จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 539 ลงเดิมพัน
แต่เขายังไม่ทันได้พูดอะไร หมอหลินก็ถามต่อว่า “เธอมีความมั่นใจแค่ไหนที่จะรักษาคุณชายสามตระกูลหยาง?”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์!” ฟางเหยียนตอบโดยไม่ต้องคิด จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าเดินมายังข้างกายเจ้าสามหยางทันที
หมอหลินส่งเสียงอ้อออกมา พูดขึ้นด้วยวาจาเย็นเยียบ “เธอคิดว่าตัวเองเป็นใคร? เธอคิดว่าเธอเป็นฮว่าถัวหรือ? ฉันจะบอกเธอให้นะ ต่อให้ฮว่าถัวยังไม่ตาย ก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองมีความมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะรักษาเขาหายได้!”
ตอนนี้พิษนั่นแล่นเข้าสู่หัวใจแล้ว ก้าวต่อไปก็คือโจมตีหัวใจ ไม่เกินครึ่งชั่วโมง พิษนี้ก็จะโจมตีหัวใจ หากโจมตีหัวใจ คนผู้นั้นก็หมดทางเยียวยา ตายอย่างไม่ต้องสงสัย นี่คือความรู้ทั่วไป ไม่ว่าจะแพทย์แผนจีนหรือแผนตะวันตกต่างก็รู้ทั้งนั้น
ฟางเหยียนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ผมขอลองดูหน่อย!”
กล่าวจบ ฟางเหยียนก็เดินมาถึงข้างเตียงแล้ว เขาชูสองนิ้วขึ้นมากดไปตามร่างกายของเจ้าสามหยางสองสามที ปิดกั้นจุดสำคัญบนร่างกายของเขาไว้ พอเห็นการกระทำเช่นนี้ เหล่าพี่น้องตระกูลหยางก็ระงับความอดทนไม่ไหว รีบร้องว่า “คุณจะทำอะไร?”
อันที่จริงเหล่าพี่น้องตระกูลหยางยังคงไม่ไว้ใจฟางเหยียน แม้เขาจะขับไล่เสี่ยวหงไปแล้ว ขจัดความยุ่งยากหนึ่งให้ตระกูลหยาง แต่หากว่ากันถึงวิชาแพทย์ พวกเขารู้สึกว่าวิชาแพทย์ของเขายังจะดีไปกว่าหมอหลินได้อย่างไร
อย่าว่าแต่พี่น้องเหล่านั้น แม้แต่ตัวฉินเข่อเองก็ไม่เชื่อว่าวิชาแพทย์ของเขาจะเหนือกว่าหมอหลิน หมอหลินอยู่ที่ดินแดนตะวันตกนับเป็นบุคคลที่เปี่ยมคุณธรรมมากด้วยบารมีคนหนึ่ง รักษาคนหายมากมาย รางวัลยกย่องที่อยู่ในบ้านก็มีไม่น้อย คำเรียกขานจำพวกประกอบอาชีพเป็นหมอช่วยเหลือผู้คนเอย หมอเทวดาแห่งยุคเอยก็มีมากมายนับไม่ถ้วน
“สหายน้อย!” หมอหลินยกมือขึ้นมาจับมือฟางเหยียนไว้ พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พวกเรามาตกลงกันก่อน หากคนรักษาไม่ได้ เธอจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด หากเธอรักษาได้ ฉันจะคุกเข่าต่อหน้าเธอ แล้วโขกหัวให้เธอสามครั้ง ทั้งยังจะเรียกเธอว่าอาจารย์ด้วย”
หลินอีอีก็เงยศีรษะขึ้นมามองสำรวจฟางเหยียนเช่นกันแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ขนาดปู่ฉันยังรักษาไม่ได้ นายจะรักษาได้ได้อย่างไร! หากนายรักษาได้ ฉันเองก็จะยอมติดตามนาย เป็นผู้ติดตามคนหนึ่งของนาย”
ฟางเหยียนแย้มปากเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่จำเป็น!”
ได้ยินคำว่าไม่จำเป็น หมอหลินก็หัวเราะเหอๆ แล้วถามว่า “ทำไม? ไหนเมื่อกี้เธอบอกว่ามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะช่วยคนได้อย่างไรล่ะ? ทำไมตอนนี้ไม่กล้าแล้ว? เธอกลัวแล้ว?”
