จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 451 แกคือลูกพี่ของแก๊งซินหง
สวนสาธารณะด้านล่างตึกว่านฉง
ในสวนสาธารณะมีโรงน้ำชาตูหยุนเหมาเจียน โรงน้ำชาตั้งอยู่ตรงประตูใหญ่ของตึกว่านฉง เมื่อนั่งที่โรงน้ำชาจะเห็นการกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตึกว่านฉงได้อย่างใกล้ชิด ตึกว่านฉงเมื่อสองเดือนก่อนเป็นสถานที่ผู้คนขวักไขว่ไปมาไม่ขาดสาย คนแก่จำนวนไม่น้อยจะดื่มน้ำชา พลางพูดคุยเรื่องสัพเพเหระในตึกว่านฉง แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครเข้าไปแล้ว มีเพียงผู้เฒ่าไม่กี่คนไม่รู้กำลังยืนคุยอะไรกัน คุยพลาง ส่ายหน้าจากไป
ฟางเหยียนและหยิวอู่นั่งดื่มชาตรงข้ามกันอยู่บนโต๊ะน้ำชาตัวหนึ่งที่โรงน้ำชาตูหยุนเหมาเจียน ด้านหน้าของฟางเหยียนมีชาหนึ่งกาวางอยู่ เขาเทน้ำชาให้ตัวเองหนึ่งแก้วอย่างไม่สนใจอะไร จากนั้นก็ได้เทน้ำชาให้กับหยิวอู่ที่นั่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามตัวเองอีกด้วย
หยิวอู่มองไปรอบๆด้วยความหวาดผวา หวังว่าคนที่อยู่ในตึกว่านฉงจะเห็นตนบ้าง
ตึกว่านฉงแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ของแก๊งซินหงไปแล้ว ตั้งแต่หลังจากที่พวกเขามาถึงเมืองจินโจว ก็ชอบตึกว่านฉงสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นสาขาของแก๊งซินหงที่เมืองจินโจวจึงได้ตั้งอยู่ที่ตึกว่านฉง
จะว่าไป แก๊งซินหงยังมียอดฝีมือคอยบัญชาการอยู่ นึกไม่ถึงว่าดูแค่แว็บเดียวก็จะถูกใจตึกว่านฉงที่ตำแหน่งฮวงจุ้ยดีเลิศได้
“ทำไม? หวาดผวามากเลยเหรอ?” ฟางเหยียนเทชาให้หยิวอู่ พลางถามอย่างสบายๆ
หยิวอู่ส่งเสียงหาออกมา เหมือนกับตกใจอะไรประมาณนั้น จ้องไปที่ฟางเหยียนอย่างเหงื่อไหลไคลย้อยไปทั้งตัว ฟางเหยียนเยาะเย้ยไปว่า “นี่เป็นชาตัวใหม่ที่เพิ่งเด็ดมาในปีนี้ ตูหยุนเหมาเจียน อร่อยมาก แกลองดูสิ!”
พูดจบ ฟางเหยียนยกแก้วขาของตัวเองขึ้นมา แล้วกล่าว “ปีที่แล้วฉันชอบมาดื่มชาที่นี่ แต่ชาของที่นี่ไม่อร่อยเท่าด้านใน ฉันค่อนข้างชอบชาของตึกว่านฉงมากกว่า”
พูดพลาง ฟางเหยียนก็มองไปที่ตึกว่านฉง นี่เป็นเพนท์เฮาส์ที่สูงสิบสองชั้น ตัวอาคารเหมือนเจดีย์ ชั้นล่างใหญ่มาก ยิ่งชั้นสูงยิ่งเล็ก แต่พื้นที่ใช้สอยกลับอยู่ที่สองสามร้อยตารางเมตร เป็นอาคารที่สิ่งโตมโหฬารอย่างแน่นอน
“แก แกต้องคิดให้ดีๆนะ แกต้องรู้นะว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” หยิวอู่กัดฟัน แล้วกล่าวอย่างอ้ำๆอึ้งๆ
ฟางเหยียนพยักหน้าส่งเสียงหืม “ไร้สาระ หุบปากของแกไปซะ ดื่มชาไป!”
“แก๊งซินหง ใช้เวลาสิบนาทีก็ทำลายได้แล้ว” ฟางเหยียนยังคงชิลล์ๆอย่างเคย
เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของฟางเหยียน หยิวอู่เงยหน้ามองไปรอบๆโดยปริยาย เขาไม่เชื่อว่าคนๆหนึ่งจะมีฝีมือแบบนี้ได้ จะต้องมีคนแอบซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆแน่นอน ไอ้นี่มันต้องพาคนมาด้วยแน่นอน
ฟางเหยียนเห็นท่าทีที่น่าขำของหยิวอู่ จึงถามขึ้นมาโดยปริยายว่า “แกดูอะไร? แกคิดว่าการต่อสู้กับคนแค่นั้น ฉันจะตามคนมาเหรอ? ก็แค่แก๊งซินหง ไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่น้อย”
ยโสโอหัง! ไอ้นี่มันโอหังได้สุดยอดจริงๆ ตอนนี้มันโอหังมากขนาดไหน อีกเดี๋ยวมันก็จะอนาถขนาดนั้นแหละ!
“แกรู้มั้ยว่าซินหงมีกี่คน? ลำพังแค่คนที่อยู่ที่ตึกว่านฉง ก็หลายพันคนไปแล้ว! นอกจากพวกเขาจะมีอาวุธแล้ว ยังมีปืนด้วย! ต่อให้แกจะเก่งกาจ แต่แกเอาชนะปืนได้มั้ย?” หยิวอู่ข่มขู่ฟางเหยียนอย่างเกรี้ยวกราด
ฟางเหยียนยกแก้วชาขึ้นมาอย่างไม่สนใจ ดื่มชาต่อ จากนั้นก็พูดเองเออเองออกมาหนึ่งคำว่า “ปืน!”
ปืนคำนี้เมื่อออกมาจากปากของฟางเหยียน เหยียดหยามได้ขนาดไหนก็เหยียดหยามมากขนาดนั้น ราวกับว่าของสิ่งนี้เหมือนมีดเหลาดินสอที่ไม่น่าแปลกใจตรงไหน หยิวอู่ส่งเสียงเหอะออกมา กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “แล้วแกจะรู้ความเก่งกาจของแก๊งซินหง”
“อ๋อ!” ฟางเหยียนไม่สนใจเขา ดื่มชาต่อไป
“เอ๊ะ พี่อู่ ทำไมพี่มาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ?” จู่ๆ ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากตึกว่านฉงจำหยิวอู่ได้
เมื่อเห็นชายคนนั้น หยิวอู่รีบยืนขึ้น เขาชี้ไปที่ฟางเหยียนแล้วกล่าว “มันๆๆ ฉันถูกมันบังคับมา แกดูมือฉันสิ มือของฉันถูกมันหักไปแล้ว ไอ้นี่มันจะมาล้างบางแก๊งซินหงของพวกแก”
ขณะนี้ ในแก้วชาของฟางเหยียนเหลือน้ำชาเพียงเฮือกสุดท้ายแล้ว
คนนั้นมองฟางเหยียนที่ในมือยกแก้วน้ำชา แล้วมองหยิวอู่ที่กระดูกหักแล้วถาม “พี่อู่ จริงป่ะเนี่ย?”
“จริงยิ่งกว่าอะไรเสียอีก ฉันไม่จำเป็นต้องโกหกแก! เร็วๆๆ รีบฆ่าไอ้บ้านี่เร็ว มันแข็งแกร่งมากเลยนะ”
คนนั้นมองฟางเหยียนแล้วถาม “นี่ สิ่งพี่อู่พูดนั่นจริงเหรอ?”
ขณะนี้ ฟางเหยียนได้ดื่มชาเฮือกสุดท้ายลงไปแล้ว เขายืนขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกล่าวอย่างไม่รีบเร่งว่า “ใช่! ดื่มชาหมดแล้ว แก๊งซินหง พังพินาศ!”
เพิ่งพูดจบ แก้วชาใบนั้นที่อยู่ในมือของฟางเหยียนลอยไป แก้วชาลอยไปโดนขมับของชายคนนั้นพอดีเป๊ะ เมื่อโจมตี เหมือนกับมีพลังอันเต็มเปี่ยม ร่างกายของผู้ชายล้มลงกับพื้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวแต่อย่างใด
วินาทีต่อมา ร่างกายของผู้ชายกระตุกอย่างแรงสองครั้ง จากนั้นก็ไม่ขยับ ตาสองข้างมองขึ้นบน
ตายแล้ว! แค่แว็บเดียว เขาก็ตายแล้ว! เมื่อกี๊ยังดีๆอยู่เลย แค่เพราะแว็บนั้น ก็ตายแล้ว!
ในสายตาของเขาชีวิตคนมีค่ามั้ย? ไม่มีเลยแม้แต่น้อย!
เหงื่อบนใบหน้าของหยิวอู่ไหลลงมา เขามองฟางเหยียนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ แล้วพูดอย่างสั่นๆว่า “แกๆๆ!”
เขาพูดว่าแกอยู่นานแต่ก็ไม่ได้พูดคำไหนออกมา ฟางเหยียนขี้เกียจจะพูดอะไรมากมาย เพียงแต่กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไป เราไปหาผู้รับผิดชอบของแก๊งซินหงกัน!”
พูดจบ เขาคว้าแขนของหยิวอู่ไป มือนั้นเต็มไปด้วยพลังที่มิอาจจะต้านทานได้ ทำให้หยิวอู่ถูกลากให้ไปข้างหน้าตามเขา ในหัวของหยิวอู่ยังคงนึกย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ นั่นเป็นความจริง ไม่ใช่ล้อเล่นแน่นอน ในน้ำมือของเขาชีวิตคนเหมือนมด เขาฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา
ปีศาจแบบนี้ จะเป็นคนที่หยิวอู่แตะต้องได้อย่างไรกัน!
ไม่นาน ทั้งสองมาถึงหน้าประตูของตึกว่านฉง ประตูใหญ่ของตึกว่านฉงปิดสนิท และก็ไม่รู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น ฟางเหยียนเดินมาที่ด้านหน้าของประตูใหญ่ ยกเท้าขึ้นแล้วถีบไปที่ประตูใหญ่อย่างแรง โดย ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อถีบไป ประตูก็เปิดออก ด้านในมีแววตาร้อยกว่าคู่มองมาที่ประตูอย่างพร้อมเพรียง ผู้คนเหล่านี้แต่งกายด้วยชุดสูทใส่เนคไท ทุกคนยืนเป็นแถว เหมือนกำลังประชุมกันอยู่
คนที่ยืนหันหลังให้ฟางเหยียนคนหนึ่ง อยู่ต่อหน้าของฝูงชนกลุ่มนี้ ไม่คิดก็พอจะเดาได้ ว่าเป็นอาจารย์ของพวกเขา
ที่นี่เปลี่ยนไปหมด เคาท์เตอร์เดิมถูกย้ายออกหมดแล้ว ชุดชาทั้งหมดไม่มีแล้ว แทนที่ด้วยสถานที่โล่งและคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้เป็นคนของโลกใต้ดินทั้งหมด
ถ้าตนเดาไม่ผิดล่ะก็ นี่น่าจะเป็นคนของแก๊งซินหง!
อาจารย์คนนั้นหันหน้ามา หลังจากที่มองฟางเหยียนแล้ว ก็ได้หรี่ตา แล้วถามด้วยสีหน้าดุดันว่า “แกเป็นใคร?”
ฟางเหยียนเพ่งมองอาจารย์คนนั้น นี่เป็นผู้ชายที่สูงใหญ่ ด้านล่างของดวงตามีรอยบากที่ลึกอยู่รอยหนึ่ง ดูท่าทีดุร้ายมาก! ดูจากรูปร่างแล้ว เขาน่าจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ไม่มีทางเป็นลูกพี่ของแก๊งซินหงอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่มีลักษณะเฉพาะแบบนี้ แต่ฟางเหยียนได้ถามอย่างไม่สนใจไป ด้วยเหตุนี้จึงได้ถามว่า “แกคือลูกพี่ของแก๊งซินหง?”