จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 533 ความคิดชัดเจนเชื่อมต่อประสานกันอย่างมีเหตุผล
“ใช่ เข่อเข่อ พวกเราหวังดีกับเธอนะ พี่ว่าหมอนั่นไม่คู่ควรกับเธอ!” หยางซงก้าวออกมาเห็นด้วยคนแรก ถึงเขาจะไม่ได้ชอบฉินเข่ออะไรมาก แต่ก็หวังดีจากใจจริงว่าฉินเข่อจะเจอคนที่ฐานะชาติตระกูลเท่าเทียมกัน
เจ้าสามหยางที่ได้รับบาดเจ็บก็พยักหน้าบอก “ใช่ เข่อเข่อ พี่ก็รู้สึกว่าเธอไร้เดียงสาเกินไป ไม่เหมาะกับคนแบบนั้น ถึงพี่จะรู้สึกว่าเขาไม่ได้คิดร้ายกับบ้านเรา แต่ก็ไม่เหมาะจะคบกับเธอ พี่ใหญ่คือหวังดีกับเธอ พี่ก็ว่าควรจะเลิกซะ! เรื่องแบบนี้ต้องเด็ดขาด ต้องพูดทันทีหลังจากพวกเขาออกมา”
ฉินเข่อโดนพูดเกลี้ยกล่อมจนเสียใจ เธอแค่นเสียงหึ กระทืบเท้า พลางพูดอย่างเอาแต่ใจว่า “ฉันไม่!”
พูดจบ ฉินเข่อเดินไปอีกทางทันที
ที่จริงทั้งคู่ไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่เธอก็ไม่ชอบให้คนมากมายขนาดนั้นคัดค้านเธอ!
ทุกคนแลกสายตากันไปมา สุดท้ายพี่ใหญ่ถอนหายใจยาวพลางว่า “ไม่ว่าเข่อเข่อยอมไหม สรุปแล้วคนคนนี้จะอยู่บ้านเราต่อไม่ได้ คนที่เจ้าเล่ห์แบบนี้ ผิดกับหลักธุรกิจและหลักการปฏิบัติตนของตระกูลหยางเรา พูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่เหมาะจะอยู่ตระกูลหยางเรา ดวงไม่สมพงศ์กับตระกูลหยางเรา”
พอพูดจบ เขาพูดกับหยางซงว่า “เจ้าสาม เรื่องนี้ให้แกจัดการ! ไม่ว่าแกจะใช้วิธีอะไร ต้องให้หมอนั่นเลิกกับเข่อเข่อให้ได้ เจ้าเจ็ด ทำให้เข่อเข่อหายเศร้าซะ นี่เป็นเรื่องที่แกถนัดที่สุด ไม่ต้องให้ฉันสอนแกใช่ไหม?”
ภายในห้องเหลือแค่ฟางเหยียนกับหยางจิ่งเซียน ฟางเหยียนขยับคอเสื้อเล็กน้อย พลางถาม “เอาล่ะ มีเรื่องอะไร?”
หยางจิ่งเซียนกลับคำนับโค้งต่ำลง มือประสานกันเป็นหมัดตรงกลางหน้าอกพลางว่า “เรื่องเมื่อครู่ หากทำให้คุณไม่พอใจ ขอได้โปรดอย่าถือสาเลยครับ”
นี่เป็นวิธีที่ตระกูลใหญ่มักใช้กัน และเป็นหนึ่งในมารยาทที่ค่อนข้างโบราณของประเทศหวาด้วย! การสืบทอดแบบนี้หายไปในผู้คนและในเมืองแล้ว แต่กลับหลงเหลืออยู่ในตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมายาวนานพวกนี้ เพราะว่าเป็นตระกูลที่สืบทอดมานาน ดังนั้นทุกคนเลยไม่เคยลืม
พอเห็นหยางจิ่งเซียนทำแบบนี้ ฟางเหยียนถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “หยางกง นี่คุณ?”
เมื่อกี้เขายังโทษตนอยู่เลย ตอนนี้กลับมาทำท่าทางแบบนี้ มันทำให้ฟางเหยียนไม่เข้าใจจริงๆ
หยางจิ่งเซียนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนพูดขึ้น “ถ้าผมเดาไม่ผิดล่ะก็ คุณคงจะเป็นบุคคลในตำนานคนนั้นในสำนักเจ็ดพิฆาตของประเทศหวาเราล่ะสิ?”
“อ้อ?” ฟางเหยียนอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้ มองหยางจิ่งเซียนอย่างสงสัย ตาแก่นี่วิเคราะห์ถึงฐานะขงอตนได้ ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดแบบนี้กับเขา เขาไม่เชื่อแน่ ยกตัวอย่างคุณตาของเย่ชิงหยู่สิ ขนาดบอกฐานะตนกับเขาไปตรงๆ เขาก็ไม่เชื่อเลย พอคิดถึงตรงนี้ ฟางเหยียนเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลจากเท่าไหร่นัก
เขาถามขึ้น “ดูจากตรงไหน?”
หยางจิ่งเซียนยิ้มกระดากพลางตอบว่า “เมื่อกี้เสียงตะคอกดังของคุณ ควบคุมรองผู้นำเทียนขุยที่กำลังบ้าคลั่งเอาไว้ได้ แถมคุณยังแค่เรียกชื่อเขาเท่านั้น เห็นได้ชัดถึงระดับความนับถือของรองผู้นำเทียนขุยที่มีต่อคุณ ถึงผมจะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่ก็ชื่นชมเลื่อมใสเกี่ยวกับเรื่องของเจ็ดเทียนแห่งสำนักเจ็ดพิฆาตมาโดยตลอด สำนักเจ็ดพิฆาตเป็นกำแพงเหล็กของประเทศหวาเรา เทียนขุยสูงส่งเป็นถึง รองผู้นำ ควบคุมดูแลเขตพื้นที่หนึ่ง ผมได้ยินมานานแล้วว่า คนที่สามารถออกคำสั่งกับเขาได้มีเพียงจอมพลแห่งสำนักเจ็ดพิฆาตเท่านั้น และเสียงตะคอกสั่งของคุณเมื่อกี้ก็จัดการทำเขาหยุดชะงักลงได้ เห็นได้ถึงความสูงส่งของฐานะคุณ ซึ่งฐานะที่อยู่เหนือรองผู้นำเทียนขุย ก็มีแต่ตำแหน่งนั้นแล้ว ดังนั้นผมเลยใจกล้าคาดเดาออกมา”
ต้องยอมรับจริงๆว่า การวิเคราะห์ของหยางจิ่งเซียนคนนี้เก่งฉกาจมาก สามารถวิเคราะห์ออกมาได้มากมายขนาดนี้จากเรื่องเล็กน้อยแค่นั้น ฟางเหยียนมองสำรวจหยางจิ่งเซียน และถามอีกว่า “อาศัยแค่เรื่องนี้ ดูจะไม่พอมั้งครับ?”
หยางจิ่งเซียนหัวเราะร่วน ผิวหนังบนใบหน้าแก่ชรานั่นเหี่ยวย่นเข้าด้วยกัน จากนั้นก็บอกว่า “ไม่มีอะไรปิดบังความฉลาดของโผ้จวินได้จริงๆครับ!”