“นี่ยังต้องพูดด้วยเหรอ? เขาต้องกลัวอยู่แล้ว ปู่!” หลินอีอีพูดด้วยสีหน้าลำพอง
ฟางเหยียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญาแล้วพูดว่า “ผมไม่ได้กลัว แค่คำนึงว่าหมอหลินอายุมากขนาดนี้แล้ว ต้องคุกเข่าต่อหน้าผม จะเป็นการผิดขนบธรรมเนียม พวกเรายังคงอย่าพนันอะไรพวกนี้ดีกว่า รักษาได้ก็คือรักษาได้”
“โอหัง!” หมอหลินตวาดเสียงเฉียบขาด “เด็กอมมืออย่างเธอ ถึงกับกล้าพูดจาหยาบคาย ขนาดฉันรักษาไม่ได้ ฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะรักษาได้! ฉันหลินเหย้าหรงพูดได้ทำได้ หากเธอรักษาได้ ฉันจะคุกเข่าต่อหน้าเธอ แล้วโขกศีรษะให้เธอเรียกเธอว่าอาจารย์ หลินอีอีหลานสาวฉันก็จะคุกเข่าโขกศีรษะ เรียกเธอว่าอาจารย์เหมือนกัน! หากไม่กล้ารับ ก็อย่าทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้”
สุดท้ายสรุปว่า ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของหมอหลินแข็งแกร่งเกินไป คนส่วนใหญ่ก็ตายอยู่บนความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเองเช่นเดียวกัน ฟางเหยียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญาพลางกล่าวว่า “เอาเถอะ ในเมื่อคุณยืนกรานจะทำเช่นนี้ ผมก็คงช่วยไม่ได้”
“ดี!” หมอหลินพูดเสียงดัง “ทุกคนสามารถเป็นพยานได้!”
“จริงสิ หากเธอรักษาไม่หายจะทำยังไง?” หมอหลินถามอีก
ฟางเหยียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “คุณให้ทำยังไงก็ทำอย่างนั้นแล้วกัน!”
“ได้ งั้นตกลงตามนี้! หากเธอรักษาคุณชายสามหยางไม่ได้ เธอก็คุกเข่ายอมรับผิดต่อหยางกง และยังต้องไว้ทุกข์ให้คุณชายสามหยางด้วย!” หมอหลินกล่าวอย่างกำเริบเสิบสาน
เพราะคำพูดกำเริบเสิบสานประโยคนี้ของเขา ทำเอาหยางจิ่งเซียนแทบสำลัก
คุกเข่า เขาไหนเลยจะกล้ารับการคุกเข่าของฟางเหยียน หากเขาคุกเข่าลงไป ตนคงต้องอายุสั้นลง ไม่แน่ว่าอาจจะทำลายอนาคตของคนทั้งตระกูลหยางอีกด้วย อีกอย่างว่ากันถึงการไว้ทุกข์นี้! เจ้าสามหยางของเขาเป็นใครมาจากไหน จะรับการไว้ทุกข์จากฟางเหยียนไหวได้อย่างไรกัน หากอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้ฐานะของฟางเหยียน บางทีหยางจิ่งเซียนคงจะเห็นด้วย แต่เมื่อรู้ฐานะของฟางเหยียนแล้ว เขาจะกล้าได้อย่างไร!
คิดมาถึงตรงนี้ เขาจึงรีบกล่าวกับหมอหลินว่า “เหล่าหลิน นี่ล้อกันเล่นหนักไปหน่อยแล้ว! คุณฟางจะอย่างไรก็เป็นแขกของตระกูลหยางเรา สามารถยื่นมือช่วยเหลือกันได้ถือเป็นความโชคดีของตระกูลหยางเราแล้ว ฉันยังจะกล้าให้เขาทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกัน”
ฟางเหยียนมองหยางจิ่งเซียน แย้มปากพูดกับหมอหลิน “ไม่เป็นไร ผมรับการเดิมพันจากคุณ!”
หยางจิ่งเซียนเบิกตากว้าง ร้องขึ้นอย่างประหลาดใจยิ่ง “นี่…”
ฟางเหยียนยกมือขึ้นมาทำท่าบอกให้หยุด ตัดบทหยางจิ่งเซียนที่กำลังจะพูด แล้วเขาก็พูดกับหยางจิ่งเซียนว่า “คุณวางใจเถอะ หยางกง ผมพูดว่ารักษาพิษของเจ้าสามหยางได้ ก็คือรักษาได้!”
