีไปกระทบกับEvergreenต้นหนึ่งพอดี Evergreenต้นนั้นที่เดิมยังมีชีวิตพอโดนแสงไฟนี้สาดใส่เข้าไป ก็โอนเอนเล็กน้อย จากนั้นก็เหมือนมีอะไรลอยออกจากใบของมันเข้าไปรวมตัวที่กลางฝ่ามือฟางเหยียน จากนั้นEvergreenเฉาลง
ฟางเหยียนดึงมือข้างนั้นกลับ หันไปมองเหมิงซานที่ยืนอึ้งอ้าปากค้าง พลางพูดเน้นทีละคำว่า “นี่คือระดับของผม!”
ทุกคนในที่นี้พากันตะลึงอึ้ง ไม่เพียงแต่เหมิงซาน เจี่ยเกิงจื่อ คนบ้านเจี่ยทั้งหมดยังตกใจจนอ้าปากค้างด้วย
นี่เป็นพลังที่คนสร้างหรอ? พริบตาเดียวก็ทำให้Evergreenที่อยู่มาสิบกว่าปีเฉาตายลงทันที แถมยังมีระยะห่างกันเยอะด้วย
พวกเจี่ยเกิงจื่อไม่เคยเห็นเหตุการณ์อัศจรรย์แบบนี้มาก่อน ภาพแบบนี้เคยเห็นแต่ในละครหรือนิยายเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง นี่คือปรมาจารย์ นี่คือปรมาจารย์ชัดๆ!
เจี่ยเกิงจื่ออดตื่นเต้นไม่ได้ ใบหน้าชราของเขาเริ่มสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาพูดตะกุกตะกักว่า “คือว่า เทพหมอฟาง! คุณ เมื่อกี้ผมทำให้คุณไม่พอใจ ขอให้เทพหมอฟางอย่าถือสา อย่าถือสาเลยนะครับ!”
จากคุณฟางเปลี่ยนเป็นเทพหมอฟาง เปลี่ยนแปลงเยอะมากจริงๆ!
ตอนที่เจอฟางเหยียน ในใจเจี่ยเกิงจื่อไม่คิดเลยว่าฟางเหยียนจะมีชื่อว่าเทพหมอ ในเมื่อได้รับการขนานนามว่าเทพหมอ ต้องหน้าตาดูดีอยู่แล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูด อย่างน้อยต้องเหมือนเหมิงซานสิ! แต่หมอนี่ผิวซีด ดูแล้วเหมือนจะมีโรคประจำตัวด้วยซ้ำ มองซ้ายมองขวา ก็ดูไม่เหมือนเทพหมอ
ฟางเหยียนเพ่งสองตาไปที่เจี่ยเกิงจื่อ ไม่พูดอะไร เทียนขุยเงยหน้าขึ้น พูดเต็มเสียงว่า “คุณคิดว่าพวกเราเป็นอะไร? เป็นคนที่คุณอยากออกคำสั่งเมื่อไหร่ก็ได้อย่างนั้นหรือไง? เจี่ยเกิงจื่อ พวกเราเห็นแก่หน้าคุณท่านถังถึงได้มารักษาอาการลูกชายคุณ คุณกลับเสียมารยาทกับพวกเขาขนาดนี้ พวกเราไม่รักษาลูกชายคุณแล้ว!”
“พวกเราไป!” เทียนขุยพูดจบ ฟางเหยียนก้าวเท้าเตรียมเดินออกไปข้างนอก
ผู้หญิงชุดดำคนนั้นยังคงยืนอยู่หน้าประตู เธอกางแขนออกกัดฟันบอก “คุณคะ ขอร้องคุณช่วยคุณชายน้อยของเราเถอะ! คุณผู้หญิงมีลูกชายคนเดียวคือคุณชายน้อยเท่านั้น ถ้าคุณไม่ช่วย ดูท่า…”
“หลีก!” ฟางเหยียนแค่นเสียงตะคอกออกมา ตัดบทคำพูดเธอ เขายกมือขึ้นฟันไปที่ตัวผู้หญิง ฝ่ามือนี้ออกมาแทบจะพร้อมกันกับคำว่าหลีก แค่พริบตาเดียว ร่างผู้หญิงกระเด็นลอยออกไป
“เธอคิดว่าเธอคู่ควรจะขวางทางฉันหรือไง?” ฟางเหยียนจะช่วยใคร ปกติดูเรื่องบุญวาสนาต่อกัน ช่วยใครคือบุญของคนนั้น
ในสนามรบมันหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เพื่อนร่วมรบกันต้องช่วยอยู่แล้ว มาถึงด้านนอก เขาไม่ได้อาศัยวิชาแพทย์ ช่วยหลินถงเพราะบังเอิญ ก็ถือเป็นบุญของหลินถงด้วย ช่วยถังเสี่ยนจงเพราะคนตระกูลถังอ้อนวอนขอร้อง
ถึงเหล่าเห้อบ้านถังจะพูดว่า ขอเพียงเขารักษาคุณชายเจี่ยได้ จะพูดเรื่องเกี่ยวกับองค์กรสัตว์เพลิง เป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน สำหรับฟางเหยียนแล้วถือว่าเป็นเรื่องดี แต่เขาไม่ชอบการไม่เชื่อใจของคนอื่น คนที่ไม่เชื่อเขา เขาไม่มีทางยอมช่วยแน่ นี่เป็นเงื่อนไขขั้นพื้นฐานในการช่วยคนของเขา เจี่ยเกิงจื่อล้ำเส้นเขาพอดี
คนที่ออกรบในสนามรบมานาน ถ้าโดนคนล้ำเส้นเอาได้ง่ายๆ แล้วเขาจะยังเป็นทหารกล้าอีกหรือไง?