จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 382
เถาไห่หลงจิบน้ำชา แล้วกล่าว “แบบนี้ต้องเริ่มจากความตั้งใจเดิมตอนที่ผมเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับเจ้าค้างมีด น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ผมไปทำธุระที่ชนบทของเมือง เจอกับผู้เฒ่าคนหนึ่ง อายุของผู้เฒ่าคนนั้นมากว่าแปดสิบปี นั่งอยู่ที่ประตูของบ้านตัวเอง ใช้สายตาที่มองไม่ถนัดมองไปรอบๆ ราวกับกำลังหาอะไรอยู่”
“เมื่อเห็นผม เขาก็รีบเรียกให้ผมนั่ง ถามผมว่ามาทวงหนี้ของหรือเปล่า ผมคิดคนอายุมากปูนนี้แล้ว ยังจะเป็นหนี้คนอื่นอีกเหรอ?ต่อให้เป็นหนี้ ก็ไม่น่าจะต้องมาทวงเขา ถ้าจะทวงก็ต้องทวงลูกหลานของเขา!ผมจึงพูดว่าไม่ใช่ ผู้เฒ่าได้ยินผมพูดยังไม่ยอมเลิกละ กลับกันท่าทีได้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นไปอีก นั่งบนเก้าอี้ด้วยความเซ็ง”
“ผมเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบแปลกๆของเขา ก็ได้นั่งลงพูดคุยกับเขาสักพัก เมื่อคุยกันก็พูดถึงเรื่องหนี้ของเขา ที่แท้สิ่งที่เขาเป็นหนี้คนอื่นนั้นไม่ใช่เงิน แต่เมื่อหลายปีก่อนมีคนให้ได้ค้างเขาไว้ด้วยมีดทำกับข้าวเล่มหนึ่ง ตอนนั้นคนนั้นมาค้างของไว้ที่ชนบทกับคนจำนวนมาก แล้วยังบอกว่าตอนนี้ยังไม่เอาเงิน รอให้เมื่อไหร่ที่แกะขายได้ตัวล่ะมากกว่าหนึ่งพันค่อยมาเอาคืน”
“ตอนนั้นผู้เฒ่าฟังแล้วงงงวย แกะตัวล่ะเป็นพัน?ตอนนั้นหนึ่งพันนี่เยอะมาก มากกว่าหนึ่งแสนในตอนนี้อีก ในครอบครัวธรรมดาถ้ามีเงินหนึ่งพัน ก็อิ่มหมีพีมันแน่นอน ทุกคนต่างพากันไม่เชื่อ จึงได้ไปค้างมีดนั้นไว้ด้วยความไม่เชื่อ คุณคิดดู มีดเล่มหนึ่งห้าสิบหยวน แล้วยังรอให้หลังจากแกะราคาหนึ่งพันแล้วจึงค่อยมาทวงหนี้ ไม่ว่าใครได้ยินเข้า ก็ต่างรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น แล้วครุ่นคิดในใจว่ามีดเล่มนั้นต้องให้ตนฟรีๆแน่นอน”
“ด้วยเหตุนี้ผู้เฒ่าจึงได้ค้างมีดไว้ด้วยหนึ่งเล่ม จากกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป แกะขายในราคาหนึ่งพันแล้ว ตอนนั้นผู้เฒ่าจึงได้นึกถึงเจ้าค้างมีดที่ลึกลับคนนั้น และด้วยเหตุนี้เองจึงได้รอเจ้าค้างมีดมาเอาเงินทั้งวัน เมื่อรอก็รอมานานหลายปี ไม่เคยรอจนได้พบพวกเขามาเก็บค่าหนี้อีกเลย”
“ต่อมาผมสอบถามในหมู่บ้าน ผู้เฒ่าหลายคนต่างได้ค้างมีดเขาไว้ และพูดออกมาไม่เหมือนกันเลย สำหรับบางคนบอกว่ารอให้วัวราคาเป็นหมื่นก่อนจึงจะมาเอา บ้างก็บอกว่าให้ราคาแกะเป็นพันก่อน บ้างก็บอกว่าให้ข้าวโพดขายได้หนึ่งหยวนกว่าๆก่อน”