หมอหลินหัวเราะเสียงเย็นออกมาสองเสียง แล้วกล่าวว่า “ดี งั้นฉันจะคอยดูว่าเธอจะรักษายังไง?”
กล่าวจบ หมอหลินก็ปล่อยมือฟางเหยียน ฟางเหยียนถึงค่อยเอามือวางไปบนร่างของเจ้าสามหยางที่สลบไสลไม่ได้สติ ทุกคนเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว จ้องทุกการกระทำของฟางเหยียนด้วยใจที่ร้อนรนอย่างห้ามไม่ได้
ตอนนี้ ทุกการกระทำของฟางเหยียนล้วนอยู่ภายใต้การเฝ้าดูของสายตานับไม่ถ้วนเลยก็ว่าได้ หากมีความผิดปกติแม้เพียงเสี้ยวเดียว ก็จะถูกทุกคนสังเกตเห็นทันที ฟางเหยียนไม่ได้รู้สึกถึงแรงกดดันแต่อย่างใด แรงกดดันสำหรับเขาแล้วไม่เคยมีอยู่มาแต่ไหนแต่ไร
เขายกมือขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อนกดชีพจรของเจ้าสามหยางไว้ ไม่กี่วินาทีให้หลัง เขาก็ชูสองนิ้วขึ้นมาจิ้มๆ ไปบนหน้าอกของเจ้าสามหยาง หลังทำแบบนี้เสร็จ เขาก็ใช้นิ้วกดไปบนปากแผลที่ถูกแทงของเจ้าสามหยาง เห็นเพียงร่างของเจ้าสามหยางจู่ๆ ก็สั่นอย่างรุนแรงขึ้นมาพักหนึ่ง นี่คงเป็นเพราะภายใต้สถานการณ์เจ็บปวดอย่างฉับพลันถึงได้ตัวสั่นขึ้นมา
เป็นอย่างนั้นอยู่ชั่วครู่ สั่นสะเทือนใจของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เหงื่อราวกับเม็ดถั่วหยดลงมาบนใบหน้าของเจ้าใหญ่หยาง เขารีบร้องเรียกไปทางฟางเหยียน “คุณ นี่คุณกำลังทำอะไร? ที่ไหนมีการรักษาโรคแบบคุณบ้าง นั่นเป็นบาดแผลเชียวนะ!”
หลินอีอีก็รีบพูดเสริมเติมแต่งเข้าไปว่า “ทุกคนเห็นกันแล้วสินะ? เจ้าหมอนี่รักษาโรคไม่เป็นโดยสิ้นเชิง นี่เขาคงอยากให้คนเจ็บหลุดพ้นเร็วกว่าเดิมมากกว่า ที่ไหนมีคนเจ็บหนักขนาดนั้น ยังจะถูกคนกดบาดแผลไว้กันบ้าง”
ฟางเหยียนไม่มีทางจะไปสนใจหลินอีอี เพียงแค่เงยหน้าขึ้นใช้สายตาจ้องเจ้าใหญ่หยางแล้วถามว่า “มีเกลือไหม ผมต้องการเกลือ!”
เจ้าใหญ่หยางชะงักไปเล็กน้อย แล้วถามกลับว่า “คุณ คุณจะทำอะไร?”
“แก้พิษ!” ฟางเหยียนตอบสองคำด้วยท่าทางปลอดโปร่ง เขาพูดด้วยความสงสัยเต็มใบหน้าทันที “คุณแน่ใจแล้วเหรอว่าตัวเองกำลังแก้พิษอยู่? การกระทำเมื่อกี้ของคุณ ผมไม่ยักมองออกว่าคุณกำลังแก้พิษ!”
“เจ้าใหญ่!” หยางจิ่งเซียนตวาดออกมา โบกมือพูดว่า “เชื่อฟังคุณฟาง”
บางทีอาจเป็นเพราะเคร่งเครียดเกินไป ทุกคนจึงไม่ได้รับรู้ว่าหยางจิ่งเซียนเปลี่ยนคำเรียกขานฟางเหยียนจากพ่อหนุ่มฟางเป็นคุณฟางไปแล้ว