จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 385
หลังจากที่เสียงหัวเราะหมดไป เขาเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเลือดเย็น เขาตอบกลับว่า “ใช่ ฉันคืออ๋าวไท่!หาแกหาจนเหนื่อย ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลถังเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ฉันก็ไม่รู้เลยว่าแกมีความสัมพันธ์กับคุณหนูของตระกูลถัง ตอนนี้คุณหนูตระกูลถังอยู่ในมือของฉัน ตอนนี้เธอยังไม่ตาย ถ้าแกไม่อยากให้เธอตาย…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกฟางเหยียนขัดจังหวะ “ทำไม?แกข่มขู่ฉัน?”
อ๋าวไท่ลังเลไปสักพัก แล้วกล่าว “ฮ่าๆๆ แกคิดว่าฉันไม่กล้าข่มขู่แกหรือไง?ถ้าจะช่วยคุณหนูตระกูลถัง ก็มาหาฉันโรงงานกระจกเทมเปอร์ที่เขตเมืองเก่าของภาคตะวันตกของเมือง”
เมื่อพูดจบก็วางสายไป ฟางเหยียนหลับตาลง
ที่ฟางเหยียนหลับตาลงไม่ใช่เพราะเขาลักพาตัวคุณหนูตระกูลถังไป แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะหาไม่เจอว่าเย่ชิงหยู่เป็นภรรยาของเขา!เขาประมาทเกินไปหรือเปล่า สืบเจอถังยู่ แต่ไม่เจอเย่ชิงหยู่?
เป็นไปไม่ได้ คนที่ฆ่าคนเป็นนิจจะพลาดไม่ได้ เขาต้องสืบเกี่ยวกับตัวเองแล้วแน่นอน!
หรือ เขาลงมือกับเย่ชิงหยู่แล้ว?คนที่ฟางเหยียนส่งไปให้คุ้มกันเย่ชิงหยู่ก็เป็นแค่ลูกน้องที่เป็นนินจาระดับสูง ถ้าเขาจะฆ่าเย่ชิงหยู่จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
เมื่อนึกถึงจุดนี้ ฟางเหยียนจึงรีบโทรหาเย่ชิงหยู่ ปลายทางไม่รับสาย!
เขาโทรติดกันสามสาย ไม่มีคนรับ!
นี่เป็นการโทรสามในครั้งเดียวเพียงครั้งเดียวของเขา และมีเพียงเย่ชิงหยู่ที่คุ้มค่าแก่การที่จะให้เขาร้อนรน
“จอมพลโผ้จวิน ทำไมเหรอครับ?” เทียนขุยเห็นสีหน้าของฟางเหยียนบูดบึ้งขึ้น จึงได้ถามอย่างเศร้าโศก
ถังเสี่ยนจงก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วถาม “เป็นยังไงบ้างแล้วครับ?เทพหมอฟาง!”
สีหน้าของฟางเหยียนบูดบึ้งขึ้น ผ่านไปสักพัก เขาถือมือถือไว้ในมืออย่างแน่น แล้วค่อยๆตั้งสติ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไปกับผม”
เมื่อพูดจบ เขามองไปที่ถังเสี่ยนจงแล้วกล่าว “ท่านถังวางใจได้ครับ ผมจะพาถังยู่กลับมา”
ถังเสี่ยนจงถามอย่างร้อนรน “แล้วเหล่าเห้อล่ะ?เหล่าเห้อไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
ฟางเหยียนส่ายหน้า แล้วกล่าว “เขา อาจจะตายไปแล้ว”
คำพูดนี้กระทบถังเสี่ยนจงหนักหน่วงอย่างไม่ต้องสงสัย เหล่าเห้อตายแล้ว เป็นไปได้ยังไง?เหล่าเห้ออยู่กับตนมาตั้งหลายปี แล้วเขาจะตายได้อย่างไรกัน?ทันใดนั้นถังเสี่ยนจงก็รู้สึกวิงเวียน ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัวหลายก้าว
เหล่าเห้อสำหรับถังเสี่ยนจงแล้ว ไม่ได้เป็นแค่คนรับใช้ธรรมดาตั้งนานแล้ว เหล่าเห้อเป็นเพื่อนรู้ใจของตน ทั้งตระกูลถัง มีเพียงเหล่าเห้อที่จะมีโอกาสได้ฟังความในใจของเขา และก็มีเพียงเหล่าเห้อที่รู้ว่าตนคิดอะไร ทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกันและกัน และเป็นคนที่รู้ใจกันและกันตั้งนานแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สำหรับถังเสี่ยนจงแล้ว เป็นสิ่งที่สะเทือนจิตใจอย่างหนักอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
น้ำตาของเขาไหลรินออกมาตามใบหน้า นี่เป็นความผูกพันของผู้ชายกับผู้ชาย มีเพียงความสัมพันธ์ที่แท้จริงที่สุดจึงจะมีน้ำตาที่จริงใจที่สุดไหลออกมา นี่ไม่ใช่ความรัก นี่เป็นมิตรภาพ มิตรภาพที่เกินกว่าความรัก!
เมื่อเห็นท่าทีทุกข์ทรมานอย่างนั้นของถังเสี่ยนจง ฟางเหยียนขมวดคิ้วแล้วกล่าว “บางที อาจจะยังไม่ตาย!”
เขาปลอบคนไม่เป็น นี่ถือเป็นการปลอบประโลมอันน้อยครั้งของเขาแล้ว
เมื่อพูดจบเขาได้เรียกเทียนขุยมา ทั้งสองเดินทางไปที่โรงงานกระจกเทมเปอร์ที่เขตเมืองเก่าของภาคตะวันตกของเมือง
ไม่นาน ทั้งสองได้มาถึงโรงงานกระจกเทมเปอร์ร้างที่เขตเมืองเก่า ที่นี่เป็นเขตเมืองเก่าจริงๆ โยกย้ายไปจนไม่เหลืออะไร ทุกครัวเรือนย้ายไปอยู่ที่เขตใหม่หมดแล้ว บ้านเรือนกลายเป็นว่างเปล่า เมื่อเดินมาถึงที่นี่เห็นความรู้สึกอึมครึม
แต่ถ้าที่นี่มีภูตผีล่ะก็ เมื่อเห็นฟางเหยียนและเทียนขุยผุดๆโผล่ๆก็ต้องหลบหลีกไป เพราะในตัวของเขามีวิญญาณจำนวนมากอยู่ในตัวไว้ตั้งนานแล้ว พวกเขาไม่กลัวผี กลับกัน สิ่งที่ฝีกลัวมากที่สุดคือพวกเขาคนที่ฆ่าคนเป็นชีวิตจิตใจแบบนี้
ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงประตูของโรงงานกระจกเทมเปอร์ นี่เป็นโรงงานกระจกเทมเปอร์ที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง มีเนื้อที่ประมาณหลายพันตารางเมตร ทั้งสองเดินผ่าหญ้าที่โผล่ออกมาจากโคลนบนพื้น เดินไปทีล่ะก้าวจนถึงด้านในของโรงงานกระจกเทมเปอร์
สถานที่แห่งนี้ไม่มีประตูใหญ่ เพียงแค่เดินถึงประตูก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ด้านในได้โดยตรง
ว่างเปล่า เงียบสงบ อึมครึม น่ากลัว!
นี่เป็นสรรพนามของโรงงานกระจกเทมเปอร์แห่งนี้ และเป็นการอธิบายคุณลักษณะของโรงงานกระจกเทมเปอร์แห่งนี้ได้ดีที่สุด ในโรงงานกระจกเทมเปอร์ไม่มีอะไรสักอย่าง ว่างเปล่า เมื่อทั้งสองมาถึงที่ประตูใหญ่ ในวิสัยทัศน์การมองเห็น ได้เห็นคนๆหนึ่งที่คุกเข่าอยู่บนพื้น คนนี้คุกเข่าตรงๆภายใต้แสงแดด บนหลังคาของโรงงานกระจกเทมเปอร์ทะลุเป็นรู ให้แสงอาทิตย์สาดส่องมาได้พอดี และตำแหน่งนั้น เห็นที่ๆคนนั้นคุกเข่าอยู่พอดี!ดังนั้นเมื่อทั้งสองมองไป จึงได้เห็นคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น
ผู้เฒ่าที่อายุมากคนหนึ่ง สวมชุดคอจีน หัวเริ่มล้านแล้ว แขนของเขาห้อยลง คอก็ตกด้วยเช่นกัน ดูท่าทีแล้วไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย
ตอนที่เห็นชุดนั้น ฟางเหยียนก็ใจเต้นตึกๆ
เขารู้ว่านั่นคือใคร นั่นคือเหล่าเห้อ!พ่อบ้านของตระกูลถัง คนที่ตกลงว่าจะเล่าความลับเพลิงเสวนให้ตนฟัง
เพียงแต่ว่า เขาตายแล้ว!