“คำทำนายเหล่านี้ที่พวกเขาพูดถึงล้วนเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นเศรษฐกิจของประเทศหวายังไม่เจริญรุ่งเรือง พูดได้ว่าค่อนข้างล้าหลังเลยทีเดียว คนหมู่มากอยู่มาทั้งชีวิตยังไม่เคยได้เห็นพันหยวนว่าเป็นอย่างไร คนจำนวนมากไม่เชื่อ แต่จากกาลเวลาที่ผ่านพ้นไป นึกไม่ถึงว่าคำทำนายของพวกเขาจะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ด้วยเหตุนี้เองผมจึงเริ่มสืบเกี่ยวกับองค์กรที่ลึกลับนี้ ถ้าไม่สืบก็ไม่รู้ แต่พอสืบก็ทำให้ผมตกใจอย่างมาก นี่เป็นองค์กรที่เคยปรากฏที่โลกมนุษย์มาเมื่อหลายปีก่อน!พวกเขานอกจากค้างมีดแล้ว ยังดูดวงหรือพยากรณ์ให้ผู้คนอีกด้วย เมื่อร้อยกว่าปีก่อนพวกเขาได้เคยรวมตัวปรากฏกายขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเกิดสงครามขึ้น พวกเขาเอาอาวุธให้กับชาวบ้านจำนวนไม่น้อย ไม่คิดเงิน รอให้ผู้รุกรานถูกขับไล่ออกไปก่อนแล้วจะมาเอา ต่อมาก็ไม่เห็นพวกเขามาเก็บเงิน แล้วก็หลังจากนั้น เจ้าค้างมีดก็ค่อยๆหายไปจากวิสัยทัศน์ของผู้คน แต่ตอนนั้นเจ้าค้างมีดมีบทบาทต่อประเทศหวามาก เกิดเป็นคำสุภาษิตเกี่ยวกับเจ้าค้างมีดออกมา สุภาษิตเหล่านี้เมื่อได้ยินแล้วก็ช่างน่าตกใจแกะราคาเป็นพันวัวราคาเป็นหมื่น ค่าสินสอดอย่างน้อยก็หนึ่งแสนแปดหมื่น โลกมนุษย์มีเส้นทางแต่ไม่มีคนเดิน ที่ชนบทมีบ้านแต่ไม่มีคนอยู่”
“ลองคิดดู ในสังคมเมื่อก่อนที่ยังไม่เจริญ ในยุคแปดสิบเก้าสิบก็มีการชี้ชัดว่าแกะจะราคาเกินพัน วัวจะราคาเกินหมื่น คำพูดแบบนี้ใครจะเชื่อ ตอนนั้นแกะไม่เกินหนึ่งร้อยก็ซื้อได้แล้ว วัวก็แค่พันกว่าเท่านั้น แล้วตอนนี้ล่ะ?ตอนนี้วัวและแกะราคาเป็นพันเป็นหมื่นไปแล้ว ส่วนค่าสินสอดในการแต่งงาน ฮ่าๆๆ ก็เป็นไปตามที่พวกเขาพูดไว้ ส่วนสองประโยคหลัง ผมว่าก็น่าจะเป็นจริง นี่เป็นองค์กรที่ลึกลับ คำพูดของพวกเขามักจะทำให้ผู้คนประหลาดใจได้เสมอ ดังนั้นผู้คนจึงมีคำพูดอยู่คำพูดหนึ่งที่พูดให้กับเจ้าค้างมีด อันตัวเขาหน้าตาทั่วไปเหมือนคนใต้หล้า มักจะค้างมีดให้ผู้คน หากพบเจอใครที่ฟ้าลิขิตไว้ พิภพก็จะถูกผลัดเปลี่ยนไป มีดชี้เป็นชี้ตายคนได้ ผู้ทำนายทายทักเชี่ยวชาญสรรพสิ่งทุกอย่างบนโลก ถ้าอยากรู้เรื่องในอนาคต ให้ถามเจ้าค้างมีด”
“คนเหล่านี้ได้หายไปจากวิสัยทัศน์ของผู้คน ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน!เกี่ยวกับเจ้าค้างมีด เมื่อพูดถึงมันก็ค่อนข้างงมงายจริง แต่พวกเขาเป็นองค์กรที่มีอยู่ในโลกมนุษย์จริงๆ!” เถาไห่หลงอธิบายอย่างเพลิดเพลิน
หลังจากที่ฟังจบ ฟางเหยียนก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด
เถาไห่หลงลังเลไปสักพัก แล้วถาม “ทำไมเหรอ?คุณฟางเคยเจอพวกเขาเหรอครับ?”
