จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 537 เจ้าสามถูกพิษ
ฟางเหยียนอุทานออกมา แล้วถามว่า “ทำไมถึงพูดเช่นนี้?”
หยางจิ่งเซียนกล่าวว่า “หลายปีก่อน มีคนบอกว่าพบเห็นเขาอยู่บนภูเขา ร่างเขาส่องประกายสีทองแล้ว สามารถส่องประกายสีทองได้ นั่นต้องเป็นเพราะสำเร็จมรรคผลแล้วอย่างแน่นอน ผมคิดว่าเขาคงจะบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นเทพไปแล้วล่ะ! ด้วยฐานะของคุณ หากต้องการพบหน้าเขาสักครั้ง คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร! เพราะคุณคือเทพแห่งสงครามของประเทศหวานี่นา หากสามารถช่วยเหลือเทพแห่งสงครามได้ ผมคิดว่าเทพเจ้าที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรเหล่านั้นก็คงจะเป็นฝ่ายช่วยคุณเช่นเดียวกันนั่นแหละ! แน่นอนว่า นี่อาจจะดูงมงายไปบ้าง จะเชื่อไหมยังต้องดูที่ตัวคุณเองด้วย”
ตัวฟางเหยียนเองก็ยากที่จะเชื่อเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อเรื่องงมงาย บนโลกใบนี้มีสิ่งที่ยากจะอธิบายอยู่มากมายจริงๆ เพียงแต่สำหรับของอย่างพวกเทพเซียนแล้ว ฟางเหยียนยังไม่เคยพบ ผิดกับผีสางที่เขาเห็นมาไม่น้อย
เพราะเหตุใดศาสตราจารย์โจวถึงได้แนะนำคนเช่นนี้ให้ตนกัน หรือเขาคิดว่าตนจะต้องมองเห็นฉินเสียงหลินอย่างแน่นอน?
“จริงสิ จอมพล ขอบังอาจถามสักประโยค คุณตามหาเขาทำไมเหรอ?”
ฟางเหยียนพยักหน้าอย่างใช้ความคิด พลางตอบว่า “มีข้อสงสัยบางอย่างต้องการให้เขาไขข้อข้องใจ”
“อ้อ!” หยางจิ่งเซียนกล่าวว่า “งั้นลองทำแบบนี้ดูก็ไม่เสียหาย คุณพักอยู่ที่นี่ก่อน รอผ่านพรุ่งนี้ไป ผมจะให้คนพาคุณไปที่ภูเขาทิพย์ เป็นอย่างไร?”
“ดี!” ฟางเหยียนเองก็ไม่อิดออดเช่นกัน ตกปากรับคำทันที พรุ่งนี้เป็นวันแต่งงานของหวังชิงชิง ย่อมไม่อาจไปพรุ่งนี้ได้ หวังชิงชิงถูกบังคับ หากเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นที่งาน เขาจะเป็นคนแรกที่ยืนขึ้นไป เป็นคนของเขาวันหนึ่ง เท่ากับเป็นคนของเขาตลอดชีวิต แม้ว่าหวังชิงชิงจะไม่ใช่สำนักเจ็ดพิฆาต แต่อย่างไรก็เคยทำงานให้ตน
หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่ถือสาที่จะไปดูหลังผ่านพิธีแต่งงานของหวังชิงชิงไปแล้ว แต่สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อสักครู่แล้ว เมื่อสักครู่เขายังมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าฉินเสียงหลินจะช่วยไขข้อข้องใจให้ตนได้บ้าง ตอนนี้ฟังหยางจิ่งเซียนพูดว่าเขาเป็นเพียงตำนานเรื่องหนึ่ง ถูกทุกคนบูชาเป็นเทพเจ้า นี่เลยทำให้เขากังขาในตัวศาสตราจารย์โจวเป็นอย่างยิ่ง
แต่ศาสตราจารย์โจวทำเรื่องอะไรก็เป็นเช่นนี้ ไม่อาจอิงตามหลักเหตุผลได้ แต่ละเรื่องที่เขาทำล้วนแปลกประหลาดทั้งสิ้น
ช่วยไม่ได้ ได้แต่รออีกสักหน่อยค่อยโทรหาเขา ถามเรื่องราวให้แน่ชัด!
หยางจิ่งเซียนได้ยินฟางเหยียนยอมพักอยู่ที่นี่ ก็กล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้นเล็กน้อยว่า “นี่คงจะเป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดของตระกูลหยางเรา ถึงกับสามารถทำให้จอมพลพักอยู่ได้ นี่ นี่ นี่ช่างเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลโดยแท้”
“เกรงใจไปแล้ว!” ฟางเหยียนพูดด้วยท่าทางปลอดโปร่ง “คุณไม่ต้องเรียกผมว่าจอมพลหรอก ผมเป็นผู้น้อย คุณเรียกผมว่าเสี่ยวเหยียน! หรือจะเรียกชื่อผมตรงๆ ว่าฟางเหยียนก็ได้! ผมไม่อยากสร้าง “ความยุ่งยาก” ให้ที่นี่โดยไม่จำเป็น”
“ครับๆๆ!” หยางจิ่งเซียนพูดว่าครับสามคำติดกัน ใบหน้ายิ้มร่า
ขณะที่คนทั้งสองเพิ่งจะจบบทสนทนา ประตูก็ถูกเคาะเสียงดัง เจ้าใหญ่หยางเดินเข้ามาจากข้างนอก เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “พ่อ เจ้าสามเขาดูแย่ลงกว่าเมื่อกี้เสียอีก สงสัยมีดเล่มนั้นจะมีพิษ!”
“อะไรนะ?” หยางจิ่งเซียนเปลี่ยนเป็นตกใจจนหน้าถอดสี เขารีบลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกทันที
ฟางเหยียนเห็นเช่นนี้ ก็รีบเดินตามไป
ระหว่างทางที่เดินไป หยางจิ่งเซียนก็ถามว่า “เหล่าหลินอยู่ไหม?”
“อยู่ครับ หมอหลินกำลังตรวจให้เจ้าสามอยู่ เพิ่งสลบไปผมก็เลยมาหาคุณ” เจ้าใหญ่หยางกล่าว
เพียงชั่วครู่ พวกเขาก็มาหยุดตรงหน้าห้องห้องหนึ่ง ภายในห้องมีคนยืนอยู่กันเต็มแล้ว เพิ่งเดินไปถึงหน้าประตู ยังได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ หลังเดินเข้าไปใกล้กลุ่มคน หยางจิ่งเซียนก็ถามว่า “หมอหลิน เป็นยังไงบ้างครับ?”
เห็นเพียงหมอหัวล้านสวมแว่นตาคนหนึ่งกำลังตรวจร่างกายให้เจ้าสามหยาง หมอคนนั้นดูอายุราวๆ หกสิบเจ็บสิบได้ พอๆ กับหยางจิ่งเซียน และที่ด้านข้างของหมอหัวล้านมีเด็กผู้หญิงสวมชุดกาวน์คนหนึ่งยืนอยู่ อายุราวๆ สิบเจ็บสิบแปด มัดผมหางม้า ใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับเด็ก แต่ดูจากท่าทางของเธอ คงแค่แวะมาดูเท่านั้น
หมอชราหัวล้านแหวกเสื้อของเจ้าสามหยางออกแล้ว บาดแผลสามแห่งบนร่างเจ้าสามหยางจึงเผยออกมาหมด นั่นเป็นบาดแผลที่ถูกมีดฟัน เมื่อกี้แค่เลือดออก ตอนนี้เนื้อที่ถูกฟันนั้นกลายเป็นสีดำคล้ำแล้ว
ไม่เพียงแค่นี้ ร่างซูบผอมของเจ้าสามหยางเปลี่ยนจากแข็งแรงเป็นอ่อนแอ ทั้งยังอ้าปากกว้างหอบหายใจเสียงหนัก
หมอหลินถอนหายใจส่ายหน้าอย่างจนปัญญาพลางกล่าวว่า “พี่หยาง นี่คงถูกพิษร้ายเข้าแล้ว ขออภัยที่ผมความรู้น้อย สิบปีมานี้จากงานวิจัยทั้งสี่ พิษประหลาดที่สุดที่พบเจอมา ล้วนไม่อาจแก้ไขความร้ายแรงของพิษนี้ได้ พิษนี้ไหลไปตามกระแสเลือดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว ในอดีตพิษที่ผมสัมผัสมาล้วนเป็นแบบทาน แต่พิษนี้แตกต่างกันมาก”
“หา!” หยางจิ่งเทียนอ้าปากถามว่า “งั้น งั้น งั้นรีบไปส่งโรงพยาบาลเร็ว!”
หมอหลินโบกมือ พูดด้วยสีหน้าอับจนหนทาง “ไม่มีประโยชน์! คุณพาไปส่งโรงพยาบาลตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์! พวกเขาก็ต้องค้นคว้าว่านี่เป็นพิษอะไรอยู่ดี ค้นคว้าทะลุปรุโปร่งแล้วถึงจะใช้ยา รอจนพวกเขาค้นคว้าเสร็จ เกรงว่าคุณชายสามคงจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้แล้ว แทนที่จะส่งไปโรงพยาบาล ยังไม่สู้ให้ผมลองศึกษาค้นคว้าต่อไปดีกว่า บางทีผมอาจจะค้นเจอก็ได้”
“อะไรนะ?” หยางจิ่งเซียนเบิกตากว้างถามว่า “เหล่าหลิน ที่คุณพูดมาหมายความว่าอะไร?”
หมอหลินถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมามองไปหยางจิ่งเซียนแล้วพูดว่า “พิษที่แม้แต่ผมก็ยังไม่รู้ คุณคิดว่าที่โรงพยาบาลจะรู้หรือ? คุณชายสามร่างกายแข็งแรงจึงสามารถประคองมาได้จนถึงตอนนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงได้ตายไปนานแล้ว”
หมอหลินผู้นี้เมื่อก่อนเคยเป็นหัวหน้าของโรงพยาบาลในเมืองดินแดนตะวันตก เพิ่งจะปลดเกษียณเมื่อสองปีก่อน เขาเชี่ยวชาญในด้านการใช้พิษนานาชนิด เมื่อก่อนอยู่โรงพยาบาล มักจะพบยาที่เป็นปัญหาหนักหนาอยู่เป็นประจำ ก็ล้วนเป็นเขาที่ออกโรง ยาจีน ยาตะวันตกก็ใช้ออกมาได้ทั้งนั้น ใช้ตามความเข้าใจของตัวเขาเองนั่นแหละ คิดจะรักษาโรคนี้ นั่นก็ต้องเข้าใจว่าโรคนี้เป็นโรคอะไร มีเพียงเข้าใจสาเหตุของโรค ถึงจะสามารถให้ยาที่ถูกโรคได้
ตอนนี้พิษที่เจ้าสามหยางโดนหมอหลินไม่เคยพบมาก่อน เขาย่อมไม่อาจใช้ยาส่งเดชได้
“เหล่าหลิน ขอร้องล่ะคุณต้องช่วยลูกผมให้ได้นะ!” หยางจิ่งเซียนเห็นหน้าตาทุกข์ทรมานของเจ้าสามหยาง ตนก็เจ็บปวดเหลือแสน เจ้าสามตระกูลหยางเป็นคนหนึ่งที่กล้าหาญมากที่สุด พบเจอเรื่องราวใดก็กล้าพุ่งไปข้างหน้า
หมอหลินดันแว่นตาขึ้นเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นด้วยความจริงใจและหนักแน่นว่า “พี่หยาง คุณคิดว่าหากผมรักษาได้ ผมจะไม่รักษาหรือ? เจ้าสามผมเองก็เห็นเขามาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ได้มีแค่คุณที่เสียใจสักหน่อย เห็นเขาเป็นแบบนี้ ผมเองก็เสียใจมากเหมือนกัน คุณวางใจ ผมจะทำสุดความสามารถ แต่มีบางเรื่องที่ผมยังคงต้องบอกคุณ ความเป็นไปได้ที่จะรักษาเจ้าสามหายแทบจะเป็นศูนย์ พิษนี่แล่นเข้าสู่หัวใจแล้ว คุณยังคงทำใจไว้ล่วงหน้าจะดีกว่า!”
นี่ก็คือนิสัยของหมอหลิน ไม่เคยพูดโกหก ควรพูดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
พอเขาพูดออกมา หยางจิ่งเซียนก็หายใจไม่ออก เกือบจะสลบไป
สิ่งที่ตระกูลหยางประสบในวันนี้ช่างเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในชีวิต เดิมนึกว่าแก้ไขเรื่องของเสี่ยวหงแล้ว ตระกูลหยางก็นับว่ากำจัดความยุ่งยากออกไปหมดสิ้นแล้ว ที่คิดไม่ถึงคือ สุดท้ายเสี่ยวหงยังทิ้งอุบายเช่นนี้ให้พวกเขา นี่ทำให้ทุกคนไม่ทันตั้งตัว