“ที่จริงผมวิเคราะห์เสร็จแล้วถึงแน่ใจ ตอนแรกคือราศีของคุณ ตอนอยู่ในห้องโถง คนมากมายขนาดนั้นต่อว่าคุณ ใช้คำพูดโจมตีคุณ คุณไม่แยแสเลย ไม่มีแม้แต่โกรธเลยด้วยซ้ำ มันไม่ใช่ท่าทีที่คนหนุ่มสาวทั่วไปควรจะมี ปกติคนหนุ่มสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณ โดนคนใช้คำพูดโจมตีแบบนั้น มักจะแสดงออกมาอย่างกระอักกระอ่วน หรือไม่ก็ตอบโต้อย่างโกรธจัด แต่คุณไม่มี คุณเหมือนไม่สนใจการโจมตีด้วยคำพูดของพวกเขาเลย เวลาพูดจาก็พูดด้วยความคิดชัดเจน แถมยังเหมาะสมพอดี สีหน้าก็ไม่ร้อนรนเป็นเหตุเป็นผล นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนหนุ่มอายุยี่สิบกว่าจะแสดงออกมาได้ สีหน้าท่าทางของคุณ อย่างน้อยต้องเป็นคนที่อายุห้าสิบหกปี มีความสุขุมเป็นผู้ใหญ่ถึงจะมีได้ ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็เริ่มสงสัยฐานะของคุณแล้ว ผมคิดว่าคนแบบคุณน่าจะเคยเห็นเหตุการณ์น้อยใหญ่มามากแล้ว ดังนั้นเลยไม่ได้ใส่ใจหรือถือสาอคติของคนอื่น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดว่าคุณคือจอมพลโผ้จวิน”
“ต่อมา คุณใช้เสียงเดียวคำเดียวทำเทียนขุยที่มีพลังทำให้ใบไม้ต้นหญ้าโดยรอบสั่นกระจายหยุดชะงักลงได้ คำพูดเดียวก็กำราบพลังเขาทั้งหมดไว้ได้ ต่อให้เทียนขุยเสียสติแล้ว ก็ยังคงแยกแยะออกได้ว่าใครเป็นใคร เห็นได้ชัดว่าเขากลัวและเคารพคุณมาก คนที่สามารถทำให้เขาเคารพได้นอกจากเทพคนนั้นแล้ว ยังจะมีใครได้อีกล่ะ?”
“ต่อมาก็เป็นบทสนทนาระหว่างคุณกับเสี่ยวหง คุณควบคุมเธอได้อยู่หมัด แถมราศีที่คุณแผ่ซ่านออกมาก็เหมือนแม่ทัพใหญ่รบไม่เคยพ่ายคนหนึ่ง สิ่งของอย่างราศีนี่ไม่ใช่ใครก็ปลอมแปลงกันได้ และไม่ใช่ใครก็แทนที่กันได้ ในแววตาคุณฉายแววรังสีอำมหิต ไม่แยแส อีกทั้งยังความเมินเฉยต่อทุกสิ่ง แน่นอน สิ่งสุดท้ายที่ทำให้ผมแน่ใจฐานะไม่ธรรมดาของคุณคือวินาทีนี้ที่คุณลงมือ การลงมือของคุณทำให้ผมมั่นใจว่าฐานะคุณไม่ธรรมดา สรุปตามทั้งหมดข้างต้นนี้ผมถึงสรุปได้ว่าคุณคือผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น”
สิ่งของอย่างราศีนี่ไม่ใช่ใครก็แทนที่กันได้ ตอนหยางจิ่งเซียนหนุ่มๆเขาไปเที่ยวมาทุกหนทุกแห่ง รู้จักคนมากมาย ต่อให้เขาไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ และไม่ใช่นินจา แต่เรื่องการมองคนก็ถือว่ามีฝีมือพอตัวอยู่
พอพูดจบ เขาโค้งคำนับพลางว่า “ไม่ทราบว่าผลการวิเคราะห์ของผมทั้งหมดนี้ มีเหตุผลหรือไม่?”
ฟางเหยียนแค่นเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา และพูดว่า “วิเคราะห์ละเอียด ความคิดชัดเจนเชื่อมต่อประสานกันอย่างมีเหตุผล!”
ได้รับคำชมจากฟางเหยียน หยางจิ่งเซียนพูดอย่างกลั้นความตื่นเต้นไว้ไม่ไหวว่า “ที่จริงตอนหนุ่มๆผมสนใจเรื่องการวิเคราะห์คนมาก เพราะจากคำพูดคำจารวมถึงสีหน้าเล็กน้อยของคนสามารถวิเคราะห์ถึงฐานะของคนคนนั้นได้ มันเป็นจุดที่ดึงดูดผมมากที่สุด หลายปีมานี้ผมอาศัยสิ่งนี้ช่วยทำการค้าได้ไม่น้อยเลย”
การมองคนดูคน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจด้านไหนก็สำคัญมากทั้งนั้น การที่หยางจิ่งเซียนสามารถได้รับสมญานามหยางกงนี่ เกี่ยวข้องกันอย่างมากกับวิธีจัดการเรื่องของตนรวมถึงความคิดละเอียดรอบคอบนี่ด้วย