จอมนักรบทรงเกียรติยศ - บทที่ 600 คุณคิดว่าคุณเป็นคนตลกมากใช่ไหม
ทันทีที่คำพูดเอ่ยออกมา ชายอีกคนหนึ่งก็ตอกกลับไปทันที “คุณคิดว่าคุณเป็นคนตลกมากใช่ไหม?”
ผู้ชายที่เพิ่งจะพูดเมื่อกี้เอ่ยขึ้น “หรือว่าฉันพูดอะไรผิดไปหรือไง? พวกเขาไม่ได้เข้าไปทำอะไรกันในป่าหรือไง?”
“ถ้าหากเขากลับมาแล้วได้ยินเรื่องนี้ คุณคิดว่าคุณยังจะมีชีวิตต่อไปได้ไหม?”
หลังจากพูดจบผู้ชายคนนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อไปอีก เรื่องความเป็นความตาย ใครกันจะไม่กลัว? ใครจะกล้าไปเผชิญการคุกคามของความตาย!
หลังจากที่ทั้งสองเข้าป่าไปได้ไม่นาน ก็เริ่มพูดคุยกัน หลังจากได้ยินเรื่องราวของต่งยู่ ฟางเหยียนก็ขมวดคิ้วและถามว่า “มีเรื่องประหลาดแบบนี้ด้วยหรือ? ไหนลองเอาของที่เธอซื้อมามาให้ฉันดูหน่อยได้ไหม?”
ต่งยู่หยิบพระเจ้าชุ่น ออกมาจากกระเป๋าเป้ของเธอ ฟางเหยียนรับพระเจ้าชุ่นไป จากนั้นก็มองดูมันอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เขามั่นใจว่าเขาดูมันไม่ออก ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “แบบนี้ดูท่า สิ่งที่อยู่บนภูเขาภูเขาทิพย์นั้นค่อนข้างจะมีพลังทิพย์”
“อืม ฉันเองก็คิดอย่างนั้น! แล้วคุณมาทำอะไรที่นี่คะ?” ต่งยู่ถาม
“มาหาคน!” ปากบอกว่าคน แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่านั่นจะเป็นคนหรือเปล่า
“ว่าแต่ ผู้ชายที่เพิ่งมากับเธอเมื่อกี้นี้มันยังไงกัน?” ฟางเหยียนถามอีกครั้ง
ต่งยู่เปลี่ยนเป็นไม่ธรรมชาติไปอยู่บ้าง ก่อนจะเอ่ย “อ๋อ เขาน่ะหรือ เขาเป็นคนที่มาตามจีบฉัน ครอบครัวของเราหลังจากมาที่จีงตู เขาก็เคยมาซื้อของที่บ้านเรามาก่อน จากนั้นเขาก็รู้จักกับฉัน แต่เดิมฉันตั้งใจมาคนเดียว แต่ว่าเขาเป็นฝ่ายขอตามมากับฉันด้วย ฉันเองก็ไร้หนทางจะปฏิเสธ ใครจะไปรู้ว่าพอเจอเรื่องนี้เข้าเขากลับหนีไป ช่างขี้ขลาดราวกับหนู”
“เอาเถอะ คนที่รักตัวกลัวตายแบบนี้ ทางที่ดีเธอควรปฏิเสธไปซะจะดีกว่า!” ฟางเหยียนกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ต่งยู่ก็ขมวดคิ้วและพึมพำว่า “คุณคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนคุณหรือไงกัน?”
เธอพูดอย่างเงียบ ๆ แต่ก็ยังถูกฟางเหยีนได้ยิน ฟางเหยียนเอ่ยถาม “พูดอย่างนี้ก็แปลว่าเธออยากคบกับเขา?”
