จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 89
คำพูดของหลินถงมีพลังและอำนาจโน้มน้าวจิตใจ
ลูกน้องพันกว่าคนนั้นของหยางซ่าวหานล้วนเงียบกริบไม่กล้าส่งเสียง แต่ละคนมองหลินถงอย่างหวาดกลัว
ตบหน้าตนเองต่อหน้าลูกน้องมากมายขนาดนั้น นี่คือไม่เห็นแก๊งเสือดาวดำอยู่ในสายตาเสียเลย แต่หยางซ่าวหานมีหนทางอะไรกันล่ะ? นี่คือคุณนายใหญ่ตระกูลถัง ตระกูลถังอยู่ที่หนานหลิงพูดอะไรมาสักคำ ล้วนสามารถบดขยี้การมีอยู่ของตนเองได้
ในใจเขาโกรธเคือง ทว่ากลับไม่กล้าพูด
เขาไม่กล้าพูด แต่ลูกน้องของเขาทนไม่ได้ ชายหัวล้านพูดอย่างโมโหเดือดดาล “ตระกูลถังแน่นักหรือไง พวกเราทำธุระของตัวเอง เกี่ยวอะไรกับเธอด้วย? เรื่องของแก๊งเสือดาวดำของพวกเราจำเป็นต้องให้เธอมาจัดการตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ชั่วพริบตาเดียวหยางซ่าวหานเหงื่อไหลพราก ยกมือขึ้นมาตบชายหัวล้านอย่างแรงทีหนึ่ง จากนั้นตวาดแบบแค้นเคือง “แกจะไปเข้าใจอะไร? เงียบปากให้ฉันเดี๋ยวนี้”
ตบชายหัวล้านเสร็จ เขารีบพูดแบบเออออห่อหมก “คุณนายใหญ่พูดถูกครับ ลูกน้องของผมคนนี้มีตาหามีแววไม่ หวังว่าคุณนายใหญ่ท่านอย่าได้ถือสา”
หลินถงทำเสียงฮึดฮัด ขี้เกียจมองชายหัวล้านแม้แต่นิดเดียว หมุนตัวเดินเข้าไปหาฟางเหยียนแล้ว บางทีคงเป็นออร่าบนตัวของหลินถงที่ยิ่งใหญ่เกินไป ซ่งหยิงยืนอยู่ด้านหลังของฟางเหยียนยังรู้สึกไม่เป็นอิสระสุดๆ เธอจึงยิ่งหลบไปด้านหลังของฟางเหยียนจนใกล้กว่าเดิมโดยจิตใต้สำนึก
“คุณฟาง พวกเราเจอกันอีกแล้วนะคะ” หลินถงเผชิญหน้ากับฟางเหยียน บนหน้าเผยรอยยิ้มที่สวยหยาดเยิ้มที่สุดออกมา
ซ่งหยิงมองจนตะลึงพักหนึ่ง นี่กำลังทักทายผู้ชายคนนี้อยู่เหรอ?
คุณฟาง ที่แท้เขาแซ่ฟาง
“ครับ ขอบคุณครับ!” ฟางเหยียนพูดเบามาก ในคำพูดฟังความรู้สึกซาบซึ้งไม่ออกสักนิดเดียว
เหมือนว่าทุกอย่างที่หลินถงทำเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล ซ่งหยิงรู้สึกว่าแปลกมาก
หลินถงใช้เสียงที่นุ่มนวลสง่างามพูดต่อไป “ที่ควรพูดขอบคุณเป็นฉันถึงจะถูกค่ะ เรื่องครั้งก่อน หลินถงจำใส่ใจตลอดมา ไม่เคยลืมจากใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้เจอกับคุณฟางอีกครั้ง ถ้าคุณมาที่หนานหลิง ทำไมไม่บอกฉันล่วงหน้าก่อนสักหน่อยล่ะ เกือบก่อเรื่องเข้าใจผิดยกใหญ่แล้ว”
เรื่องครั้งก่อน? หรือว่าสองคนนี้เคยเกิดอะไรขึ้นกัน?
ไม่เพียงแค่ซ่งหยิง แม้แต่เทียนขุยยังมองฟางเหยียนแบบไม่รู้ตัวแวบหนึ่ง
ฟางเหยียนหัวเราะอย่างขมขื่น ส่ายหน้าตอบ “ไม่เป็นไร!”
