จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 47
บทที่ 47 คนที่ทำร้ายภรรยาของฉันต้องตาย
นี่เป็นสิ่งที่ฟางเหยียนไม่อยากฟังมากที่สุด เมื่อต้องเผชิญกับกองกำลังเป็นหมื่นๆพันๆ ของศัตรูเขาก็ไม่สะทกสะท้าน
แต่เมื่อได้ยินข่าวร้ายแบบนี้ จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ว่าใจเขาเต้นแรงเป็นอย่างมาก
ฟางเหยียนใช้เวลาเพียงห้านาทีขับรถมาถึงหมู่บ้านคอนโดจินสุ่ย จากปกติที่ต้องใช้เวลายี่สิบนาที
หมู่บ้านคอนโดจินสุ่ยเป็นตึกที่สร้างไม่เสร็จและถูกปล่อยร้างเอาไว้ ที่นี่ถูกตรึงไว้ด้วยเทปกั้นเขตอันตรายของตำรวจ ตำรวจและรถตำรวจจำนวนมากล้อมที่นี่เอาไว้
ยังมีตำรวจใช้วิธีโง่ๆ ช่วยคนโดยการหยิบโทรโข่งขึ้นมาพูดว่า “ข้างในได้ยินหรือเปล่า ตอนนี้เราล้อมไว้หมดแล้ว ยอมแพ้ตอนนี้ยังทัน อย่าทำให้เป็นเรื่องร้ายแรง”
“ฟางเหยียน ในที่สุดนายก็มาแล้ว” เมื่อเฉินหย่าเห็นฟางเหยียนก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก
เธอพูดด้วยสีหน้าหดหู่ว่า “ขอโทษนะ เป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่ควรทำเพื่อลู่หย่องถิงและนัดชิงหยู่ออกมา ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเขาจะทำเรื่องสิ้นคิดแบบนี้ ขอโทษนะฟางเหยียน”
“ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา” ฟางเหยียนถามตรงๆ
แววตาของเขามองไปที่ตึกที่สร้างไม่เสร็จและถูกปล่อยร้างเอาไว้
“สองสามวันมานี้ชิงหยู่ถามข่าวคราวของนายไปทั่ว ลู่หย่องถิงมาหาฉัน แล้วให้ฉันใช้เรื่องของนายนัดชิงหยู่ออกมา เขาบอกว่าตัวเองจะออกจากเมืองจินโจวแล้ว อยากเจอชิงหยู่และบอกลาต่อหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้าย ฉันคิดว่าเป็นเรื่องจริงเลยนัดชิงหยู่ออกมา ใครจะไปรู้ว่าเขาใส่ยาแฝดในแก้วน้ำของพวกเรา หลังจากที่เราดื่มชานมก็สลบไป จากนั้นเขาก็พาชิงหยู่มาที่นี่”
“โอเค ไว้ฉันจะคิดบัญชีกับเธอ” พูดจบ ฟางเหยียนก็เหยียบเทปกั้นเขตอันตรายเข้าไปข้างในด้วยความโกรธ
ขณะนั้นเองตำรวจหญิงที่ถือโทรโข่งรั้งเขาเอาไว้ “คุณทำอะไรน่ะ รู้ไหมว่าข้างในอันตรายแค่ไหน” ตำรวจหญิงหน้าตาสะสวย หน้าอกก็อวบอึ๋ม
ฟางเหยียนจ้องหน้าอกของตำรวจหญิงแล้วพูดออกมาอย่างหงุดหงิด “ไสหัวไป ภรรยาของฉัน ฉันช่วยเองได้”
พูดจบ เขาก็ก้าวเข้าไปในตึกร้าง ตำรวจหญิงล้วงปืนออกมา แล้วแผดเสียงใส่ฟางเหยียน “คุณจะทำอะไร ถ้าคุณก้าวออกไปอีกก้าว ฉันจะยิงแน่”
อาวุธระดับชาตินับไม่ถ้วนไม่สามารถทำอะไรฟางเหยียนได้แม้แต่ปลายผม แค่ปืนเล่มเดียวจะทำอะไรเขาได้ ไม่งั้นเขาจะเป็นจอมพลโผ้จวินได้ยังไง เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่แยแส
ตำรวจสาวอกอวบอึ๋มมีท่าทีร้อนรน เธอยิงปืนขึ้นฟ้า เสียงนี้ทำให้ผู้พักอาศัยบริเวณรอบๆ ตกใจไม่น้อย แต่สำหรับคนที่เดินอยู่ในดงกระสุนอย่างฟางเหยียน มันก็เหมือนกับการจุดประทัด
ภายในตึกร้าง เสื้อผ้าของเย่ชิงหยู่ถูกฉีกจนขาดวิ่น ถุงน่องที่ใส่ก็ถูกฉีกจนขาดเช่นกัน
เธอห่อตัวอยู่ที่มุมห้องอย่างหวาดกลัว และมองไปยัง “สัตว์เดรัจฉาน” อันน่ากลัวที่อยู่ตรงหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
ลู่หย่องถิงอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบน เขาพูดอย่างไร้สติว่า “ชิงหยู่ เธอรู้ไหม ชีวิตฉันจบสิ้นแล้ว ความพยายามของฉันทั้งหมดมันจบสิ้นลงแล้ว ฉันรู้ว่าทั้งหมดนี้จะต้องเป็นฝีมือของเธออย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ฉันไม่โทษเธอหรอกนะ เพราะฉันชอบเธอ ขอแค่ได้เธอมา ฉันก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยอีก”
“มาเถอะ ฉันจะให้เธอจำไว้ตลอดไปว่าฉันเคยเป็นผู้ชายของเธอ!”
เย่ชิงหยู่รู้สึกจากก้นลึกของหัวใจว่าลู่หย่องถิงไม่ใช่คนดี ตอนแรกที่เธอเจอเขาก็รู้ทันทีว่าไอ้หมอนี่จิตใจสกปรก เพราะแววตา สีหน้าและการกระทำของเขาดูไม่ค่อยเข้าท่าเข้าทาง
แต่สิ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ถึงก็คือเขากล้าที่จะทำเรื่องเลวๆ แบบนี้
เดิมทีเธอคิดว่าการที่บ้านแตกสาแหรกขาด พ่อจากไปอย่างน่าเวทนาก็เป็นเรื่องที่เศร้ามากพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าชีวิตของเธอยังจะเศร้าได้อีก
“ฟางเหยียน!” ตอนนี้ในหัวของเธอนึกถึงเพียงชื่อเดียวเท่านั้น
ราวกับฟางเหยียนคือแสงสว่างในยามที่เธอสิ้นหวัง หลังจากที่พ่อตาย ฟางเหยียนคือที่พึ่งเดียวของเธอ
“ขอโทษ!” เย่ชิงหยู่กัดริมฝีปากแล้วพึมพำออกมา
“จำไว้นะเย่ชิงหยู่ เธอเป็นของฉัน!” ลู่หย่องถิงจับขาทั้งสองข้างของเย่ชิงหยู่
“เพล้ง!” จู่ๆ ก็มีเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมาจากข้างหลังของเขา
ลู่หย่องถิงตกใจเหมือนลูกหนู เขาหันขวับไปมอง เงาสีดำของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงข้ามเขา
“ฟางเหยียน!” จู่ๆ แววตาสิ้นหวังของเย่ชิงหยู่กลับเต็มไปด้วยความหวัง
แต่ไม่นาน เธอก็รู้สึกมึนหัวไปหมด นี่คือความจริงหรือความฝัน เธอแยกแยะไม่ออก
ลู่หย่องถิงรีบดึงเย่ชิงหยู่ที่เป็นลมไปแล้วมาอยู่ตรงหน้าเขา
เขาจ้องร่างตรงหน้าด้วยความเคียดแค้น จากนั้นจึงถามว่า “แกเป็นใคร”
ร่างนั้นไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ใช้แววตาที่แฝงไปด้วยความอาฆาตจ้องไปยังลู่หย่องถิง
ตามความเป็นจริงเขาไม่น่าจะเห็นแววตานั่นท่ามกลางความมืดในยามราตรีเช่นนี้ แต่ทว่าเขากลับมองเห็น
“ฟางเหยียน นายคือฟางเหยียน!” ลู่หย่องถิงพูดอย่างหวาดผวา เขาจับตัวของเย่ชิงหยู่และเดินถอยไปข้างหลัง
“แกก่อกวนฉันมาสองครั้งแล้ว แกรู้ไหมว่าถ้าไม่ใช่แก เย่ชิงหยู่ก็เป็นผู้หญิงของฉันไปตั้งนานแล้ว” ลู่หย่องถิงกัดฟันกรอดแล้วพูดออกมา
เขาแน่ใจแล้วว่าคนที่มาคือฟางเหยียน แววตาแบบนั้นเขาไม่มีทางลืมได้เลย
ฟางเหยียนยังคงไม่พูดอะไรออกมา เขาเดินมาข้างหน้าทีละก้าว ทีละก้าว
“อย่าเข้ามา ถ้าแกเดินเข้ามาอีกแค่ครึ่งก้าว ฉันจะฆ่าเธอ!” พูดจบ ลู่หย่องถิงก็ล้วงมีดออกจ่อไว้ที่คอของเย่ชิงหยู่
“อย่ามาบังคับฉัน ตอนนี้ฉันทำได้ทุกอย่าง แกเชื่อไหมล่ะ”
ฟางเหยียนแสยะยิ้มออกมา ตอนนี้ลู่หย่องถิงไม่ใช่คนอีกแล้ว!
เมื่อเห็นฟางเหยียนยังเมินเฉย ลู่หย่องถิงก็กระวนกระวายขึ้นมา
“แกเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่” ความน่ากลัวค่อยๆ ล้อมรอบตัวเขา
จู่ๆ ฟางเหยียนก็พูดออกมา “ตั้งแต่ตอนที่แกคิดสกปรกกับเธอ แกก็คือวิญญาณที่อาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์ แกมันตายไปตั้งนานแล้ว!”
คำพูดของฟางเหยียนเยือกเย็นถึงกระดูก เหมือนเทพมรณะที่มาจากนรก
“กะ…แกพูดอะไรนะ” ลู่หย่องถิงถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ฟางเหยียนไม่ตอบอะไรอีก และยังก้าวเข้ามาเพื่อบีบบังคับเขา
ลู่หย่องถิงเต็มไปด้วยความกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก เขาเกือบจะพังทลายลงมา
เขาปวดหัว ปวดตัว ปวดระบบประสาทไปหมด
“แกจะทำอะไรกันแน่” ลู่หย่องถิงสบถออกมา
แต่ทว่าฟางเหยียนกลับไม่พูดอะไร
“ขอร้องล่ะ แกอย่าเข้ามาเลย”
“ตุ้บ” สุดท้ายลู่หย่องถิงก็รับไม่ไหวอีกแล้ว เขาคุกเข่าลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
แววตาคู่นั้นเอาแต่บีบบังคับเขา ตอนนี้เขาเหมือนถูกขังเอาไว้ในกรงที่แคบมาก ความรู้สึกแบบนี้มันทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตายเสียอีก
เขาทนไม่ไหว จิตใจและร่างกายของเขาไม่สามารถรับความเจ็บปวดแบบนี้ได้
นี่มันอะไรกันเป็นคนหรือผีกันแน่
สองมือของลู่หย่องถิงไม่รู้จะทำอย่างไร เขาเอามือจับหัวของตัวเองโขกกับพื้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“ขอโทษ ขอโทษ!” ถึงแม้ว่าเขาจะหลับตา แต่ดวงตานั่นก็ยังอยู่ในหัวสมองของเขา มันเอาแต่จ้องอยู่ในห้วงลึกของสมอง
ฟางเหยียนถอดเสื้อออกไปคลุมให้เย่ชิงหยู่ที่นอนเสื้อขาดวิ่นอยู่บนพื้น
เขาอุ้มเย่ชิงหยู่ขึ้นมาจากพื้น แล้วพูดที่ข้างหูของเธอเบาๆ ว่า “ขอโทษ ผมมาช้าไป