ต่งยู่จึ๊ปากและพูดว่า “ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้นซะหน่อย”
“อันที่จริง ยังมีผู้ชายดีๆ อีกมากมายในโลกนี้ ผู้ชายคนนั้นไม่คู่ควรกับเธอ”
ต่งยู่เลือกที่จะเงียบ เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป ผู้ชายคนนั้นไม่คู่ควรกับเธอ ส่วนเธอก็ไม่คู่ควรกับคนที่เธอชอบ การจะหารักแท้ได้สักคนนั้นสำหรับต่งยู่เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ
ทั้งสองเดินผ่านป่าไปราวสองชั่วโมง ท้องฟ้าค่อยๆเริ่มมืดลง ต่งยู่เองก็เริ่มเหนื่อยขึ้น หลังจากก้าวไปสองสามก้าวเธอก็มักจะหยุดหายใจ
เห็นเธอเป็นแบบนี้ ฟางเหยียนก็คงจะไม่สามารถไปยังที่ที่ต้องการหาได้ในเวลาอันใกล้ ดังนั้นเขาจึงพูดกับต่งยู่ว่า “ฉันแบกเธอแล้วกัน! เธอช้าเกินไป!”
“คุณอุ้มฉันแล้วจะเดินได้เร็วขึ้นหรือไง?” ต่งยู่ตอบอย่างไม่ยอมแพ้อยู่บ้าง
แต่ไม่ต้องรอให้เธอพิจารณาใด ๆ ฟางเหยียนก็นั่งยอง ๆ จากนั้นก็แบกเธอขึ้นไปที่หลังของเขา ต่งยู่รู้สึกเขินอายกับการกระทำนี้ ดังนั้นจึงรีบตะโกนอย่างรวดเร็วว่า “เฮ้ คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง…”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ ฟางเหยียนก็พุ่งผ่านป่าไปอย่างรวดเร็ว
เนื่องจากความเร็วของฟางเหยียนมากเกินไป ต่งยู่จึงได้แต่ต้องรีบเกาะหลังฟางเหยียน สองมือกอดเขาเอาไว้แน่น
ตอนแรกเธอกลัวเล็กน้อยที่ฟางเหยียนวิ่งด้วยความเร็วนี้ราวกับเสือดาว แต่ผ่านไปช้าๆเธอก็ค้ยพบว่าแผ่นหลังของฟางเหยียนมีมีความรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนไม่ว่าจะกับใคร
ต่งยู่ถือโอกาสแนบหัวลงไปพิงบนหลังของฟางเหยียน ในใจของเธอรู้สึกหวานซ่านขึ้นมาทันที หากเวลาสามารถหยุดไว้ตรงนี้ได้ก็คงจะดี อย่างน้อยเธอก็สามารถอยู่กับผู้ชายคนนี้ได้ตลอดเวลา
นอกจากความรู้สึกปลอดภัยแล้ว ต่งยู่ยังรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าของเธอสลายหายไป นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ราวกับเธอได้เกิดใหม่ก็ไม่ปาน
เมื่อก่อนตอนที่เธอจะอยู่กับฟางเหยียนอย่างมากที่สุดก็แค่รู้สึกปลอดภัย แต่คราวนี้มันแตกต่างออกไปจริงๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ท้องฟ้าตอนนี้มืดสนิทลงแล้ว งฝีเท้าของฟางเหยียนก็หยุดลงเช่นกัน เขามองไปยังป่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดตรงหน้า ไม่มีแม้กระทั่งนกหรือสัตว์ร้าย และจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่ได้ยินเสียงของแมลง นี่แปลกอย่างยิ่ง
หากตอนกลางวันไม่มีนั้นก็สามารถเข้าใจได้ แต่ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว น่าจะมีแมลงและนกร้องบ้าง
ดูเหมือนว่าภูเขาทิพย์นั้นจะเป็นภูเขาที่ว่างเปล่าจริงๆ ในนั้นจะต้องมีสัตว์ในตำนานบางอย่างอาศัยอยู่แน่
สัตว์ในตำนานแบบนี้อาจจะไม่ออกมาในตอนกลางวัน แต่เมื่อถึงตอนกลางคืนก็ยากที่จะพูด ที่ตรงนี้เงียบสงบที่สุด อีกทั้งยังกว้างใหญ่ที่สุด สำหรับฟางเหยียนที่มีประสบการณ์การต่อสู้ในป่าแล้ว ที่ตรงนี้เหมาะสมที่สุดที่จะตั้งเต็นท์เพื่อพักผ่อน
ดังนั้นเขาจึงพูดกับต่งยู่ทั้งที่ยังหันหลังให้ว่า “เอาล่ะ พวกเรามาถึงแล้ว ลงมาก่อนเถอะ!”
