จอมนักรบทรงเกียรติยศ - ตอนที่ 91
ดูจากการแต่งกายของชายหนุ่มยังมองสถานะไม่ออก แต่ออร่าของเขาเกรียงไกรมาก การเคลื่อนไหวที่ด้านล่างตึกเมื่อสักครู่นี้ดังมากขนาดนั้น หม่าซวี่ซงไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ได้ยิน หม่าซวี่ซงเป็นคนที่ฝึกการต่อสู้มา ย่อมรู้ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นผู้มีฝีมือดี
“ไสหัวไป!” เวลานี้ตนเองกำลังโกรธเลือดขึ้นหน้า ขี้เกียจมาพูดเหลวไหลกับเขาแล้ว จึงตะโกนบอกไปตรงๆ
ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา นั่นคือสายตาที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ คู่หนึ่ง เย็นชาจนเหมือนกับดาบเล่มหนึ่ง
“แกกำลังพูดกับฉัน?” น้ำเสียงของชายหนุ่มเย็นยะเยือก เผด็จการเต็มที่
หม่าซวี่ซงแผ่นิ้วทั้งห้าออกกุมเป็นหมัด จากนั้นผ่อนออกอีกที ชี้หน้าชายหนุ่มพลันพูดว่า “ถ้ารู้จักเจียมตัวก็ถอยออกให้ฉันซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะให้แกได้ตายแน่!”
เทียนขุยไม่เคยกลัวถูกใครมายั่วยุ เขากลัวแต่จะไม่มีใครมายั่วยุเขาเท่านั้น มองชายหลายคนที่นอนระเกะระกะบนพื้นแวบหนึ่ง จากนั้นกุมหมัดเหล็กสองข้างไว้ พูดว่า “พื้นที่ที่จอมพลโผ้จวินปิดไว้ หากไม่มีคำสั่งของจอมพลโผ้จวิน ใครก็ห้ามเข้าใกล้ทั้งนั้น”
“เชี้ย!” หม่าซวี่ซงโกรธยกใหญ่ ตะคอกใส่ “แกแม่งรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร? ฉันคือหม่าซวี่ซง คุณชายตระกูลหม่า!”
ตอนแรกคิดว่าพูดชื่อของตนเองออกมาจะสามารถขู่ขวัญชายสูงใหญ่คนนี้ได้ ใครจะไปรู้สีหน้าของชายสูงใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลงเลย สายตาที่แหลมคมไม่ได้ลดน้อยลงสักนิด พูดจานิ่งๆ “แล้วยังไงล่ะ?”
“วอนหาที่ตาย!” หม่าซวี่ซงโกรธเคืองจนปล่อยหมัดออกมาแล้ว
แต่พอหมัดของเขาต่อยไปได้ครึ่งทาง รู้สึกเหมือนตนเองต่อยเข้าแผ่นเหล็กชิ้นหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นใช้หมัดรับหมัดของเขาเอาไว้เช่นกัน หมัดทั้งสองปะทะกัน คาดไม่ถึงหมัดของเขาจะตกเป็นเบี้ยล่าง
เขาถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กัน มองทางชายหนุ่มแบบไม่รู้ตัว ถามด้วยความสงสัยอยู่ในใจ: นี่มันเรื่องบ้าอะไร?
เขารู้สึกว่ากระดูกของตนเองกำลังจะแตกหักหมดแล้ว นี่มันเป็นหมัดที่ไหน เห็นได้ชัดว่าคือแผ่นเหล็ก
ในห้องระดับราชา
ฟางเหยียนและหลินถงนั่งอยู่ตรงข้ามกัน บนหน้าหลินถงมีรอยยิ้มหวานสวยอันนั้นอยู่ตลอดมา เปลี่ยนจากท่าทางที่เย็นชาต่อหน้าผู้คน เธอยกแก้วใบหนึ่งขึ้น พูดกับฟางเหยียนว่า “บุญคุณที่คุณฟางช่วยชีวิตฉัน ทำให้หลินถงซาบซึ้งใจสุดๆ ขอดื่มให้คุณฟางแก้วหนึ่งค่ะ!”
ฟางเหยียนยกแก้วขึ้นมาแสดงการตอบรับสักหน่อย กระดกเหล้าในแก้วดื่มอึกๆ จนหมด
เห็นท่าทางนั้นของฟางเหยียน หลินถงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ไม่ทราบว่าคุณฟางทำอาชีพอะไรกันคะ? ทำไมฉันถึงมองเห็นกลิ่นอายผู้ชายที่เป็นเอกลักษณ์บนตัวของคุณล่ะคะ กลิ่นอายแบบนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกหนุ่มหน้าใสเหล่านั้นตั้งเยอะ”
คำพูดนี้ไม่จริงจังเท่าไรนัก เดาได้ไม่ยากว่าหลินถงกำลังบอกอะไรเป็นนัยกับฟางเหยียนอยู่
ฟางเหยียนถามกลับ “คุณไม่ได้รู้มาตั้งแต่นานแล้วเหรอ?”
คำพูดนี้กลับพูดแทงใจของหลินถงเข้าแล้ว เธอตรวจสอบฟางเหยียนมาจริง ทั้งยังรู้ว่าเขาเป็นทหาร ดูท่าทางฟางเหยียนคนนี้ไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น เป็นคนที่พิเศษมาก
ดังนั้นเธอจึงรีบยิ้มตอบ “คุณฟางนี่สายตาแหลมคมมากจริงๆ นะคะ คุณคงไม่ว่าอะไรฉันที่ไปแอบค้นหาสถานะของคุณหรอกมั้งคะ?”
“ผมเป็นแค่เป็นทหารคนหนึ่ง จะมีอะไรต้องกังวลล่ะ”
หลินถงยิ้มหวานทันที พูดว่า “หลินถงมีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ อยากสอบถามคุณฟาง”
ฟางเหยียนไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่แสดงออกให้หลินถงว่ามา
หลินถงพูดขึ้น “คุณฟาง ในเมื่อคุณเป็นทหารในกองทัพ ทำไมถึงเรียนฝังเข็มประตูผีสิบสามเท่านี้ได้ล่ะ? ฉันได้ยินมาว่าฝังเข็มประตูผีสิบสามเท่าอันนี้หายสาบสูญไปตั้งนานแล้ว และเป็นเข็มปีศาจ คุณที่เป็นทหารคนหนึ่งใช้การเป็น นี่ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลมั้งคะ!”
ฟางเหยียนตอบแบบไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น “ไม่มีอะไรไม่สมเหตุสมผล วัฒนธรรมของประเทศหวา ความรู้กว้างขวางลึกซึ้ง ฝังเข็มประตูผีสิบสามเท่านี้ไม่ใช่เข็มปีศาจ นี่คือวิธีฝังเข็มที่ช่วยคนได้ ทำไมถึงพูดว่าเข็มปีศาจล่ะ?”
หลินถงพยักหน้าตอบอืม “คุณฟางพูดถูกค่ะ ที่แท้เป็นทหารของประเทศหวาของพวกเรา ลักษณะพฤติกรรมล้วนโดดเด่นระดับนั้นกันหมด”
ฟางเหยียนยังไม่พูดอะไร
หลินถงเงียบงันไปสักครู่ ก่อนจะถามต่ออีก “งั้นฉันขอถามคุณฟางได้หรือเปล่าว่าที่มาหนานหลิงครั้งนี้ มีธุระอะไรเหรอคะ?”
“มาหาเพื่อนเก่า!” ฟางเหยียนตอบไปง่ายๆ ประโยคหนึ่ง
“ในเมื่ออยู่ที่หนานหลิงแล้ว งั้นขอคุณฟางให้โอกาสกับหลินถงสักครั้ง ให้หลินถงต้อนรับคุณฟางดีๆ สักสองสามวันนะคะ”
ฟางเหยียนปัดมือตอบ “ไม่ต้องหรอก ทำธุระเสร็จผมก็จะไป”
หลินถงขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย คิดในใจว่าฉันพูดตรงขนาดนี้ คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? หรือว่าผู้ชายคนนี้ยังไม่ได้ชอบตนเองอีกเหรอ?
หลินถงเชื่อในเสน่ห์ของตนเอง เธอทำให้คนหลงใหลได้แน่
“คุณฟางคะ คุณเป็นคนที่พิเศษจริงๆ นะคะ หลินถงขอดื่มให้คุณอีกแก้ว” หลินถงยกแก้วเหล้าขึ้นแล้ว
ทันทีที่พูดจบก็มีเสียงตวาดลอยมาจากที่หน้าบันได “ปล่อยฉันนะ แกรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร? ฉันคือพระเจ้าของหนานหลิง”
หม่าซวี่ซงโดนเทียนขุยจับแขนไว้แน่น วิทยายุทธสิบแปดท่าของเขาล้วนใช้ออกมาทั้งหมดแล้ว แต่ยังคงไม่มีทางสัมผัสได้ถึงเส้นผมสักเส้นของเทียนขุย
ที่หนานหลิง เขาไม่เคยเจอคนที่ตนเองทำร้ายไม่ได้ ครั้งนี้ เขาเจอยอดฝีมือเข้าแล้วจริงๆ
ตนเองเป็นแชมเปี้ยนการต่อสู้ของหนานหลิง เขาไม่เคยรับรู้เลยว่าจะมีคนที่แกร่งขนาดนั้น ตอนนี้เขาเริ่มเชื่อคำพูดของปู่แล้ว ยอดฝีมือบนโลกใบนี้มากมายนัก ประเทศหวายิ่งมีบุคคลโดดเด่น ให้เขาอย่าเป็นกบในกะลา
“ปล่อยนะเว้ย!” เขากัดฟันแน่นตะโกนบอก
เสียงที่เย็นชานั้นของเทียนขุยลอยออกมา “แกเป็นใครก็เข้าใกล้จอมพลโผ้จวินไม่ได้!”