ฟางเหยียนพยักหน้าแล้วกล่าว “ครับ เจอเข้ากับเจ้าค้างมีดคนหนึ่ง เขาค้างมีดให้ผมหนึ่งเล่ม”
เมื่อพูดจบฟางเหยียนส่งสายตาให้เทียนขุย ส่งซิกให้เขาไปเอามีดที่อยู่ในรถมา เทียนขุยรับคำสั่งแล้วก็ยืนขึ้น เดินไปข้างนอก เมื่อเห็นดังนี้ ทุกคนก็เดาออกถึงความแตกต่างของตัวตนของทั้งคู่ คุณเทียนขุยเป็นลูกน้องของคุณฟางเหยียน ยอดฝีมือที่แท้จริงราวกับว่าจะเป็นวัยรุ่นที่ดูๆแล้วสุภาพเรียบร้อย
ไม่นาน เทียนขุยได้เอามีดที่เจ้าค้างมีดให้ตนมา
ฟางเหยียนรับมีดที่มีสนิมเขรอะขระมา มองตั้งแต่บนลงล่าง นี่เป็นมีดดั้งเดิมที่คนโบราณหลอมขึ้นมา แต่ไว้ใช้ต่อสู้ ไม่ใช่เอาไว้ทำกับข้าว เขามองประธานเถาแล้วถาม “ประธานเถา พอจะรู้เรื่องมีดมั้ยครับ?”
เถาไห่หลงรับมีดนั้นมาไว้ในมือดูอย่างละเอียด เคาะไปสักกี่ครั้ง จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วกล่าว “ผมความรู้ยังไม่ถึงขึ้น ไม่เข้าใจมีดจริงๆ!แต่ถ้าได้รับมีดจากมือของเจ้าค้างมีด จะต้องเป็นมีดที่ดีแน่ๆ ตอนนั้นมีคนจำนวนมากค้างมีดกล่าวว่า มีดที่พวกเขาค้างมาใช้ได้เป็นสิบยี่สิบปี แล้วตัวมีดก็คบกริบอีกด้วย ใช้ดีมาก”
ส่วนสนิม เถาไห่หลังยังคงชี้ชัดว่าเป็นมีดที่ดีเล่มหนึ่ง เพราะเจ้าค้างมีดให้มาด้วยตัวเอง
ฟางเหยียนมองมีดนั้น แล้วถาม “มีดนี้ใช้วัสดุอะไรในการทำ คุณดูไม่ออกเหรอ?”
เถาไห่เหลงส่ายหน้าแล้วกล่าว “ดูไม่ออก ผมไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับมีดสักเท่าไหร่ หม่าจงหัวของหนานหลิงของเราอยู่ในวงการนี้ พวกเขาชำนาญในอาวุธสิบแปดเล่ม แล้วเข้าใจในปืนมีดแน่นอน คุณสามารถไปถามที่มาของมีดนี้กับพวกเขาได้!”
ฟางเหยียนพยักหน้าอืม แล้วเก็บมีดไป จากนั้นก็ถามต่อว่า “แล้วเจ้าค้างมีดคือองค์กรอะไรเหรอครับ?”
เถาไห่หลงหลับตาแล้วครุ่นคิด กล่าวว่า “จากที่พวกเขาพูดเอง พวกเขาเป็นคนของสำนักกุ่ยกู๋!”
สำนักกุ่ยกู๋ สำนักของกุ่ยกู๋จื่อ กุ่ยกู๋จื่อ บุคคลสำคัญอันดับหนึ่งชั่วกาล มีความรู้เชี่ยวชาญ ห้าธาตุแปดทิศ สรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกมนุษย์อยู่ในการควบคุมของเขา ฟางเหยียนเคยค้นคว้าเกี่ยวกับกุ่ยกู๋จื่ออยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เขาแปลกใจกับบุคคลสำคัญเหล่านี้อย่างหาที่เปรียบมิได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้เริ่มศึกษาบุคคลเหล่านี้ เขาเคยศึกษาเกี่ยวกับกุ่ยกู๋จื่อ ศึกษาเกี่ยวกับขงเบ้ง แล้วยังศึกษาบุคคลสำคัญอีกจำนวนมาก ถ้าจะพูดถึงความอัศจรรย์ กุ่ยกู๋จื่อถือว่าเป็นบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งชั่วกาล
“สำนักกุ่ยกู๋!” ฟางเหยียนพูดคำนี้อย่างพึมพำ ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว