จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 434
คิ้วของเทียนขุยขมวดคิ้วหนักอีกครั้ง ถึงเทียนขุยจะไม่เคยมีความสัมพันธ์ชายหญิงมาก่อนเลย แต่สำหรับคำพูดแบบนี้ เขายังพอเข้าใจอยู่ คนอย่างเขาเทียนขุยเป็นใครล่ะ พลโทของเขตซีหนาน เขามีอำนาจยุ่งเกี่ยวหมดทุกเรื่องใหญ่น้อยแค่ไหน ผู้หญิงคนนี้เห็นเชาเป็นอะไรเนี่ย เธอคิดว่าเขาเป็นคนแบบนั้นหรือไง ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ!
เขาเงยหน้าขึ้นมองชื่อโรงแรม ก่อนแค่นเสียงเดินออกไป
พนักงานสาวมองตามแผ่นหลังเทียนขุยที่เดินจากไป แค่นเสียงหยันออกมาพลางว่า “ถ้าไม่เห็นแก่ว่าแกมีเงิน แกคิดว่าฉันชอบแกมากหรือไง? แต่รสนิยมแกพิเศษจริงๆนะ ชุดคอสเพลย์ขอทานแกยังเล่น ดูน่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยนะ”
พอพูดถึงตรงนี้ เธอก็ยกมือขึ้นวางในจุดซ่อนเร้นอย่างไม่รู้ตัว
หลังออกจากโรงแรมมาขึ้นรถ เทียนขุยหยิบมือถือออกมาโทรหาฟางเหยียน
อีกฝ่ายรับสายอย่างรวดเร็ว เทียนขุยรายงานสถานการณ์เมื่อคืนกับฟางเหยียน จากนั้นก็บอกเรื่องเสี่ยวหงกับเขา
ฟางเหยียนรับคำเชิงเข้าใจ จากนั้นถามเทียนขุยว่าจะทำยังไงต่อ
เทียนขุยเงียบไปสักพักพลางว่า “โผ้จวิน ผมอยากแก้แค้นให้เสี่ยวหง ถ้าผมไม่ทำเรื่องนี้วันนี้ ต่อไปมันจะติดค้างในใจผมตลอด กลายเป็นบาดแผลอยู่ในใจ เสี่ยวหงมีความพิเศษสำหรับผมมาก พื้นที่ที่เธออยู่ในใจผมมันสำคัญมาก ผมอยากไปฆ่าคนตระกูลหยางที่ดินแดนตะวันตกเลย ตระกูลที่ทำตัวอุกอาจ รังแกคนอ่อนแอกว่าแบบนี้ไม่ควรเหลือไว้ เทียนขุยขอไปทำลายตระกูลหยางแห่งดินแดนตะวันตก ขอโผ้จวินอนุญาตด้วยครับ”
ทุกคำของเทียนขุยพูดอย่างหนักแน่น ฟังดูจริงจังมาก
ไม่ว่าจะทำอะไร เทียนขุยจะต้องรายงานโผ้จวินก่อน จุดนี้เป็นกฎที่คนของกองทัพทั้งหมดปฏิบัติตาม นับตั้งแต่วันที่พวกเขาเข้าร่วมสำนักเจ็ดพิฆาต ก็ไม่สามารถทำอะไรโดยพลการได้เด็ดขาด ทุกการตัดสินใจต้องขอต่อฟางเหยียน
ยิ่งไปกว่านั้นฟางเหยียนช่วยเขาไว้สองครั้ง ชีวิตของเขาเป็นของโผ้จวินนานแล้ว ถ้าโผ้จวินไม่อนุญาต เขาจะไม่ทำเด็ดขาด ผู้หญิงคนเดียวเขาสละได้ เพียงแต่คงเหลือเป็นบาดแผลไว้ในใจแน่
ฟางเหยียนฟังแล้วเงียบไปครู่ก่อนตอบออกมาคำเดียวว่า “ได้!”
พอได้ยินคำนี้ เทียนขุยรับคำก่อนวางสายลงไป
ฟางเหยียนนั่งอยู่บนโซฟาในเขตคฤหาสน์หุบเขาดอกพีช มือข้างหนึ่งถือมือถือไว้ บนโต๊ะมีหินวางอยู่สองก้อน ก้อนหนึ่งแดง ก้อนหนึ่งเขียว สีหน้าเขาอิดโรย แค่ดูก็รู้ว่าเมื่อคืนพักผ่อนไม่เพียงพอ
เมื่อคืนเขานั่งวิเคราะห์หินสองก้อนนี้ทั้งคืน พอจะเอนตัวนอนโซฟาสักเล็กน้อย เทียนขุยก็โทรมาพอดี
ในตอนนี้เขาเข้าใจความรู้สึกของเทียนขุยดี เสี่ยวหงมีความสำคัญในใจเขามาก พอรู้ว่าเสี่ยวหงประสบพอเจออะไรมา เขาต้องแก้แค้นให้เธออยู่แล้ว
มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนแรกที่เขารู้ว่ามีคนรังแกเย่ชิงหยู่เลย เย่ชิงหยู่มีน้ำหนักในใจเขามากกว่าของเสี่ยวหงที่อยู่ในใจเทียนขุยซะอีก ผู้หญิงแบบนี้ ใครจะทนดูเธอถูกรังแกได้กันล่ะ นี่เป็นสัญชาตญาณของผู้ชายคนหนึ่ง นับแต่โบราณมา ผู้ชายต้องปกป้องผู้หญิงของตนอยู่แล้ว ถ้าแม้แต่ผู้หญิงของตนยังปกป้องไม่ได้ งั้นก็จะกลายเป็นคนไร้ค่าแล้วจริงๆ คนไร้ค่าเลือดเย็นคนหนึ่งไม่คู่ควรมีสายเลือดประเทศหวาอยู่ และยิ่งไม่คู่ควรเป็นลูกหลานประเทศนี้!
ดังนั้นฟางเหยียนให้เทียนขุยไปจัดการตระกูลหยางแห่งดินแดนตะวันตก ตระกูลเลือดเย็นอย่างนั้นต่างอะไรกับตระกูลเซียวล่ะ อาศัยว่าตนมีอำนาจหน่อยก็ทำอะไรตามอำเภอใจ รังแกคนอ่อนแอกว่า ตระกูลแบบนี้ฟางเหยียนมีหรือจะยอมให้อยู่ต่อ! เขาปกป้องประเทศนี้ เพื่อให้คนในประเทศสามัคคี และคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่ก็ยังมีตระกูลแบบนี้อยู่ดี
ดังนั้นตระกูลหยางต้องสลายไป และคนที่จะทำให้ตระกูลหยางพินาศก็ต้องเป็นเทียนขุย!
เทียนขุยในตอนนี้เป็นยอดฝีมือระดับต้าชี่แล้ว เขาไม่สงสัยฝีมือเทียนขุยเลย อีกอย่าง ไปดินแดนตะวันตกก็ยังมีลูกน้องตนอยู่ เขาสามารถเรียกกำลังของกองกำลังระดับภูมิภาคมาช่วยตนได้ ไม่มีอะไรที่กำลังของกองกำลังระดับภูมิภาคจะจัดการไม่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจที่แท้จริง ฝีมือปกติจะกลายเป็นแค่เสือกระดาษ ทำอะไรไม่ได้หรอก
พอคิดถึงตรงนี้ ฟางเหยียนถอนหายใจยาวออกมา เขาเบนสายตากลับไปที่ตัวหินทิพย์สองก้อนบนโต๊ะ
หลังจากวิเคราะห์มาทั้งคืน เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าปราณทิพย์บนตัวหินทิพย์นี่มาได้ยังไง และไม่รู้ว่าเตรียมไว้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตนหรือเปล่า อาจารย์เคยบอกว่า หินสองก้อนนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตตน
ตอนนี้ทั่วทุกแห่งปรากฏการณ์ผิดปกติขึ้น แต่ละกลุ่มพากันตั้งตนเป็นใหญ่ คึกคะนองเลือดพล่าน องค์กรที่เก็บตัวมาช้านานกลับเริ่มปรากฏกายขึ้น ที่โผล่หัวออกมาก่อนคือแก๊งจิ่วหลงเหมิน,สำนักกุ่ยกู๋ของเจ้าตค้างมีด ตอนนี้ยังมีสำนักไร้หน้ามาอีก และก็มีองค์กรสัตว์เพลิงที่ดูลึกลับน่าสนใจอีก ไม่ว่ากลุ่มเหล่านี้จะมีความเกี่ยวข้องกันไหม ยังไงซะทั้งหมดนี่ถือเป็นการแสดงว่าโลกเริ่มจะเข้าสู่สถานการณ์ไม่ดี
สำนักไร้หน้าเริ่มแสดงเขี้ยวเล็บตนออกมาแล้ว เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนมาก คือต้องการครอบครองทั่วทั้งเขตซีหนาน ฟางเหยียนไม่รู้ว่าสำนักไร้หน้าเกี่ยวข้องกับการตายของลุงเย่ไหม แต่พวกมันต้องโดนจัดการแน่!
ทำลายสำนักไร้หน้า ก็ถือเป็นการเตือนองค์กรสัตว์เพลิงที่อยู่เบื้องหลังไปด้วย พวกแกไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็ได้ พวกแกก็อาจโดนทำลายเหมือนกัน สำนักไร้หน้าเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมหรือยัง? วันล่มสลายของพวกแกใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ ฟางเหยียนลุกขึ้นจากโซฟา เดินไปที่ระเบียงช้าๆ ที่ระเบียงสามารถชมวิวของหุบเขาดอกพีชได้ นี่ไม่ใช่ฤดูที่ดอกพีชจะบาน บนภูเขาเลยค่อนข้างโล่งเตียนเล็กน้อย
บังเอิญว่ามีลมหนาวพัดมาโดนตัวฟางเหยียนพอดี อากาศเริ่มเย็น นี่เป็นช่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วง ฤดูใบไม้ร่วงของทางใต้ไม่ถือว่าหนาว ไม่เท่ากับทางเหนือ
แต่ว่าอากาศเริ่มเย็นแล้ว เสื้อผ้าชุดนี้ก็ไม่เหมาะสมอีก
พอคิดถึงตรงนี้ ฟางเหยียนเดินมาถึงกล่องที่วางข้างตู้เสื้อผ้า เขาเปิดกล่องออกอย่างไม่รีบร้อน หยิบเสื้อโค้ทกันลมสีดำออกมาจากข้างใน บนเสื้อมีปักตัวหนังสือโผ้จวินเอาไว้ เพียงแต่ว่าเสื้อโค้ทกันลมตัวนี้ขาดเป็นรูอยู่หลายรู ด้านล่างคำว่าจวินของโผ้จวินเต็มไปด้วยรู เป็นรอยรูกระสุนปืนในสนามรบ ถึงจะบอกว่าเขาพบพานศัตรูในสนามรบมานับหมื่น ไม่เคยเลือดตกยางออกเลย แต่มันก็เป็นเหตุผลเดียวกับการเดินอยู่ริมแม่น้ำ มีหรือที่รองเท้าจะไม่ชื้น
เขาไม่ใช่เทวดา เขาก็เป็นคน เพียงแต่เก่งกาจกว่าคนปกติมากหน่อยเท่านั้นเอง
มองดูจุดด่างดำบนเสื้อโค้ทกันลมแล้ว เขายกมือขึ้นลูบเสื้อตัวนั้น จากนั้นก็ค่อยๆวางเข้าไป ในตัวเมืองที่ครึกครื้นนี้ เขาไม่สามารถใส่เสื้อแบบนี้ได้อยู่แล้ว มันดูกร่างมากเกินไป
มองดูกล่องของตัวเอง ในนั้นกลับไม่มีเสื้อแม้สักตัวเลย ทำเอาเขาปวดหัวเลย
ฟางเหยียนปิดกล่องลง เขาเดินวนไปมาในห้องสองรอบก่อนออกจากห้องไป
ในสมอง ฟางเหยียนมีแผนหนึ่งขึ้นมา เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับไปดูเย่ขิงหยู่ที่จินโจวก่อนละกัน ให้แน่ใจว่าเธอปลอดภัย ค่อยไปจัดการสำนักงานใหญ่ของสำนักไร้หน้า
1บทที่ 435 คุณชายโล๋
กับแค่การทำลายสำนักไร้หน้า ไม่ต้องรอให้ร่างกายตนฟื้นฟูครบร้อยหรอก อย่างสำนักไร้หน้าอย่างนั้นยังไม่คู่ควรให้ตนใช้พลังเต็มร้อยหรอก พวกเขาไม่คู่ควร
หลังจากฟางเหยียนออกไป ก็เดินตรงไปเข้าห้างเลย นี่เป็นร้านขายเสื้อผ้าโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นร้านเสื้อผ้าที่หรูที่สุดในหนานหลิงแล้ว ฟางเหยียน เดินตรงเข้าไปในร้านเลย ไม่ลังเลแม้แต่นิด
บางทีอาจเป็นเพราะราคาแพงมาก คนในร้านเลยน้อย ดูเงียบเหงาพิกล
ฟางเหยียนเดินผ่านกลางเสื้อผ้ามา ไม่นานก็มีพนักงานสาวสวยเข้ามาหา เธอสูงราวร้อยเจ็ดสิบ บวกกับรองเท้าส้นสูง มองดูแล้วยังสูงกว่าฟางเหยียนมากนัก ตอนเธอเห็นฟางเหยียน คิ้วขมวดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เธอเห็นคนมาไม่น้อย ส่วนมากเป็นระดับชนชั้นสูงทั้งนั้น พวกเขาไม่แต่งตัวแบบฟางเหยียนนี่ ว่ากันว่าไก่งามเพราะคน คนงามเพราะแต่ง การแต่งตัวของคนจะบ่งบอกถึงฐานะในสังคมของเขาด้วย
แต่งตัวสบายๆอย่างฟางเหยียนนี่ เสื้อเชิ้ตกางเกงยีน แค่ดูก็รู้ว่าเป็นระดับพนักงานเงินเดือนธรรมดา ถ้าตนเดาไม่ผิด หมอนี่ต้องมาซื้อเสื้อผ้าเพราะไปงานแต่งงานเพื่อนหรือไม่ก็งานรวมรุ่นแน่
แต่เพราะตนเป็นพนักงาน เลยได้แต่ยิ้มหวานว่า “คุณคะ เชิญเลือกดูตามสบายเลยนะคะ”
ปากเธอว่าเลือกดูตามสบาย ก็หมายความว่าตามนั้น คนแบบนี้จะมีปัญญาซื้อเสื้อผ้าในนี้ได้ยังไง ชุดหนึ่งราคาเท่าเงินเดือนครึ่งปีเขาแล้วมั้ง
สายตาฟางเหยียนเฉียบมาก พริบตาเดินไปที่แผงยอดนิยมของร้าน นั่นเป็นเสื้อโค้ทกันลมตัวหนึ่ง คล้ายกับตัวที่เขาใส่ในกองทัพมาก เขาเงยหน้ามองเสื้อตัวที่แขวนไว้สูงสุด ไม่ลังเลสักนิด ชี้ไปที่ตัวนั้นพลางว่า “ชุดนี้ ผมจะลองหน่อย”
พนักงานสาวอึ้งก่อนเผยสีหน้ายิ้มหยันพลางว่า “คุณคะ เสื้อตัวนั้นลองไม่ได้ค่ะ เป็นเสื้อที่มีเพียงตัวเดียวในร้านเรา ถ้าลองแล้วจะส่งผลต่อการขายได้ค่ะ”
หมอนี่หน้าด้านจริงๆ เสื้อตัวนั้นราคาสามแสนแปดหมื่นแปด เป็นแบรนด์ระดับประเทศ ราคาพอให้เขาไม่ต้องทำงานไปหกเจ็ดปีเลย ในสายตาเธอ ฟางเหยียนก็แค่พนักงานกินเงินเดือนๆละสี่ห้าพันเท่านั้นแหละ
“ไม่เป็นไร ถ้าใส่พอดี ผมซื้อ!” ฟางเหยียนพูดเสียงเรียบ
พนักงานสาวคนนั้นสะอึกเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าจะว่าเขายังไงดีแล้ว
ตาแหลม? หรือจะพูดยังไงดีละ? คิดอยู่สักพัก เธอหัวเราะเหอะเหอะพลางว่า “คุณคะ ถ้าไงมาดูทางนี้เถอะค่ะ! ทางนี้มีเสื้อผ้าที่เหมาะกับคุณ เสื้อผ้าทางนี้เซตหนึ่งราคาไม่กี่หมื่น เสื้อตัวนี้ฉันว่าคุณอย่าซื้อเลยค่ะ คุณ…” เธอกวาดสายตามองฟางเหยียนตั้งแต่หัวจรดเท้า แสดงท่าเหยียดหยามออกมาตรงๆ เธอรู้สึกว่าฟางเหยียนไม่มีปัญญาซื้อหรอก
หลายหมื่นก็แค่พูดให้เขากลัวเท่านั้น พอได้ยินว่าหลายหมื่น เขาคงรู้ตัวและยอมจากไปล่ะมั้ง
คนแบบนี้เธอเห็นมามากแล้ว วิธีต่อกรกับคนแบบนี้เธอเองก็มีไม่น้อย
ในตอนนี้เอง ชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฟางเหยียนเดินเข้ามา เขาใส่แว่น มีผู้หญิงเซ็กซี่สวยงามเดินเคียงกันเข้ามา ตัวผู้หญิงขายาวเรียว ร่างสูงราวร้อยเจ็ดสิบ แต่ออร่าดูดีกว่าพนักงานสาวตรงหน้ามากนัก ตัวผู้ชายใส่ชุดทันสมัยมาก แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนระดับสูง แต่สีหน้าผู้ชายดูไม่ดีนัก สีหน้าดูแย่มาก ดูแล้วไม่มีสีเลือดเลย น่าจะเป็นเพราะการใช้ชีวิตของเขา เขาน่าจะมีผู้หญิงไม่น้อยเลยทีเดียว
ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าคุณชายโล๋นี่เป็นกรรมการผู้จัดการของโล๋ซื่อกรุ๊ปแห่งหนานหลิง พ่อเขาเป็นประธานกรรมการของโล๋ซื่อกรุ๊ป ตระกูลเขาทำธุรกิจการโรงแรม ในหนานหลิงมีโรงแรมครึ่งหนึ่งอยู่ภายใต้โล๋ซื่อกรุ๊ป หลายอำเภอนักที่มีธุรกิจของตระกูลเขาไม่น้อย
แต่เขาไม่เหมือนกับพวกลูกคุณหนูคุณชายพวกนั้น ไม่เคยรวมหัวกับพวกเขา ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่าตนไม่เก่งพอ แต่เป็นเพราะเขาไม่ชอบพวกที่ใช้วิธีน่าเบื่ออ่อนหัดพวกนั้น งานอดิเรกเดียวที่เขาชอบคือผู้หญิง เปลี่ยนอาทิตย์ละคนนี่ถือเป็นเรื่องปกติแล้ว ด้วยเหตุนี้เขากินยาเป็นประจำ ทำให้ร่างกายเขากลายมาอยู่ในสภาพดูแข็งแรงด้านนอกแต่ที่จริงแล้วด้านในขี้โรค ทำให้วินาทีแรกที่เห็นเขา คนจะรู้สึกว่าอ่อนแอขี้โรค ไม่ว่าใครมาดูก็ต้องบอกว่าเขาไม่สบาย!
“อืม!” ผู้ชายคนนั้นรับคำพลางว่า “มาดูเสื้อโค้ทกันลมหน่อย อากาศเริ่มเย็นแล้ว”
พนักงานสาวรีบพาคุณชายโล๋เดินเข้ามาพลางว่า “เชิญทางนี้เลยค่ะ ที่นี่มีเสื้อโค้ทที่เหมาะกับคุณมากตัวหนึ่ง ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ของประเทศอี้ด้วยตัวเองเลยนะคะ หลายวันก่อนพึ่งมาถึงร้าน ไม่ว่าจะเป็นแบบหรือสไตส์ล้วนแต่เหมาะกับรูปร่างคุณมากเลย คุณลองดูก่อนได้นะคะว่าพอดีหรือเปล่า”
คุณชายโล๋รับคำมองไปผ่านๆพลางถาม “เท่าไหร่ล่ะ? ผมไม่สนใจของถูกหรอกนะ!”
“คุณชายโล๋วางใจได้เลยค่ะ เสื้อตัวนี้ต้องคู่ควรกับฐานะของคุณแน่ ราคาขายสามแสนแปดหมื่นแปดค่ะ” พนักงานอธิบายราคารัวๆ แถมยังหยิบไม้จะมาเอาเสื้อตัวนั้นลงมา
“เดี๋ยว!” ฟางเหยียนที่โดนเมินอยู่ข้างๆเรียกขึ้นเสียงเย็น
ดูท่าทางพนักงานสาวแล้วมันทำให้เขาไม่พอใจมาก
พนักงานสาวถึงพึ่งสังเกตว่ามีอีกคนที่สนใจเสื้อตัวนี้ เธอเลยหันมามองฟางเหยียนพลางว่า “คุณคะ คุณสามารถเลือกดูได้ตามสบายเลยค่ะ ฉันจะบริการประธานโล๋ลองเสื้อตัวนี้ก่อน”
ฟางเหยียนมองออกถึงเจตนาพนักงานสาว เลยถามขึ้น “เสื้อตัวนี้ร้านคุณไม่ให้ลองไม่ใช่หรือไง?”
คุณชายโล๋ได้ยินคำนี้เลยถามขึ้น “มีเรื่องแบบนี้ด้วย? เสื้อตัวนี้ลองไม่ได้?”
พนักงานสาวรีบพูด “เปล่านะคะ คุณชายโล๋ คุณสามารถลองเสื้อทุกตัวในร้านเราได้อยู่แล้วตามสบายเลย พวกเราจะกล้ามีกฎแบบนี้ได้ยังไงกัน กฎแบบนี้มีไว้ใช้กับคนบางจำพวกเท่านั้นล่ะค่ะ”
ตอนพูด สายตาพนักงานสาวแกล้งเพ่งเล็งไปทางฟางเหยียนหลายครั้ง
นับแต่อดีตมา มีการแบ่งแยกคนเป็นหลายจำพวกนัก มาตอนนี้กลับชอบพูดว่าทุกคนเท่าเทียมกัน ที่จริงแล้วในใจคนยังคงแบ่งแยกระดับคนอยู่นั่นแหละ พวกเขาแบ่งคนออกเป็นสามจำพวก หนึ่งคือชนชั้นสูง สองคือชนชั้นกลาง และอีกพวกที่น่าสงสารที่สุดคือชนชั้นล่าง มันเป็นจุดที่น่าสงสารที่สุดของคน เพราะไม่รู้เลยโดนจำแนกเป็นระดับชนชั้น
ที่จริงในสายตาสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่า มนุษย์ก็แค่ของเล่นที่สามารถบังคับได้เท่านั้น
คำว่าทุกชีวิตเท่าเทียมกัน มักใช้ในสายตาพวกระดับสูงมากกว่านี้เท่านั้น ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน
ฟางเหยียนมองผู้หญิงคนนี้แล้วรู้สึกว่าเธอไม่สมควรเกิดมาเป็นคนเลย!