“คุณฟาง งั้นตอนนี้คุณน่าจะไม่มีธุระต้องทำแล้วสินะ? ถ้าคุณสะดวกแล้วล่ะก็ พวกเราสามารถไปที่โรงแรมแถวนี้ ฉันอยากตอบแทนน้ำใจที่คุณฟางมีต่อฉันสักหน่อยค่ะ” ยามหลินถงเผชิญหน้ากับฟางเหยียน บนหน้ามีรอยยิ้มอยู่ไม่ขาดสาย ยิ้มออกมาจากภายในใจแบบนี้ และไม่ได้เสแสร้งทำ
พูดได้ว่าพอผู้หญิงที่สวยงามคนนี้ยิ้มขึ้นมา ทำเอาจิตใจลุ่มหลงเสียจริง รอยยิ้มนี้ของหลินถง เพียงพอที่จะทำให้ผู้ชายหวั่นไหว
“ได้!” ฟางเหยียนถือว่ารับปากคำเชื้อเชิญของหลินถงแล้ว
พอได้ยินฟางเหยียนตอบรับ บนหน้าของหลินถงปรากฏรอยยิ้มที่ตื่นเต้นขึ้นมาทันใด เหมือนเด็กสาวที่กำลังดีใจอย่างนั้น
“ดีเหลือเกินค่ะ!” หลินถงบอก
จากนั้นมองทางหยางซ่าวหาน สีหน้าเปลี่ยนในชั่วพริบตา จากที่ตื่นเต้นกลายเป็นเฉยเมย พูดจาเย็นชา “หยางซ่าวหาน คุณฟางท่านนี้เป็นเพื่อนของฉัน นายจะเห็นแก่หน้าฉันหลินถงสักครั้ง ให้คุณฟางไปจากที่นี่ได้มั้ย?”
หยางซ่าวหานพูดแบบตกใจหน้าซีด “คุณนายใหญ่ท่านพูดจาแบบนี้ได้ที่ไหนครับ ผมจะกล้าทำให้เพื่อนของท่านลำบากใจได้ที่ไหนกัน เมื่อสักครู่เป็นผมมีตาหามีแววไม่ ท่านตามสบาย เชิญตามสบายครับ!”
เมื่อพูดจบ ลูกน้องพวกนั้นก็รีบหลบเป็นทางที่กว้างขวางเส้นหนึ่งออกให้ หลินถงทำท่าทางผายมือออกมา พูดว่า “คุณฟาง เชิญค่ะ!”
ฟางเหยียนก้าวเท้าใหญ่ๆ เดินเข้าไปแล้ว ตามมาด้วยด้านหลังที่เป็นเทียนขุยและหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าชื่ออะไรคนนั้น
คนกลุ่มหนึ่งที่รออยู่บนรถตกใจจนพูดไม่ออก ชั่วขณะนั้นในหัวสมองผุดข้อสงสัยออกมา เจ้าหมอนี่สรุปแล้วมีสถานะอะไร? คาดไม่ถึงแม้แต่คุณนายใหญ่ของตระกูลถังยังออกมาต้อนรับเขา
หรือว่าเป็นคนรักของคุณนายใหญ่ตระกูลถังเหรอ? แท้จริงแล้วคุณนายใหญ่ตระกูลถังคนนี้เป็นคนที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง นึกไม่ถึงจะมีท่าทีเช่นนี้กับคนคนนี้ได้
พอนึกถึงพวกนี้ มีผู้คนไม่น้อยเผยความอิจฉาที่มีต่อฟางเหยียนออกมา ขอเพียงเป็นผู้ชาย ล้วนชอบผู้หญิงแบบหลินถงทั้งนั้น
มองหลินถงและคนอื่นออกไปกันแล้ว หยางซ่าวหานโมโหจนกัดฟันแน่น เดิมเตรียมแผนมาจัดการคนเต็มที่ ใครจะรู้ว่าจะโดนคนจัดการเข้าเอง ได้แต่กลั้นความโกรธนี้ไว้ในใจ เขาไม่พอใจแน่นอน จำเป็นต้องปลดปล่อยออกมา
“พี่ใหญ่ เอายังไงดี?” ชายหัวล้านพูดด้วยหน้าตาโกรธเคือง “พวกเราไม่สามารถปล่อยเจ้าหนุ่มนั่นไปแบบนั้นได้มั้ง?”
“เหลวไหล ไม่ได้อยู่แล้ว!” หยางซ่าวหานกลอกลูกตา แสยะรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาพลางพูดว่า “แยกย้ายพวกพ้องไปก่อน!”
“เรื่องนี้ต้องบอกลูกพี่ใหญ่มั้ยครับ?” ชายหัวล้านถามอีก
“ป้าบ!” หยางซ่าวหานตบลงบนศีรษะของเขาไปโดยตรงพร้อมทั้งด่าทอ “เหลวไหล ถ้าเรื่องนี้ยังต้องบอกพี่ใหญ่ฉันอีก ต่อไปฉันจะอยู่ยังไงกัน? สวะ ไสหัวไปซะ!”