ใช่ เหล่าเห้อตายแล้ว มองผ่านแสงอาทิตย์ไป ฟางเหยียนเห็นเลือดที่แข็งตัวแล้ว เทียนขุยขมวดคิ้ว แล้วกล่าว “จอมพลโผ้จวิน เขาตายแล้วจริงๆ”
ฟางเหยียนไม่พูดอะไร เพียงแต่ขยับตัวอย่างช้าๆ เดินเข้าไปที่ศพของเหล่าเห้อทีล่ะก้าว เทียนขุยเห็นดังนี้ ก็รีบเดินตามฟางเหยียนไป หันไปมองรอบๆเป็นพักๆ ดูว่าคนนั้นแอบซ่อนตัวอยู่ที่นี่หรือไม่
และแล้ว ตอนที่ฟางเหยียนเดินไปอยู่ห่างจากศพของเหล่าเห้ออีกห้าสิบเมตรโดยประมาณ เขาได้หยุดเดินลง หลังจากไม่มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นแล้ว รอบๆก็เงียบขึ้นไปอีก ไม่ได้ยินความเคืองแค้นแม้แต่น้อย
และแล้ว ในขณะที่ไม่มีเสียงใดๆ ด้านหลังได้มีเข็มเหล็กลอยมาหลายเข็ม เป็นเข็มเหล็กที่เล็กกว่านิ้วก้อยนิดเดียว เป็นอาวุธลับที่ไว้ฆ่าคนโดยเฉพาะ อาวุธนั้นพุ่งมาที่สองคน ลอยมาที่ฟางเหยียนและเทียนขุยอย่างเร็ว
มันเร็วกว่าที่คิดไว้ ความรู้สึกของฟางเหยียนรับรู้ได้ถึงความอันตรายที่กำลังเข้ามา เขารีบยกมือขึ้นมาผลักเทียนขุยที่อยู่ข้างๆออก ตนก็รีบหลบไปเช่นกัน หลบการโจมตีของเข็มเหล็กทั้งสามไปได้
“ฟิ่วๆๆ!” เข็มเหล็กทั้งสามปักเข้าไปที่ศพของเหล่าเห้ออย่างรุนแรง หลังจากที่ถูกเข็มทั้งสามปักเข้าไปแล้ว ศพของเหล่าเห้อก็ไถลลงกับพื้น หัวทิ่มพื้น ก้นโด่งขึ้นมา
หลังจากที่ฟางเหยียนยืนมั่นคงแล้ว ในโรงงานกระจกเทมเปอร์มีเสียง“ต็อก”“ต็อก”“ต็อก”ดังขึ้น อย่างเป็นจังหวะ เหมือนกับเสียงฝีเท้าที่เหยียบพื้นดังขึ้นมา
ดังสะเทือนอยู่ในโรงงานกระจกเทมเปอร์อันว่างเปล่าแห่งนี้
“ออกมา!หยุดทำอะไรกระบิดกระบวนได้แล้ว!” เทียนขุยตะคอกในโรงงานกระจกเทมเปอร์อย่างคลั่ง เมื่อเทียนขุยตะโกนออกมา ทำให้ในโรงงานกระจกเทมเปอร์มีเสียงสะท้อนดังสนั่นอย่างที่สุด
“ฮ่าๆๆ!” และแล้ว ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมา มีคนๆหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงที่ทั้งสองเพิ่งจะเดินเข้ามาเมื่อกี๊นี้ ไม่สิ พูดให้ถูกก็คือ มีสองคน เพราะมีคนหนึ่งถูกเขากอดไว้ เป็นคนที่เปลือยกายท่อนบน ผู้เฒ่าตัวเล็กที่หลังค่อม ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา ตรงกลางกระหม่อมไม่มีผม ดูๆแล้วเหมือนกับเทพมารไฟเมฆที่อยู่ในหนังกังฟู