จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 541 เชื่อใจคุณฟาง
หมอหลินคว้าโอกาสนี้ไว้ ราดน้ำมันลงบนกองไฟ เขาแค่นเสียงออกมา ตีหน้าขรึมพูดว่า “ฉันว่าเขามาก่อกวนชัดๆ ไม่เพียงรักษาโรคไม่เป็น ยังมาแสร้งทำตัวเป็นเทพไล่ผีอยู่ที่นี่อีก! ไหนจะชาดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายอะไรนั่น ไหนจะร่างกายสัมผัสพื้นดินอะไรนั่นอีก ฉันว่าเขาก็แค่กำลังทำตัวเป็นเสือเฝ้าประตู ตบตาพวกคุณ พี่หยาง คุณชายทั้งหลาย พวกคุณดูเอาเองเถอะว่าจะจัดการยังไง!”
หลินอีอีในที่สุดก็หาโอกาสพูดได้เสียที เธอยกนิ้วขึ้นมาชี้ฟางเหยียน พูดอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับปู่ของตัวเอง “ฉันว่าเขาไม่เข้าใจอะไรหรอก รู้จักแต่ปาหี่แสดงเป็นเทพไล่วิญญาณ ถึงแม้ฉันจะอายุน้อย ยังไม่เรื่องไม่เข้าใจอีกมาก แต่ฉันก็รู้ว่าชาดนั่นใช้ในการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ใครเอาชาดมาใช้แก้พิษกัน? รีบโทรแจ้งตำรวจเถอะ จับเขาเข้าไปนอนอยู่ในนั้นสักหลายสิบปี เดี๋ยวเขาก็รู้เองว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ตอนแรกปู่ฉันศึกษาสักเดี๋ยวหนึ่ง ไม่แน่อาจจะค้นเจอก็ได้ว่าเป็นพิษอะไร ถึงเวลาก็สามารถแก้ได้ พอถูกเขาทำเช่นนี้ โธ่ถัง คนก็ตายน่ะสิ!”
ฉินเข่อเองก็มองฟางเหยียนด้วยสีหน้ากังขา เธอไม่สนิทกับฟางเหยียนนัก และก็เป็นบุญคุณช่วยชีวิตครั้งหนึ่งแค่นั้น แต่เธอไม่เคยคิดจะให้ฟางเหยียนอวดเก่งในเวลาเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะมีเจตนาดีหรือไม่ สุดท้ายแล้วเขาก็แสดงความล้มเหลวต่อหน้าทุกคนจริงๆ ต่อจากนี้ พวกลูกพี่ลูกน้องกับหมอหลินคงไม่มีทางปล่อยเขาแน่
ส่วนเธอ อยากจะพูดให้ฟางเหยียนมาก แต่คนที่ถูกทำร้ายนั้นก็เป็นญาติผู้พี่ของตน เธอจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
“ฟางเหยียน!” คิดมาถึงตรงนี้ ฉินเข่อก็ทนไม่ไหวกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แล้วเรียกฟางเหยียน
หลังสายตาของฟางเหยียนมองหาในกลุ่มคนรอบหนึ่ง สุดท้ายสายตาก็หยุดลงที่ใบหน้าของฉินเข่อ พ่นคำสองคำออกมาอย่างไม่แยแสว่า “ไม่เป็นไร!”
“ไม่เป็นไร!” หมอหลินแค่นเสียง แล้วตวาดเสียงหนักว่า “นี่มันชีวิตคนคนหนึ่งเชียวนะ ต่อหน้าคนทั้งตระกูลหยาง ช่วยชี้แจงอะไรบ้างเถอะ!”
เขาหันหน้าไปมองหมอหลิน พยักหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ถูกต้อง ชีพจรของเขาหยุดเต้นไปแล้วจริงๆ เพราะผมผนึกจุดชีพจรของเขาไว้เอง เพื่อไม่ให้พิษโจมตีเข้าหัวใจ เมื่อกี้คุณก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า หากพิษโจมตีเข้าหัวใจ ต่อให้ฮว่าถัวยังไม่ตายก็รักษาไม่ได้? ผมไม่ใช่ฮว่าถัว ทำได้เพียงผนึกชีพจรของเขาไว้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาตาย!”
“เหอะๆๆ!” หลินอีอีเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว เหลือบมองฟางเหยียนแล้วกล่าวว่า “พูดได้สวยหรูเสียน่าฟัง นายนี่ทำตัวได้น่าตลกจริงๆ คนที่เคยเรียนหรือไม่เคยเรียนแพทย์ ใครบ้างไม่รู้ว่าชีพจรเต้นหมายถึงการที่คนคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ เป็นเพราะหัวใจยังเต้นอยู่ จึงส่งผลให้ชีพจรเต้น ชีพจรไม่เต้นก็หมายความว่าหัวใจของคนหยุดเต้นแล้ว เมื่อหัวใจหยุดเต้น คนยังจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ? นายคิดว่าตัวเองเป็นพวกหมอผีไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม? ถึงสามารถลงนรกไปช่วยคนได้ ดูหนังมากไปหรือเปล่า!”