พูดจบเขาก็เดินเข้าไปยังทิศทางที่หลินถงและคนอื่นออกไปกัน
หลินถงพาคนอื่นๆ ไปที่โรงแรมหนานโจวบริเวณแถวสถานีรถประจำทาง
โรงแรมหนานโจวแห่งนี้เป็นโรงแรมชื่อดังของหนานหลิง ระดับห้าดาว
“คุณฟาง พวกเราทานข้าวกันที่นี่ คุณว่าดีหรือเปล่าคะ?” หลินถงชี้ไปยังโรงแรมพลันถามขึ้น
ซ่งหยิงเรียนอยู่ที่นี่ รู้จักโรงแรมหนานโจวแน่นอน สถานที่แบบนี้ไม่ใช่นักเรียนคนหนึ่งอย่างเธอจะสามารถมาได้ ดังนั้นเธอจึงพูดกับฟางเหยียนและเทียนขุย “ขอบคุณพวกคุณนะคะ ฉัน ฉันต้องกลับโรงเรียนก่อนแล้ว”
อยู่ต่อหน้าของหลินถง เธอเหมือนกับยัยขี้เหร่ ตนเองตามคนอื่นมาถึงที่นี่แบบไม่รู้ตัว น่าอับอายเหลือเกิน
ฟางเหยียนไม่ได้รั้งไว้ หลินถงย่อมไม่เช่นกัน บอกกับลูกน้องคนหนึ่งว่า “อาเซิง พาคุณหนูท่านนี้กลับโรงเรียน”
จากนั้นรถคันหนึ่งก็ขับเข้ามาแล้ว ซ่งหยิงอยากจะปฏิเสธ แต่พอดูสถานการณ์แล้ว คงต้องขึ้นรถไปด้วย เมื่อตอนจะไปเธอยังมองฟางเหยียนสักหน่อย ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ฟางเหยียนไม่เคยตั้งใจมองเธอดีๆ เลยสักนิด
ก็ใช่ มีผู้หญิงแบบหลินถงอยู่ เขาจะหันมามองตนเองสักนิดได้อย่างไรล่ะ ตนเองเปรียบเทียบกับหลินถง ยังเป็นเพียงหงส์กับเป็ดเท่านั้น ถึงแม้ตนเองจะไม่ใช่ลูกเป็ดขี้เหร่ แต่ไม่มีทางเทียบกับหลินถงได้จริงๆ
หลังจากเดินเข้าโรงแรม พอเห็นหลินถงเข้ามา ผู้จัดการรีบวิ่งเข้ามาทันที พูดจาเคารพนอบน้อม “คุณนายใหญ่ ท่านมาแล้ว!”
หลินถงพยักหน้าบอก “ใช่ เหมือนเดิม”
“ครับ คุณนายใหญ่ เดี๋ยวผมจัดการให้ท่านเรียบร้อยทันทีครับ” เขาพูดพลางจัดการทั้งโรงแรมให้ว่างแล้ว
หลินถงพูดกับฟางเหยียน “คุณฟาง ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบถูกคนรบกวน คุณคงไม่ถือสาที่ฉันทำแบบนะคะ?”
ใช่ หลินถงเหมาทั้งโรงแรมแล้ว เพียงเพื่อต้อนรับฟางเหยียน
ฟางเหยียนพยักหน้านิดหน่อย เดินเข้าไปทางห้องวีไอพีที่ชั้นบน
หลินถงกำชับมาประโยคหนึ่ง “พวกนายรออยู่ด้านล่างกันเถอะ ฉันจะคุยกับคุณฟางตามลำพัง”
ไม่ต้องให้ฟางเหยียนบอก เทียนขุยก็รู้ว่าควรทำอย่างไร เฝ้าอยู่ด้านล่างแบบเงียบๆ แต่เขายังคงมองฟางเหยียนไปสักหน่อยอย่างไม่วางใจ ชายหญิงอยู่ตามลำพัง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า
อยู่ต่อหน้าผู้อื่น เทียนขุยเป็นรองผู้นำที่ตำแหน่งสูงสุด ผู้นำเมืองหนานหลิงมาแล้วต้องเคารพนับถือ
แต่พออยู่ต่อหน้าของฟางเหยียน เขายังคงเป็นบอดี้การ์ดตลอดกาล เขาไม่มีอารมณ์ไม่พอใจแต่อย่างใด สามารถอยู่ข้างกายของฟางเหยียนได้ นับว่าเป็นเกียรติใหญ่หลวงสุดในชีวิตของเขา เขายินยอมบุกน้ำลุยไฟเพื่อฟางเหยียน