จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 441
ฟางเหยียนส่งเสียงอืม แล้วส่งสัญญาณบัตรธนาคารที่อยู่ในมืออีกครั้งแล้วกล่าว “งั้นก็รีบไปรูดเถอะ!”
เหลียงจงเดินเข้ามาจะรับบัตรธนาคารที่อยู่ในมือของฟางเหยียนอย่างนอบน้อม แต่ฟางเหยียนเก็บกลับไป การกระทำนี้ทำจนเหลียงจงรู้สึกอึดอัด ฟางเหยียนไม่สนใจว่าเหลียงจงจะรู้สึกอย่างไร เพียงแต่พูดอย่างเย็นชาว่า “ให้เธอเอาไปรูดแล้วกัน!”
พูดพลาง นิ้วของฟางเหยียนชี้ไปที่สาวผู้จัดการที่ดูถูกคนอื่น สาวผู้จัดการตัวสั่นไปหมด และแล้วก็ถึงคราตนแล้วล่ะ นี่เป็นคนที่เหลียงจงและคุณชายโล๋ไม่กล้าแตะต้อง ต่อให้ตัวเองจะเก่งกาจขนาดไหน ก็แตะต้องไม่ได้แน่นอน
เธอกลืนน้ำลายลงไปเฮือกใหญ่ แล้วกล่าวอย่างอ้ำๆอึ้งๆ “คือ ฉันๆๆ”
เหลียงจงทนไม่ไหว จึงพูดกับพนักงานสาวว่า “คุณอะไรคุณ ไม่ได้ยินคำพูดของคุณฟางหรือไง ให้คุณไปรูดบัตรก็รีบไปสิ อืดอาดยืดยาดอยู่ได้ ไม่รู้หรือไงว่าคุณฟางรีบ?”
พนักงานสาวเดินไปที่ข้างหน้าของฟางเหยียนอย่างตัวสั่น ตอนที่เข้าใกล้คนนี้อีกครั้ง เธอกลัวจนตัวสั่น ขนลุกขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
“ขอ ขอ ขอโทษค่ะ เมื่อกี๊ฉันไม่รู้จริงๆค่ะว่าคุณจะรู้จักกับประธานเหลียงของเรา ขอโทษนะคะ ถ้าฉันรู้ ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นแล้วค่ะ” เธอก้มหน้าต่อหน้าฟางเหยียนด้วยสีหน้าจริงใจ
ฟางเหยียนแสยะยิ้มออกมา แล้วกล่าวอย่างสบายๆว่า “รูดบัตรเถอะ!”
เขาขี้เกียจจะพูดมากกับหญิงสาวคนนั้น ขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อยกับเธอขนาดนั้น การที่หญิงสาวผ่านการสั่งสอนในครั้งนี้แล้ว น่าจะรู้ว่าการกระทำที่ตัดสินคนจากภายนอกนั้นใช้ไม่ได้ หวังว่าต่อไปเธอจะไม่ตัดสินคนอื่นจากภายนอกอีกก็แล้วกัน
หลังจากที่รับบัตรธนาคารของฟางเหยียนมาแล้ว เธอก็รีบเดินไปข้างๆเครื่องรูดบัตรอย่างเร็ว เมื่อเห็นว่าฟางเหยียนไม่ได้ตามมา เธอจึงได้ถอนหายใจยาวๆ
ตอนนี้เธอเพิ่งจะสังเกตบัตรธนาคารที่อยู่ในมืออย่างตั้งใจ นี่เป็นบัตรเครดิตดำใบหนึ่ง ลูกค้าต้องมีเงินอย่างน้อยพันล้านขึ้นไปถึงจะมีบัตรนี้ได้ แล้วก็ต้องมีเงินมากกว่าพันล้านถึงจะฝากเข้าไปได้ พระเจ้า นี่มันต้องเป็นคนแบบไหนกันนะ ต้องเป็นตัวตนที่คนระดับอย่างเธอคาดเดาไม่ออกอย่างแน่นอน
แม้แต่คุณชายโล๋ ยังไม่มีบัตรทองร้อยล้านเลย เธอคิดผิดอย่างมหันต์ ที่ดูถูกผู้บริหารแบบนี้ ขณะนี้ พนักงานสาวรู้สึกเพียงว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวๆ นี่เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่น่าอับอายที่สุดของเธอ
หลังจากที่รูดบัตรเสร็จแล้ว ฟางเหยียนถือชุดนั้น เดินโยกเยกไปที่เหลียงจง ตอนที่เดินมาถึงข้างๆเหลียงจงแล้วเขาหยุดเดิน ยกมือขึ้นมาตบบนบ่าของเหลียงจง แล้วกล่าวอย่างสบายๆว่า “ขอบคุณสำหรับชุดของคุณนะครับ!”
จากนั้นเขาได้ก้าวเท้าเดินออกจากร้านเสื้อผ้าไป!
จนกระทั่งฟางเหยียนได้เดินจากไปแล้วจริงๆ เหลียงจงจึงได้ถอนหายใจยาวๆ เหมือนกับผ่อนคลายขึ้นมากอย่างไรอย่างนั้น
คุณชายโล๋มองเหลียงจง แล้วถามด้วยเสียงสั่นๆว่า “ลุงเหลียง คนนั้นคือใครกัน? ทำไมลุงถึงได้กลัวเขาขนาดนั้น”
เหลียงจงเงยหน้าขึ้นมา ดูแคลนออกมา แล้วกล่าวด้วยสีหน้าภูมิใจเล็กน้อยว่า “เขาคือคนที่โทรกริ๊งเดียวก็ทำให้ครอบครัวของแกล้มละลาย และให้แกกับพ่อของแกตายได้”
“เหลียงจง แกมันไม่ได้เรื่อง นึกไม่ถึงว่าจะกล้าลงไม่ลงมือกับฉัน!” ขณะนี้ ภรรยาของเขาเริ่มได้สติกลับมา จับหน้าแล้วพูดพลางเดินมาที่เหลียงจง ด้วยสีหน้าที่เป็นไปด้วยคราบน้ำตาและความน้อยใจ
“นี่เป็นคนที่หักขาลูกชายของคุณ คุณช่วยทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อยได้มั้ย คุณมันไร้ค่า!”
เหลียงจงยังคงดูแคลนอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ผมกำลังช่วยคุณ เมื่อกี๊ถ้ายั่วโมโหเขา สิ่งที่ตามมาจะเลวร้ายอย่างไม่คาดคิดเลยล่ะ!”
พูดจบ เหลียงจงไม่สนภรรยาของเขาอีกต่อไป เดินเอามือไขว้หลังออกจากร้านเสื้อผ้าไป!
ณ มุมๆหนึ่ง
โล๋เหวินเพิ่งจะเดินออกจากร้านเสื้อผ้าก็รีบ ขึ้นไปนั่งบนรถ เขายังคงหวาดผวาอยู่ โชคดีมากที่เมื่อกี๊ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดีที่คนนั้นไม่สนใจเขา ถ้าเล่นงานเขาจริงๆ งั้นเขาก็ต้องแย่จริงๆ
แม้แต่เหลียงจงยังไม่กล้ายั่วโมโห แล้วเขาจะกล้าไปยั่วโมโหคนนั้นได้อย่างไรกันเล่า
“เฮ้อ!” จู่ๆเขานึกอะไรออก ตบหน้าขาแล้วกล่าว “น้าเพ่ยของผมล่ะ?”
หญิงสาวที่พยุงเขาคนนั้นกล่าว “เธอ เธอไปแล้วหนิ!”
“เฮ้อ!” โล๋เหวินตบหัวตัวเองอย่างทำอะไรไม่ได้ นี่มันไหนต่อไหนแล้ว ยังนึกถึงเรื่องเล็กๆนั้นอีก ที่เขาเป็นห่วงภรรยาของเหลียงจงขนาดนั้น ก็เป็นเพราะหลงใหลในความงามของอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว จะว่าไป หญิงสาวที่รุ่นราวคราวนั้นมันช่างมีแรงดึงดูดเสียงจริงๆเลย โล๋เหวินเพิ่งจะได้เข้าใกล้เธอ พบว่าร่างกายของเธออ่อนนุ่ม แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ก็ทำให้เขาหยุดโหยหาไม่ได้
ถ้าเขาได้แอ้มภรรยาของเหลียงจงสักครั้ง ต่อให้ให้เขาไปตายตอนนี้ บางทีเขาอาจจะยอมตายก็ได้
“อ้อ พวกแกต้องสังเกตการณ์รอบๆหน่อยนะ ฉันกลัวว่าอีกเดี๋ยวจะมีคนมาลักพาตัวฉันไป!”
เขาเพิ่งพูดจบ จู่ๆด้านหน้าได้มีคนเดินออกมาหลายคน ชายที่รูปร่างกำยำหลายคน ผู้ชายโชว์แขน บนแขนมีรอยสัก ชายรอยสักหลายคนขวางหน้ารถไว้ โบกมือแล้วกล่าว “หยุดรถ!”
แว็บเดียวโล๋เหวินก็มองพวกเขาออก คนพวกนี้เป็นลูกน้องของเสือดาวดำนี่หน่า
เขาชะงักไป แล้วถาม “เกิด เกิดอะไรขึ้น?”
ชายลายสักคนหนึ่งเดินเข้ามากล่าวว่า “คุณชายโล๋ ลูกพี่ของเราอยากเชิญคุณไปพูดคุยอะไรด้วยหน่อยครับ”
“หา!” ใบหน้าของโล๋เหวินมีเหงื่อไหลออกมา เขาเลียริมฝีปากที่แห้งกร้าน แล้วกล่าว “ไม่ๆๆ ไม่หรอกมั้ง! มือฉันเป็นแผล ต้องไปโรงพยาบาล ให้ลูกพี่ของพวกแก…”
ยังไม่ทันพูดจบ ประตูได้รถถูกเปิดออกแล้ว ชายกำยำคนนั้นกล่าวอย่างป่าเถื่อนว่า “เชิญครับ!”
นี่มันไม่ใช่การเชิญเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นการบังคับต่างหาก ถ้าโล๋เหวินยังจะพูดว่าไม่ไปอีกครั้ง สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือการทำร้ายอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็ลากไป คนใต้ดินพวกนี้ โล๋เหวินรู้ดีถึงสไตล์การจัดการปัญหาของพวกเขา เพราะเมื่อก่อนเขาก็ทำเรื่องแบบนี้ไว้ไม่น้อย
ช่วยไม่ได้ เขาทำได้เพียงลงจากรถอย่างขี้ขลาด ไม่นาน เขาก็ได้มายังถนนที่เปลี่ยวเส้นหนึ่ง ไม่ไกลจากถนนสายนี้มีรถสีดำหลายคันจอดอยู่ มีรถตู้เบนซ์ แล้วก็รถมายบัคเบนซ์คันหนึ่ง
มีชายไว้เคราคนหนึ่งกำลังพิงข้างๆมายบัคเบนซ์ ชายไว้เคราคนนั้นกำลังดูดซิการ์ที่อยู่ในมือ เสียงดังแป๊กๆ มีสร้อยทองขนาดใหญ่ขยับไปมาที่คอ ดูท่าทางแล้วเจ๋งมาก นี่ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือเสือดาวดำที่ปรากฏกายในร้านของเหลียงจงเมื่อกี๊ ราชาแห่งโลกใต้ดินของหนางหลิง
“เสือ เสือดาวดำ!” โล๋เหวินมาอยู่ด้านหน้าของเสือดาวดำ เรียกเสือดาวดำอย่างเสียงสั่นเล็กน้อย
ไม่เหลือท่าทีของคุณชายเมื่อกี๊อีกแล้ว แต่กลับแทนที่ด้วยความหยาบคายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เสือดาวดำทิ้งซิการ์ที่อยู่ในมือ จากนั้นก็ยกเท้าที่สวมใส่รองเท้าหนังขยี้มันให้ดับไป
เขาพ่นควันบุหรี่ออกมายาวๆ แว็บเดียวควันบุหรี่ก็ฟุ้งกระจายไปรอบๆของทั้งสองคน เขาเดินไปที่ด้านหน้าของโล๋เหวินอย่างไม่เร่งรีบ ยกมือขึ้นวางไว้บนบ่าของเขา แค่แว็บนั้น ก็ทำให้ร่างกายของโล๋เหวินสั่นอย่างรุนแรง!
โล๋เหวินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถาม “เสือดาวดำ แกจะทำอะไร?”