จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 540 ชีพจร หยุดเต้นแล้ว
เจ้าใหญ่หยางไม่กล้าขัดคำสั่งหยางจิ่งเซียน ตอบรับออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอกทันที
ผ่านไปชั่วครู่ เกลือก็ส่งมาถึง ฟางเหยียนไม่ลังเล ใช้เกลือโรยไปที่บาดแผลถูกแทงของเจ้าสามหยางทันที
คราวนี้ทำให้ร่างของเจ้าสามหยางกระตุกอย่างแรงทีหนึ่ง ฟางเหยียนไม่ได้หยุด ซึ่งบาดแผลทั้งสามแห่งต่างถูกโรยไปด้วยเกลือ พอเห็นฉากนี้เข้า หลินอีอีก็ทนไม่ไหว ร้องเรียกฟางเหยียนทันที “เขาคิดจะฆาตกรรม คนหรือก็บาดเจ็บจนมีสภาพแบบนี้ นายยังจะโรยเกลือไปที่บาดแผลเขาอีก คนที่เคยเรียนหมอต่างก็รู้กันว่า การโรยเกลือไปที่ปากแผลเป็นการโจมตีคนได้เจ็บปวดที่สุด และเป็นการทรมานคนอย่างหนึ่ง ฉันว่าเขาไม่ได้กำลังรักษาคนอย่างแน่นอน แต่เขากำลังฆ่าคน”
นี่ก็คือความจริง เวลาที่ใครสักคนทำเรื่องผิดพลาด คุณไม่ปลอบใจเขา ยังไปตำหนิเขาถึงถูกคนพูดว่าเป็นการโรยเกลือบนปากแผลคน นี่เป็นคำคุณศัพท์คำหนึ่ง บรรยายถึงคนคนนั้นไม่มีน้ำใจไมตรี ยังจะโยนหินลงบ่ออีก
ซึ่งตอนนี้ ฟางเหยียนทำตามคำพูดนี้ออกมาจริงๆ เขากำลังโรยเกลือใส่ปากแผลของคนอื่นอยู่
ฟางเหยียนมองหลินอีอี แล้วถามว่า “เธออายุสิบแปดปีเต็มหรือยัง?”
เขาเข้ามานานขนาดนั้น นี่คือประโยคแรกที่เขาพูดกับหลินอีอี หลินอีอีแค่นเสียง ก่อนจะกล่าวว่า “เต็มแล้ว อีกสามวันก็จะสิบเก้าปี อย่าเห็นว่าฉันอายุน้อย สิ่งที่ฉันรู้มีมากกว่านายแล้วกัน อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าห้ามทรมานคนป่วย”
“หากเธอยังอยากอยู่ที่นี่ งั้นก็จงหุบปาก หากเธอยังจะพูดอีก ก็ออกไปให้ฉันเดี๋ยวนี้!” ฟางเหยียนตีหน้าขรึม ไม่เหมือนพูดเล่นกับหลินอีอีเลยสักนิด
นี่ทำให้หลินอีอีรู้สึกว่าหน้าตัวเองถูกตบ เธอใช้สายตาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมมองไปตัวของหมอหลินแล้วร้องว่า “คุณปู่ เห็นหรือยัง? เขาทำไม่ถูก ยังไม่ยอมให้คนพูดอีก เขากำลังโรยเกลือใส่บาดแผลคนไข้เชียวนะ!” ;
“พอแล้ว!” หมอหลินถลึงตาใส่หลินอีอีแวบหนึ่ง พลางกล่าวว่า “อย่าพูด ดูเขารักษายังไง!”
“ฮึ!” หลินอีอีแค่นเสียงเย็นอย่างไม่เต็มใจ พลางเม้มปากไม่พูดอะไรอีก
หลังฟางเหยียนโรยเกลือเสร็จ จู่ๆ ก็บีบขาของเจ้าสาวหยางไว้ เขาพูดกับทุกคนที่มุงดูอยู่ว่า “ทุกคนถอยไปหน่อย!”
