จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 54
บทที่ 54 ศาลบรรพบุรุษตระกูลฟาง
เส้นเลือดสีเขียวทั่วร่างกายของฟางเหยียนปูดขึ้นมา ดวงตาของเขาแดงก่ำ พละกำลังบนร่างกายของเขาค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ
เขาจับขวังซือเอาไว้และจ้องตามันอยู่อย่างนั้น จากนั้นจึงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “แกมันก็แค่สัตว์ร้ายที่ตระกูลฟางเลี้ยงเอาไว้เท่านั้น”
พูดจบเขาก็ใช้มือยกขวังซือขึ้นมา
ขวังซือสูงกว่าสองเมตร น้ำหนักราวหนึ่งร้อยกว่ากิโลกรัม แต่มันกลับถูกฟางเหยียนยกขึ้นมาอย่างสบายๆ มันตะเกียกตะกายเพื่อที่จะลงมา ราวกับมือของฟางเหยียนมีแรงดึงดูดอันมหาศาลจนทำให้มันไม่สามารถขยับไปไหนได้!
คนในตระกูลฟางรู้ว่าขวังซือเป็นตำนานขนาดไหน มันคือตำนานที่แท้จริง และเป็นปรมาจารย์ผู้มีฝีมือในผืนแผ่นดินนี้
แต่ทว่า เมื่อมันอยู่ต่อหน้าของฟางเหยียน มันกลับกลายเป็นสัตว์ร้ายที่ไม่สามารถตอบโต้ได้เลย ตอนแรกคิดว่าขวังซือจะปกป้องตระกูลฟาง ใครจะคิดว่าขวังซือจะพ่ายแพ้!
ฟางเหยียนบอกว่าจะทำลายตระกูลฟาง มันคงไม่ใช่คำพูดล้อเล่นเสียแล้ว
ตอนนี้คนในตระกูลฟางบางคนตกอยู่ในอาการกลัวและหวาดระแวง
ฟางเหยียนกวาดตามองคนในตระกูลฟาง จากนั้นสายตาของเขาหยุดลงที่ฟางจินหยวน และถามขึ้นว่า “นี่คือสิ่งคุ้มครองที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกคุณเหรอ ตระกูลฟางไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย”
พูดจบ เขาก็โยนตัวของขวังซือไปอีกด้านอย่างรุนแรง ได้ยินเพียงเสียงของหนักตกลงสู่พื้น ตัวของขวังซือกระแทกลงบนพื้นอย่างรุนแรง มันตะเกียกตะกายอยู่สองสามครั้งและกระอักเลือดออกมาจากปาก สุดท้ายมันก็แน่นิ่งไป
ความเงียบปกคลุมไปทั่วทุกที่ ทุกคนต่างพากันตะลึงจนพูดไม่ออก
ขวังซือคือตำนานของตระกูลฟาง แต่ฟางเหยียนคือตำนานของประเทศหวา!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน มีเสียงดังขึ้นมาทำลายความเงียบ
“เสี่ยวเหยียน เสี่ยวเหยียน!” ฟางไห่ถางเดือดร้อนขึ้นมาก่อนใคร เขาตะโกนออกมาจนเหงื่อไหล “มีเรื่องอะไรไว้ค่อยว่ากันได้ไหม วันนี้เป็นวันเกิดของคุณปู่ ความปรารถนาของเขาก็คือได้ทานข้าวกับนายอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เราไปทานข้าวกันก่อนได้ไหม”
ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับพ่อแม่ของฟางเหยียน เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ตอนนั้นเขารับผิดชอบทำธุรกิจของตระกูลอยู่ที่ต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่ค่อยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในมุมมองของเขาถึงฟางเหยียนจะโกรธ แต่ก็คงไม่ทำร้ายเขา
“ใช่ น้องเหยียน เราเข้าไปทานข้าวกันเถอะ!” ฟางเหมี่ยวมองฟางเหยียนที่อายุน้อยกว่าเขาไม่กี่ปี ตอนเด็กๆ ทั้งสองคนเป็นพี่น้องที่รักกันมาก ถึงแม้จะรู้ว่าการที่ฟางเหยียนกลับมาครั้งนี้เพราะจะแบ่งสมบัติของตระกูล แต่เมื่อเห็นฟางเหยียนสู้กับขวังซือผู้คุ้มครองตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด เขาก็ไม่กล้าคิดอะไรอีกแล้ว
ฟางเหยียนไม่แม้แต่จะชายตามองเขา ไม่ต้องพูดเรื่องที่ฟางเหยียนจะตอบเขาเลย
“ฟางจินหยวน พูดมาสิ ว่าตอนนี้ในตระกูลยังมีอะไรที่สามารถสู้กับผมได้อีก ถ้ามีก็เรียกมันออกมาสู้กับผม! ผมไม่มีเวลามาเสียเวลากับพวกคุณ”
ใบหน้าชราของฟางจินหยวนกระตุกเล็กน้อย ถ้าฟางเหยียนอยากจะทำลายตระกูลจริงๆ ตระกูลฟางต้องย่อยยับแน่ๆ
แต่เขาเชื่อว่าฟางเหยียนจะไม่ทำแบบนั้น
เขาจึงพึมพำออกมาว่า “เสี่ยวเหยียน การที่แกทำแบบนี้ เพราะแกอยากให้ขวังซือออกมาใช่ไหม”
ฟางเหยียนหรี่ตาลง จากนั้นส่งเสียงหึออกมา แล้วพูดว่า “คุณคิดว่าขวังซือเป็นใครเหรอ”
ฟางจินหยวนเม้มปาก ไม่พูดอะไร ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงถอนหายใจออกมา และพูดอย่างเหนื่อยใจ “ถ้าแกอยากทำลายตระกูลจริงๆ พวกเราก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ก่อนที่แกจะทำลายตระกูล มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากให้แกเห็นก่อน”
“พ่อ!” ฟางไห่เซิงตะโกนออกมาอย่างเหลืออด นี่เขาจะยอมละทิ้งชีวิตของคนในตระกูลอย่างนั้นเหรอ
อย่าว่าแต่คนในตระกูลร่ำรวยอย่างตระกูลฟางไม่อยากตายเลย คนทั่วไปก็ไม่มีใครอยากตายเหมือนกัน
“พ่อพูดอะไรน่ะ? ครอบครัวเรามีทั้งเด็กทั้งคนแก่ แถมยังมีธุรกิจอีกมากมาย ถ้าพวกเราเป็นอะไรไป ประเทศหวาต้องเกิดปัญหาใหญ่แน่” ฟางไห่ถางเอ่ยขึ้นอย่างเหลืออด
ฟางจินหยวนจ้องทั้งสองคนเขม็ง จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “หรือพวกแกมีวิธีทำให้เสี่ยวเหยียนไม่ฆ่าพวกเรางั้นเหรอ”
ทั้งสองคนสบตากัน ไม่กล้าพูดอะไรออกมา จริงๆ พวกเขาไม่มีปัญญาห้ามฟางเหยี่ยนไม่ให้ฆ่าพวกเขาหรอก ขนาดสัตว์คุ้มครองตระกูลอย่างขวังซือยังพ่ายแพ้ให้กับเขา แล้วพวกเขาจะมีปัญญาอะไรล่ะ
“เสี่ยวเหยียน ตามปู่มา”
พูดพลางฟางจินหยวนก็เดินเข้าไปในบ้าน
ทุกคนในบ้านมองหน้ากันไปมาและเดินเข้าไปในบ้านด้วยความหวาดระแวง
ฟางเหยียนมองเทียนขุยที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นก็ก้าวเข้าไปประคองเขาขึ้นจากพื้น จากนั้นก็หยิบยาลูกกลอนออกมาจากกระเป๋าเสื้อหนึ่งเม็ดและยัดเข้าไปในปากของเทียนขุย
หลังจากที่เทียนขุยได้กินยาลูกกลอน ก็รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
“นายลองเดินพลังในร่างกายดูสิ นายบาดเจ็บเพราะพลังน่ะ”
เทียนขุยพยักหน้า จากนั้นเขาก็นั่งลงบนพื้น ไม่นานเขาก็กระอักเลือดออกมา แต่เมื่อได้กระอักเลือดออกมา เขาก็รู้สึกสบายขึ้น
เขาถอนหายใจออกมาแล้วถามว่า “จอมพลโผ้จวินจะเข้าไปไหมครับ”
ฟางเหยียนพยักหน้าเบาๆ และไม่ตอบอะไร
“แล้วจะจัดการกับสัตว์ร้ายตัวนั้นยังไงครับ”
“ไม่ต้องไปสนใจมัน!”
ฟางเหยียนมองขวังซือและถอนหายใจออกมา
เมื่อฟางเหยียนหันหลังให้เทียนขุย เขาเพิ่งเห็นว่าที่ฝ่ามือของฟางเหยียนมีวัตถุสีดำอยู่ก้อนหนึ่ง
ถึงแม้จะเห็นเช่นนั้น แต่เทียนขุยกลับไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
ไม่นานทุกคนก็มาถึงศาลบรรพบุรุษตระกูลฟาง ฟางจินหยวนยืนอยู่ที่หน้าศาลและพูดว่า “ผู้หญิงที่แต่งงานออกไปแล้วไม่สามารถเข้าไปได้ ฟางฟังไปกับปู่”
ผู้หญิงสองสามคนชะงักฝีเท้าลง กฎของตระกูลฟางคือห้ามผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเข้าไปในศาลบรรพบุรุษ ส่วนผู้หญิงที่แต่งเข้ามาในตระกูล นอกจากภรรยาของผู้นำตระกูล ก็ไม่มีผู้หญิงคนใดสามารถเข้าไปได้
เมื่อเห็นกลุ่มคนเข้าไป หลี่เยว่กอดอกพูดออกมาว่า “ฟางเหยียนน่ากลัวจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะทำร้ายขวังซือได้”
“พี่สะใภ้ ถ้าครอบครัวของพี่ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ ฟางเหมี่ยวก็คงต้องเป็นแบบนี้เหมือนกัน พี่อย่าไปคิดว่าเขาน่ากลัวเลย กลับกันพี่ควรจะคิดว่าเขาน่าสงสารมากกว่า” คนที่พูดคือฟางไห่อิงน้าคนเล็กของฟางเหยียน
ฟางไห่อิงคือคนที่ดีกับครอบครัวของฟางเหยียนมาก ตอนนั้นที่ฟางเหยียนสามารถออกจากตระกูลไปได้ ก็เกี่ยวข้องกับเธอโดยตรง
เมื่อเห็นฟางเหยียนเปลี่ยนไปเช่นนี้ เธอไม่ได้รู้สึกกลัว แต่กลับรู้สึกว่าฟางเหยียนน่าสงสาร
ทำไมเขาจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ ถ้าเขาได้เติบโตเหมือนคนทั่วไป เขาก็คงไม่เป็นแบบตอนนี้
เธอไม่รู้ว่าฟางเหยียนต้องเจอกับอะไรมาบ้าง แต่มันต้องเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถรับไหวอย่างแน่นอน
หลี่เยว่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เธอพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เธอกำลังแช่งฉันเหรอ”
“พี่สะใภ้ ฉันไม่ได้แช่งพี่ แค่อยากบอกพี่ว่า บางครั้งการเป็นคนก็ไม่ควรทำอะไรที่มันเกินไป ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วตระกูลฟางก็เป็นของเสี่ยวเหยียน”
คำพูดนั้นยิ่งทำให้หลี่เยว่เดือดเข้าไปใหญ่ แต่เธอทำได้เพียงจ้องฟางไห่อิงด้วยแววตาดุและไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลังจากที่เดินเข้ามาในศาลบรรพบุรุษ ฟางเหยียนเห็นป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษตระกูลฟางเป็นอันดับแรก จากนั้นเขาก็มองเห็นชื่อสองชื่อที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นก็คือป้ายวิญญาณของพ่อกับแม่เขา
ดูจากสภาพของป้ายวิญญาณ น่าจะนานปีกว่าแล้ว
สองสามปีมานี้ ตระกูลคงจะกราบไหว้มาตลอด
ฟางจินหยวนเดินวนในศาลบรรพบุรุษรอบหนึ่ง จากนั้นจึงหยุดอยู่หน้าป้ายวิญญาณของฟางไห่เฟิง