สามหรือห้าวินาทีต่อมา ต่งยู่ก็ยังไม่ตอบ และได้ยินเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเธอ
“ต่งยู่!” ฟางเหยียนตะโกนเรียกต่งยู่ที่บนหลัง แต่เธอก็ยังไม่ตอบ
บางทีเมื่อครู่อาจจะเหนื่อยเกินไป ฟางเหยียนคิดในใจ แต่เขากลับไม่เหนื่อยเลยสักนิด นั่นเพราะท้ายที่สุดแล้วร่างกายของเขาแตกต่างจากคนทั่วไป คนที่มีกำลังภายในไม่สามารถเอามาเทียบกับคนธรรมดาได้
หลังจากที่ต่งยู่รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าทุกสิ่งรอบตัวเธอแตกต่างออกไป เธอจึงตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงครางเบา ๆ เมื่อเธอเห็นความมืดรอบตัวก็ส่งเสียงร้องด้วยความกลัว และเสียงร้องนี้ก็ทำให้เธอพบว่าคนเองยังอยู่บนหลังของฟางเหยียน
“ฟาง ฟางเหยียน!” ต่งยู่ตะโกนเรียกฟางเหยียน
ฟางเหยียนเอ่ยถาม “ตื่นแล้วหรือ?”
“ฉันขอโทษ!” ต่งยู่กล่าวด้วยสีหน้าสำนึกผิด “เมื่อกี้นี้ฉันแค่รู้สึกว่าสบายมากอย่างยิ่ง ก็เลยหลับไปชั่วขณะหนึ่ง”
ขณะที่พูด ต่งยู่ก็ลงมาจากหลังของฟางเหยียน แผ่นหลังของเขาไม่ใหญ่ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกสบายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อเทียบกับเตียงใหญ่ในบ้านของเธอแล้วก็ยังสบายกว่ามาก ที่น่าตลกที่สุดคือก็เมื่อครู่เธอผล็อยหลับไป
ถ้าฟางเหยียนไม่หยุด บางทีเธออาจจะนอนอยู่บนหลังของฟางเหยียนต่อไปก็ได้
“ว่าแต่ ทำไมคุณไม่ปลุกฉันล่ะคะ?” ต่งยู่ถาม
ฟางเหยียนยิ้มและพูดว่า “ฉันเองก็เพิ่งหยุดลงเหมือนกัน! คืนนี้พวกเราอยู่ที่นี่เถอะ”
“อะไรนะ?” ต่งยู่มองดูความมืดมิดรอบ ๆ ด้วยความตะลึงอยู่บ้างและเกิดความรู้สึกกลัวอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
“ไม่ต้องกลัว! มีฉันอยู่ เธอไม่เกิดเรื่องแน่” ฟางเหยียนพูดคำที่ให้ความรู้สึกถึงความรับผิดชอบอย่างยิ่งอย่างสบายๆ
ต่งยู่พยักหน้าอย่างหนักและพูดว่า “ฉันเชื่อคุณ”
หลังจากนั้นไม่นาน ฟางเหยียนก็หากิ่งไม้และใบไม้สร้างเป็นเพิงขึ้น อีกทั้งในเพิ่งยังปูด้วยใบไม้จำนวนไม่น้อย หลังจากทำเสร็จ ในเพิงไม้ก็ดูอบอุ่นไม่น้อย
เพิงไม้ไม่ใหญ่ แต่ก็เพียงพอที่จะอยู่ได้สองคน
ต่งยู่มองไปที่เพิงไม้เล็ก ๆ จากนั้นจึงกลืนน้ำลายแล้วถามว่า “คืนนี้ พวกเราจะอยู่ที่นี่หรือ?”
เมื่อคิดไปถึงว่าตนจะต้องนอนในเพิงไม้เล็กๆ กับฟางเหยียน หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมา