จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 597 ปล้นสะดม
สองขาของหญิงสาวสั่นเทา เธอเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “ฉันฉันฉัน ฉันไปเอง ฉันไปเอง!”
พูดจบเธอก็ทำท่าจะจากไป แต่ฟางเหยียนกลับตะโกนเรียกเอาไว้เสียงเคร่ง “หยุด!”
สองคำ ดูเหมือนเท้าของหญิงสาวจะถูกตอกเอาไว้กับพื้นด้วยตะปูสองอันในทันที สองเท้าของเธอยืนนิ่งอีกครั้ง เธอหันกลับมาอย่างตัวสั่นงกๆเงิ่นๆ แล้วถามด้วยใบหน้าเศร้าๆ “อะ อะ อะไรอีก?”
ฟางเหยียนไม่ได้พูด แต่ทำเพียงแค่จ้องไปที่ดวงตาของหญิงสาว ไม่นานหญิงสาวก็เข้าใจความหมายของดวงตาเขาและรีบเอ่ยว่า “นี่ไม่เกี่ยวกับฉันนะ เป็นคนที่คุณเพิ่งโยนลงไปเมื่อกี้เป็นคนจัดการ พวกเขาเป็นพี่ใหญ่ของพวกเรา ก่อนหน้านี้เขาคลุกคลีอยู่ข้างนอก แต่ว่าภายหลังดันไปทำให้ลูกพี่ใหญ่คนหนึ่งขุ่นเคืองเข้า ก็เลยถูกไล่ออกมาจากบ้านของลูกพี่ใหญ่ เป็นเพราะเขาไม่มีทักษะอะไร อีกทั้งยังไม่มีเงินทุน ก็เลยได้แต่ต้องเริ่มธุรกิจนั้น แต่ว่าเป็นเพราะฉันอายุมากแล้ว รับแขกไม่ได้ ก็เลยต้องใช้วิธีนี้เพื่อเลี้ยงชีวิต อันที่จริง อันที่จริง พวกเราก็ไร้ทางเลือก..หากไม่ใช่เพราะเดินมาถึงจุดนี้แล้วจริงๆ ใครกันจะไร้ศีลธรรมได้ขนาดนี้”
คำพูดของหญิงสาว ทำให้ทุกคนในรถได้ยินอย่างชัดเจน ฟางเหยียนโบกมือและพูดว่า “ไปซะ!”
หญิงสาวพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็รีบวิ่งลงจากรถไป
เพียงพริบตาในรถก็เกิดเป็นความเงียบงัน เงียบสนิทราวกับความตาย ในใจของทุกคนล้วนรู้สึกผิดและอับอาย แต่ไม่มีใครพูดออกมา อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ฟางเหยียนขี้เกียจจะไปสนใจคนพวกนี้ เขากลับไปนั่งในที่นั่งของตนอีกครั้ง
รถขับต่อไป หลังจากเดินทางไปได้ประมาณสิบนาที จู่ๆก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามานั่งข้างฟางเหยียน เด็กสาวคนนี้อายุยังน้อย ราวๆสิบแปดสิบเก้าปี เธอสวมชุดนักเรียนสีแดงและกางเกงยีน หน้าตาไม่ได้สะสวยอะไร แต่ก็ไม่ใช่หญิงสาวที่ดูน่าเกลียด หลังจากนั่งลง ในใจของเธอก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง คิดจะพูดอะไรบางอย่างกับฟางเหยียน แค่ก็ดูลังเลไม่กล้าพูดออกมาอยู่เป็นเวลานาน
หลังจากนั้นอีกห้านาทีต่อมา ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้าและพูดกับฟางเหยียนว่า “เฮ้! คุณควรจะระวังหน่อย อันธพาลพวกนี้ไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่คุณคิด พวกเขาไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้แน่ ลูกพี่ของพวกเขาแซ่หวาง คนเรียกเขาว่าลูกพี่หวาง เขาเป็นคนมีชื่อเสียงในตำบลจินสุ่ยเจิ้น เขาทำธุรกิจกับคนในต่างประเทศมาไม่น้อย ได้ข่าวว่าเขามักจะไปต่างประเทศเพื่อฆ่าคน”
ฟางเหยียนหันไปมองหญิงสาวแล้วพูดอย่างราบเรียบว่า “ขอบคุณ!”
หญิงสาวยังคงรอให้ฟางเหยียนเอ่ยพูดต่อ แต่เขากลับไม่มีคำพูดใดอื่นอีก ในทางตรงกันข้าม เขากลับเอนศีรษะพิงเบาะรถและหลับตาลง หญิงสาวยังคิดจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นฟางเหยียนเป็นแบบนี้ เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
รถบัสยังคงเดินหน้าต่อไป ตำบลจินสุ่ยเจิ้นตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนและมีประเทศเล็กๆ มากมายอยู่ข้างเคียง และเป็นเพราะมันอยู่ในเขตชายแดน ดังนั้นที่ชายแดนแบบนี้จึงวุ่นวายอย่างยิ่ง เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ก็เป็นแค่เพียงเรื่องเล็กๆบางตอนก็เท่านั้น
รถบัสขับมุ่งหน้าไปตามถนนสายเล็กของตำบลจินสุ่ยเจิ้น เส้นทางขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่
ไม่นาน รถบัสก็หยุดลง ผู้คนบนรถบัสก็เริ่มร้องออกมาอย่างไม่สบายใจ
ฟางเหยียนไม่ได้ลืมตาขึ้นมา แต่เขาก็ได้ยินจากสภาพแวดล้อมที่มีเสียงเอะอะดังและรู้ได้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นอีกครั้ง
มีกลุ่มชายฉกรรจ์อยู่ข้างหน้า พวกเขาปิดถนนเอาไว้ ในมือของกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้กำลังถือปืน และยังมีมีด ท่าทางดูน่ากลัวอย่างยิ่ง มีหลายคนที่ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนก็ตกใจกลัวจนแทบร้องไห้
“ทุกคนอย่าตื่นตระหนก พวกเขาเป็นโจรปล้นในบริเวณใกล้ๆนี้ ขอแค่นำเงินออกมาก็ไม่เป็นไรแล้ว พวกเขาจะไม่ทำร้ายชีวิตผู้คน” คนขับเอ่ยตะโกนใส่คนข้างหลัง ถือได้ว่าเป็นการปลอบโยนผู้โดยสารในรถ
ผู้โดยสารบางคนบนรถบัสดูเหมือนจะคุ้นเคย พวกเขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ถ้ารู้อย่างนี้ฉันคงอยู่เที่ยวเล่นในเมืองก่อนอีกสักสองวันแล้วค่อยกลับมา มาไม่ถูกเวลาเสียจริง บังเอิญเจอกับพวกโจรเหล่านี้เข้าให้”
“จะทำยังไงได้ล่ะ ครั้งหน้าก่อนออกเดินทางก็ไปหาคนมาดูดวงให้ก่อนสิ! การปล้นกลางวันแสกๆแบบนี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยเกิดขึ้นมาวันสองวันสักหน่อย หนึ่งปีมีห้าหกครั้ง ครั้งนี้ถือว่าพวกเราโชคร้าย”
เมื่อพวกเขาพูดไปด้านหนึ่งก็เอาเงินห้าพันหยวนออกจากกระเป๋า ราวกับว่าพวกเขาทั้งคู่รู้ว่าตนกำลังจะเจอกับอะไร ตำบลจินสุ่ยเจิ้นนี้เป็นเมืองที่ห่างไกลที่สุด จัดว่าเป็นพื้นที่ประเภทที่ไม่มีใครสนใจ ที่แบบนี้ก็ยังมีนักเลงท้องถิ่นจำนวนมาก เมื่อครู่ลูกพี่หวางที่ผู้หญิงคนนี้เอ่ยถึงก็ถือเป็นประเภทหนึ่งในนั้น การปล้นทรัพย์พวกนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของชายแดน พวกเขาหนึ่งปีก่อเรื่องเพียงไม่กี่ครั้ง ใครเจอเข้าก็ถือว่าเป็นโชคร้าย
ด้านหน้ารถบัส ก็มีรถบิวอิคก์สีดำจอดอยู่ ชายคนหนึ่งลงมาจากรถบิวอิคก์คันนั้น เขาสวมชุดสูทรองเท้าหนัง มองดูแล้วก็รู้ว่าเป็นคนในเมือง หลังจากชายคนนั้นลงจากรถ ที่นั่งข้างคนขับก็มีเด็กสาวผมสั้นตามลงมา
“พวกนายมีเงินมากขนาดนี้ เอามาคนละแสนแล้วกัน!” ชายคนหนึ่งถือปืนอาก้าอยู่ในมือเอ่ยด้วยท่าทีดุร้ายน่ากลัว ด้านหลังเขาตามด้วยชายฉกรรจ์ถือปืนหลายคน
ชายคนนั้นตกใจมากจนเหงื่อไหลตก เขารีบพูด “ได้ได้ได้!ฉันจะจ่าย ฉันจะจ่ายเงินเดี๋ยวนี้”
ขณะที่พูด เขาก็เข้าไปในรถและหยิบถุงเงินออกมา จากนั้นสองมือก็วางมันลงตรงหน้าของชายฉกรรจ์ที่ถือปืนอาก้า
ชายฉกรรจ์พยักหน้าและพูดว่า “ดี นายไสหัวไปได้!”