แม้ทุกคนจะไม่รู้ว่าฟางเหยียนต้องการทำอะไร แต่ก็ถอยหลัง ฟางเหยียนออกแรงดึงทีหนึ่ง ร่างของเจ้าสามหยางก็ลอยจากเตียงไปอยู่บนพื้นทันที แต่เสียงที่ตกลงบนพื้นไม่ดังนัก เพียงแค่นอนนิ่งอยู่บนพื้นเบาๆ
ฟางเหยียนพลิกร่างของเจ้าสามหยางคว่ำลง ให้หน้าอกกับส่วนหน้าอยู่ข้างใต้ ด้านหลังอยู่ข้างบน
บาดแผลของเจ้าสามหยางอยู่ตรงกล้ามเนื้อแขนด้านหน้า หน้าอกกับต้นขาด้านหน้า คว่ำหน้าแบบนี้บาดแผลทั้งหมดจะไม่กดทับกับพื้นพอดีหรอกหรือ ใครๆ ก็รู้ว่าตรงที่เป็นแผลห้ามถูกกดทับ วิธีที่ฟางเหยียนทำมันนอกคอกเกินไปแล้ว
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ตัวหยางจิ่งเซียนเองก็ทนดูไม่ได้ แม้ลูกชายตนจะถูกพิษร้ายเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่รอดแล้ว แต่ฟางเหยียนทำแบบนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระทั่งเขาตายก็คงตายแบบทุกข์ทรมานหาใดเปรียบ
เวลาคนกำลังหลับยังห้ามนอนคว่ำ นับประสาอะไรกับเจ้าสามหยางที่กำลังหายใจรวยรินอยู่ตอนนี้กัน
หยางจิ่งเซียนสะอึกสะอื้นอยู่ชั่วครู่ ก็ถามว่า “คุณฟาง คุณทำแบบนี้ จะแก้พิษให้เจ้าลูกชายได้จริงๆ เหรอ?”
หมอหลินคว้าโอกาสที่หยางจิ่งเซียนพูดไว้ รีบกล่าวว่า “เธอเห็นแล้วใช่ไหม? นี่ไม่ใช่ฉันบอกเธอแล้วหรือ แม้แต่ตัวพี่หยางเองยังทนดูไม่ได้ เธอทำแบบนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังเร่งให้คุณชายสามตระกูลหยางตายเร็วขึ้น ฉันเป็นหมอมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นวิธีช่วยคนที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน เธอไม่ใช้ยา แต่ใช้วิธีประหลาดเหล่านี้ จะช่วยคนได้เหรอ?”
ฟางเหยียนมองหยางจิ่งเซียน แล้วก็มองหมอหลิน จากนั้นก็ถามว่า “มีชาดไหม?”
คำพูดนี้ทำให้หยางจิ่งเซียนกับหมอหลินชะงักค้างอย่างเห็นได้ชัด เห็นคนทั้งสองต่างไม่มีใครขยับ ฟางเหยียนก็กวาดตามองคนตระกูลหยางรอบหนึ่ง คนตระกูลหยางทั้งหมดต่างก็ใช้สายตาสงสัยมองไปที่ฟางเหยียน ทั้งยังแสดงสีหน้าท่าทางราวกับเป็นห่วงเจ้าสามหยางอย่างมาก
ฟางเหยียนเข้าใจความคิดของพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงพูดว่า “วางใจ ผมไม่ทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจ”
หยางจิ่งเซียนถอนหายใจออกมายาวเหยียด โบกมือพูดว่า “ไปหยิบชาดมา”
อันที่จริงเขาเองก็ไม่สามารถลังเลอะไรได้ คนตรงหน้านี้ก็คือเทพของประเทศหวา อย่าว่าแต่จะช่วยเจ้าสามตระกูลหยางของเขาเลย ต่อให้คิดจะฆ่าคนทั้งตระกูลหยาง ก็เป็นเรื่องที่พูดแค่คำเดียว มีใครกล้าโต้แย้งสักครึ่งคำบ้าง
เดิมที่เจ้าใหญ่หยางคิดจะถามอะไรหน่อย แต่เห็นบิดาของตันเด็ดขาดเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรมากอีก ไม่นานนัก ชาดก็มาถึง!”