“ให้เขาเข้ามา!” เสียงของฟางเหยียนลอยมาในหูเทียนขุยในขณะที่เตรียมจะโจมตีรอบใหม่อีกครั้ง เทียนขุยรีบพูดว่าครับด้วยความเคารพนบนอบ จากนั้นเก็บท่าทางกลับคืน ปล่อยแขนของหม่าซวี่ซงออก หลบทางให้ไป
หม่าซวี่ซงรีบสะบัดแขนที่เหน็บชาเล็กน้อย และลูบมุมปากที่โดนต่อยมาหลายหมัดด้วยนิดหน่อย
เขาขึ้นบันไดไป หันหน้ากลับมามองเทียนขุยพลางพูดว่า “ไอ้หนุ่ม แกจะต้องเสียใจเรื่องที่แกลงมือกับฉันในวันนี้”
“ฉันไม่รู้ว่าอะไรเรียกว่าเสียใจ!” เทียนขุยกุมมือไว้ ตอบอย่างหยิ่งยโส
เทียนขุย ในฐานะรองผู้นำกองทหารภาคตะวันตกเฉียงเหนือ นอกจากฟางเหยียนแล้ว ไม่มีใครสามารถข่มขู่เขาได้
เขายามอยู่ต่อหน้าคนอื่นเป็นราชาที่น่ายกย่อง แต่ว่าอยู่ต่อหน้าฟางเหยียน เขากลับเป็นผู้คุ้มครองคนหนึ่งแบบยินยอมพร้อมใจ สามารถเป็นบอดี้การ์ดของจอมพลโผ้จวินประเทศหวาได้ นี่คือเกียรติยศสูงสุด
หม่าซวี่ซงกุมหมัดแน่น ทำเสียงฮึดฮัด ก้าวไวๆ ขึ้นตกไปแล้ว
ไฟโกรธยังคงไม่สลาย จากสามก้าวเขาเดินเพียงแค่สองก้าว ไม่นานก็มาถึงที่ในห้องระดับราชาแล้ว
ชั่วขณะที่มองเห็นหลินถง บนหน้าเผยรอยยิ้มเอาอกเอาใจนิดๆ ออกมา “หลินถง คุณมาที่นี่ได้ยังไงกัน? ทำไมออกมาข้างนอกแล้วไม่บอกผมสักคำล่ะ!”
หลินถงส่งสายตาหนาวเย็นให้หม่าซวี่ซง ก่อนจะถามกลับ “ทำไมฉันต้องนายด้วย?”
หม่าซวี่ซงตอบว่า “หรือว่าคุณออกมาข้างนอกแล้วผมไปรับคุณไม่ได้กัน? ถึงแม้ผมจะไม่มีสิทธิ์รู้ว่าคุณอยู่ด้วยกันกับใคร แต่สไตล์การจัดการของผม คุณก็รู้นี่”
หลินถงไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่มองทางฟางเหยียน จากนั้นใช้รอยยิ้มเมื่อสักครู่มองเขาแล้วพูดว่า “ขอโทษนะคะ คุณฟาง รบกวนบรรยากาศดีๆ ของคุณแล้ว เมื่อกี้ฉันบอกคุณแล้วว่าคนคนนี้ คุณไม่ควรให้เขาขึ้นมา”
มองเห็นหลินถงมีท่าทีแบบนั้นต่อฟางเหยียน เสมือนกำลังเอาใจฟางเหยียน พอมองดูตนเองที่กระตือรือร้นเอาใจเธอแต่กลับถูกเย็นชาใส่ แถมยังมีจุดจบที่น่าเวทนา เขาโกรธเคืองในที่เกิดเหตุ แต่เขากลับไม่กล้าโมโหหลินถง ได้แต่โมโหคนที่หน้าตาไม่ดีซึ่งอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้
นี่ไม่ใช่แค่คนต่างถิ่นที่อายุยังอ่อนกว่าตัวเองระดับหนึ่งเองหรอกเหรอ รูปร่างผอมบางขนาดนั้น ดูเหมือนอ่อนแอจนต้านลมไม่ไหว ลมแรงหน่อยหมอนี่คงโดนพัดล้ม ไม่รู้จริงว่าหลินถงสนใจคนผู้นี้ตรงไหน?
หม่าซวี่ซงยิ่งคิดยิ่งโมโห สุดท้ายพอโกรธจัดก็ตบบนโต๊ะอย่างแรง ตวาดใส่ “แกถือว่าตัวเองเป็นอะไรกัน? สถานที่นี้แกมาได้ด้วยเหรอ?”
ฟางเหยียนมองเขาอย่างไม่สะทกสะท้านแวบหนึ่ง พูดว่า “ฉันไม่ค่อยชอบให้ใครมาเอะอะโวยวายข้างหูฉัน”