นี่คือความรู้ทั่วไป ไม่มีใครไม่รู้ว่าหัวใจหยุดเต้นหมายถึงคนตายแล้ว มองเห็นฟางเหยียนทำท่าทางสบายอกสบายใจเช่นนี้ออกมาทางสีหน้า ทุกคนในตระกูลหยางจึงรู้สึกโกรธเกรี้ยว หรือในสายตาเขาชีวิตของเจ้าสามหยางไร้ค่าถึงขนาดนั้นเชียวหรือ?
เดิมทุกคนยังโอบอุ้มความหวังเล็กๆ ไว้ แต่ตอนนี้หัวใจหยุดเต้นไปแล้ว ยังจะมีความหวังอะไรอีก?
“หมอหลินพูดได้ไม่ผิด ฉันว่านายก็คือพวกแสร้งทำตัวเป็นเทพไล่ผี นายรักษาโรคไม่เป็นเลย ใช่ไหม?” หยางซงก้าวขึ้นหน้ามาเป็นคนแรก ทำท่าทางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“จริงด้วย ถ้านายไม่เข้าใจ ทำไมดึงดันจะเข้ามา ตอนนี้เป็นยังไง นายเอาชีวิตของน้องสามคืนมา!”
“ไอ้หมอนี่ ฉันว่านายก็คือพวกเดียวกับคนกลุ่มเมื่อกี้ พวกนายจะต้องวางแผนกันมาที่นี่ทำร้ายตระกูลหยางเรา เจ้าสามแค่เริ่มเป็นคนแรก ต่อมาก็ถึงตาพวกเราใช่ไหม”
“ไม่ผิด เมื่อกี้พ่อก็บอกแล้วว่า เขากับคนพวกนั้นรู้จักกัน! เขาจะต้องมาที่นี่เพื่อทำร้ายพวกเราแน่”
คนตระกูลหยางทั้งหมดล้วนใช้สายตาเคียดแค้นจ้องฟางเหยียน แต่ละคนท่าทางจ้องจะเขมือบ แต่ไม่มีใครกล้าเดินขึ้นหน้า ทุกคนล้วนเป็นคนที่รู้สถานการณ์ เดินขึ้นหน้าก็เท่ากับรนหาที่ตาย ใครบ้างไม่รู้ว่าฟางเหยียนเก่งกาจแค่ไหน
ฟางเหยียนคร้านจะพูดมากความกับพวกเขา เพียงแค่คลำมือถือออกมาดูเวลาแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “รออีกสองนาที! ผ่านไปอีกสองนาทีเขาก็จะฟื้น จริงสิ ฉินเข่อ รินน้ำมาให้ฉันที!”
ฉินเข่อชะงักเล็กน้อย ชี้มาที่ตัวเองแล้วถามว่า “ฉัน?”
ฟางเหยียนส่งเสียงตอบรับ จากนั้นก็เดินไปนั่งลงบนเตียง เขาทำสีหน้าราวกับไม่ทุกข์ร้อน ราวกับไม่ได้เก็บคำตำหนิของทุกคนมาใส่ใจ ดูจากการแสดงออกเช่นนี้ของเขา ไม่รู้ควรพูดว่าเขามั่นใจในตัวเองดี หรือควรพูดว่าไร้มารยาทดี
“นายยังคิดจะให้เข่อเข่อของเรารินน้ำให้นายอีก ฝันไปเถอะ!” หยางซงขวางอยู่ตรงหน้าฉินเข่อ
หลินอีอีพูดเสริมเติมแต่งเข้าไปอีกว่า “เห็นหรือยัง นี่เขากำลังจงใจถ่วงเวลา สองนาทีอะไร อะไร…”
“พอแล้ว!” ทันใดนั้น ก็มีเสียงคำรามเปี่ยมไปด้วยพลังเสียงหนึ่งดังขึ้น ตัดบทคำพูดของหลินอีอี
คนที่พูดคือหยางจิ่งเซียน เขาจัดระบบความคิดเสร็จแล้ว กวาดตามองคนที่กำลังเอะอะโวยวายรอบหนึ่ง
ทุกคนต่างนึกว่าหยางจิ่งเซียนต้องการระเบิดอารมณ์ จะจัดการฟางเหยียนแล้ว โดยเฉพาะหลินอีอีที่เฝ้าคอยความโกรธของหยางกงเป็นพิเศษ เพราะว่าเส้นสายของหยางกงแข็งแกร่งมาก ขอเพียงเขาพุ่งเป้ามาที่ฟางเหยียน ฟางเหยียนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
หยางจิ่งเซียนแค่นเสียง กล่าวว่า “เป็นถึงลูกหลานตระกูลหยางของฉัน เอะอะโวยวาย ใช้ได้ที่ไหนกัน! คุณฟางก็บอกแล้ว ให้รอสองนาที พวกเรารอมาตั้งนานขนาดนั้น หรือสองนาทีก็รอกันไม่ได้แล้วใช่ไหม?”