ชาดใส่มาในชาม ฟางเหยียนนำชาดจ่อเข้าไปใกล้จมูกเล็กน้อย หลังดมว่าไม่มีปัญหาจริงๆ แล้ว ก็เริ่มลงมือของตัวเอง อันที่จริงคนที่เข้าใจต่างรู้ว่า ชาดใช้ในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย เวลาที่นักบวชวาดยันต์ ก็ใช้ชาดนี่แหละในการวาด
ฟางเหยียนไม่ได้ใช้น้ำกวนเป็นหมึกชาด แต่กัดนิ้วของตนแทน แล้วใช้เลือดหยดไปบนชาด หลังรู้สึกว่าใช้การได้แล้ว เขาก็ใช้นิ้วจุ่มสีชาด จากนั้นก็วาดอะไรบางอย่างบนพื้นเต็มไปหมด
สิ่งนั้นราวกับเป็นยันต์ผืนหนึ่ง วาดอยู่ทางซ้ายของเจ้าสามหยางผืนหนึ่ง แล้วก็วาดอยู่ทางขวาของเจ้าสามหยางอีกผืนหนึ่ง ชาดเมื่อวาดอยู่บนกระดาษยังมองออกได้ แต่พอวาดอยู่บนพื้น ก็ยากจะมองเห็นได้ชัด
หลังวาดเสร็จ ฟางเหยียนก็เก็บชาดกลับไป แล้วเอ่ยขึ้นว่า “เสร็จแล้ว หลังผ่านไปสามนาที เขาก็จะฟื้น”
ทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งฟางเหยียนก็ส่งถ้วยชาดที่อยู่ในมือไปให้เจ้าใหญ่หยาง
หมอหลินมองฟางเหยียนราวกับพวกต้มตุ๋นคน เขาถึงขั้นไม่ใช้ยาโรยปากแผลด้วยซ้ำ หรือว่าการใช้เกลือโรยปากแผล แล้วก็วาดยันต์ผืนหนึ่งบนพื้น ก็สามารถแก้พิษได้แล้ว? นี่เป็นพิษที่ตัวเขาไร้ทางแก้เชียวนะ หมอนี่จะต้องกำลังตบตาคนอยู่แน่ คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็แค่นเสียงออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก ด้วยเหตุนี้เขาจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ร่างของเจ้าใหญ่หยาง เข้าใกล้ไปพลางพูดไปพลางว่า “เธออย่ามาหลอกตบตาคนอยู่ที่นี่นะ! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะเก่งกาจขนาดนั้น! เธอคิดว่านี่กำลังเรียกวิญญาณกลับเข้าร่างอยู่หรือ?”
กล่าวจบ เขาก็นั่งยองๆ อยู่ข้างกายเจ้าสามหยาง ยกมือขึ้นมาจับมือของเจ้าสามหยาง พอจับขึ้นมา สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนแปลงใหญ่โต รูม่านตาก็หดลงจนทำให้คนประหลาดใจ มือข้างนั้นของเขาสั่นอยู่พักหนึ่ง ราวกับคลำเจอสิ่งที่น่ากลัวเข้า
ต่อมา เขาก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาดใจ ร้องขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัวว่า “ชีพจร หยุดเต้นแล้ว!”
สี่คำนี้โจมตีเข้าที่ศีรษะของแต่ละคนในตระกูลหยางอย่างหนักหน่วง ใจของทุกคนต่างได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
“อะไรนะ?” หยางจิ่งเซียนเบิกตากว้าง สมองขาดออกซิเจนไปชั่วขณะ ร่างที่ตั้งตรงล้มหงายหลังลงไป
แต่โชคดีที่เจ้าสี่กับเจ้าห้าหยางรีบมาพยุงเขาไว้ รีบร้อนพูดปลอบใจเขาทีหนึ่ง โชคดีที่หลังผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็ฟื้นขึ้นมา เพียงแต่สีหน้าระงับความโศกเศร้าไม่ไหว น้ำตาไหลลงมาตามใบหน้าที่แห้งแล้ง คนผมขาวส่งคนผมดำ สิ่งนี้สำหรับหยางจิ่งเซียนแล้ว เป็นเรื่องที่เคยเสียใจที่สุด
แม้ว่าเมื่อกี้เขาจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอช่วงเวลานั้นมาถึง ตนยังคงทนความเศร้าไม่ไหว
ใบหน้าเจ้าใหญ่หยางเปลี่ยนเป็นดำคล้ำแล้ว เขาพุ่งเข้าไปหาฟางเหยียนอย่างโกรธเคืองถามด้วยถ้อยคำบีบคั้นผู้คนว่า “แก แก แกทำเรื่องดีเข้าแล้ว! ไหนแกบอกว่ารักษาน้องสามของฉันได้ไงล่ะ? ทำไมตอนนี้ถึงทำคนตายไปแล้ว?”