ชายคนนั้นยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วพูดว่า “ได้ได้ได้ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้ ไปเดี๋ยวนี้! ต่งยู่ รีบไปกันเถอะ! ฉันบอกแล้ว ว่าพวกเราไม่ควรมาที่แบบนี้ เธอดูสิ เกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว”
ก่อนที่หญิงสาวจะขึ้นรถ จู่ๆ เธอก็ถูกชายฉกรรจ์ถือปืนอาก้าคนนั้นจับเอาไว้ เขาหัวเราะฮี่ฮี่และพูดว่า “ที่ฉันพูดคือนายไปได้แล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าเธอไปได้ด้วย!”
“ที่กันดารจนไก่ไม่วางไข่นกไม่อึแบบนี้ยังมีสาวสวยโผล่ขึ้นมาได้ หากไม่รั้งเอาไว้ให้พวกเราได้เล่นสนุกด้วยสักหน่อย แบบนี้ก็คงน่าเสียดาย ฉันไม่เคยเห็นสาวสวยในเมืองแบบนี้มานานหลายปีแล้ว ผิวพรรณบอบบางอวบอิ่ม ดีเสียจริง”
ขณะที่พูด ชายฉกรรจ์ก็เอามือแตะลงบนใบหน้าขอหญิงสาว หญิงสาวตกใจจนตัวสั่นและก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว
“หา!” ชายคนนั้นตะโกนด้วยความตื่นตระหนก “ไม่ได้นะ เมื่อกี้พวกนายไม่ได้บอกหรือไง ว่าแค่ให้เงินแล้วก็ไปได้? เมื่อกี้ฉันให้เงินสำหรับสองคนไปแล้ว ฉันให้พวกนายไปสองแสน”
จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็ยกปืนอาก้าในมือขึ้นมาเล็งไปที่ชายหนุ่ม และเอ่ยขู่อย่างรุนแรง “นายจะไปหรือไม่ไป? ถ้าไม่ไป ตอนนี้ฉันจะส่งนายไปยมโลก!”
เมื่อเห็นปากกระบอกปืนสีดำเล็งมา ตราบใดที่กระสุนถูกส่งออกมา ตนก็ยังต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มมองไปที่ต่งยู่ จากนั้นก็กัดฟันพูดว่า “ขอโทษนะ ต่งยู่! ฉันยังอยากมีชีวิตอยู่ ฉันอยากมีชีวิตอยู่!”
พูดจบเขาก็ขึ้นรถ สตาร์ทรถ แล้วจากไปทันที!
ฉากนี้ทำให้ชายฉกรรจ์หลายคนหัวเราะลั่น จากนั้นก็เอ่ยหยอกล้อต่งยู่ “คนสวย เป็นไง? เห็นจุดอ่อนของผู้ชายเธอแล้วใช่ไหม! คนที่ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายแบบนั้นจะไปมีความหมายอะไรกัน สาวสวยอย่างเธอทำไมไม่มาลองผู้ชายทั้งแท่งดูสักหน่อยล่ะ หน้าตางดงามแบบนี้อย่าได้เสียความสวยไปเปล่าๆ เธอไม่ต้องห่วง พวกเราจะให้เธอได้ลิ้มลอง”