ทุกคนในตระกูลหยางต่างเบิกตากว้างอย่างไม่เข้าใจ เดิมคิดว่าหยางจิ่งเซียนจะระเบิดอารมณ์ใส่ฟางเหยียน ใครจะรู้ว่าถึงกับพุ่งเป้ามาที่พวกเขาแทน และไม่รู้ว่าฟางเหยียนตอนอยู่ในบ้านตามลำพังกับหยางจิ่งเซียนโปรยยาเสน่ห์อะไรใส่เขา ถึงทำให้เขาเชื่อใจฟางเหยียนเช่นนี้
เจ้าใหญ่หยางพูดด้วยความไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง “พ่อ! พ่อเป็นอะไร เขารักษาเจ้าสามเราจนตายนะ! พ่อไม่อาจตามใจเขาถึงขนาดนี้เพียงเพราะเมื่อกี้เขาช่วยตระกูลเราหรอกนะ! ไม่แน่ว่านั่นอาจจะเป็นแผนการของพวกคนเหล่านั้น ผมรู้สึกว่า……”
“พอแล้ว!” หยางจิ่งเซียนตัดบทคำพูดของเจ้าใหญ่หยาง แล้วกล่าวว่า “ไม่ว่าคุณฟางจะรักษาเจ้าสามได้หรือไม่ พวกเราก็ไม่ควรต่อว่าคนอื่น อย่างไรเขาก็ทำไปเพื่อช่วยเจ้าสาม เมื่อกี้ตัวหมอหลินก็พูดเองว่า เขามีความมั่นใจเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่จะช่วยเจ้าสามได้ ก็แสดงว่าพิษที่เจ้าสามโดนคงไร้ทางแก้แล้วจริงๆ ที่พูดว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดคือการปลอบใจพวกเรา”
ได้ยินหยางจิ่งเซียนพูดถึงขนาดนี้ ทุกคนต่อให้มีความคับแค้นใจก็ไม่กล้าพูดออกมา หลินอีอีเบ้ปาก ดูทาท่างไม่มีความสุข เห็นได้ชัดมากว่านายทานเข้าข้างเจ้าหมอนี่ เพราะนายท่านบอกแล้ว ไม่ว่ารักษาได้หรือไม่ก็ไม่โทษเขา
หมอหลินได้ยินคำพูดนี้ของหยางจิ่งเซียน ความจริงหน้าเหี่ยวๆ ของเจ้าต้วก็เก้อกระดากไปเช่นกัน หยางจิ่งเซียนพูดได้ไม่ผิด เขาไร้หนทางรักษาเจ้าสามหยางจริงๆ แล้ววีธีพูดจาบีบคั้นผู้คนของตนเองมีอะไรแตกต่างกับพวกลูกๆ ของหยางจิ่งเซียนกัน พอคิดมาถึงตรงนี้ เขาจึงได้แต่กู้หน้าอย่างกระอักกระอ่วน พูดพลางหัวเราะเหอๆ ว่า “พี่หยางช่างมีจิตใจเมตตาอย่างที่คิดไว้จริงๆ! ตัวผมแค่ค่อนข้างจะกังวลอาการของเจ้าสามเท่านั้น ก็เลย…”
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจความคิดของหมอหลิน” หยางจิ่งเซียนพูดอย่างเกรงใจขึ้นมาหนึ่งประโยค
เดิมเวลาสองนาทีชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปแล้ว แต่ด้วยความที่เกี่ยวพันกับชีวิตคนเช่นนี้ จึงราวกับว่ามันเดินช้ามากเป็นพิเศษ เวลาที่ผ่านไปหนึ่งนาทีหนึ่งวินาทีแล้ว ฟางเหยียนทางหนึ่งดื่มน้ำ ทางหนึ่งจ้องมองเจ้าสามหยาง
อันที่จริงจุดที่ฟางเหยียนกดเมื่อกี้เป็นการผนึกการไหลผ่านของกระแสเลือดไว้ ทำให้หัวใจเขาหยุดการทำงานชั่วคราว ตอนที่กำลังหยุดการทำงาน ไม่อาจให้วิญญาณออกจากร่างเขาได้ ด้วยเหตุนี้จึงใช้ยันต์มากดสามจิตเจ็ดวิญญาณของเขาไว้
หัวใจคนหยุดเต้นนั่นคือความตาย ในจุดนี้ไม่ต้องสงสัย ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
แต่คนทั่วไปไม่รู้ว่า หากสามารถหาสามจิตเจ็ดวิญญาณกลับคืนสู่ร่างได้ภายในครึ่งชั่วโมง และทำให้วิญญาณเหลืออยู่ในร่าง คนคนนั้นก็จะไม่ตาย แน่นอนว่ายกเว้นคนที่หมดอายุขัย เพราะคนที่หมดอายุขัย จะมีวิญญาณขังอยู่ที่ยมโลก